dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 417 ข้าสงสัยว่าเจ้าคนเดียวมิอาจเพียงพอสำหรับเขา
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 417 ข้าสงสัยว่าเจ้าคนเดียวมิอาจเพียงพอสำหรับเขา
บทที่ 417 ข้าสงสัยว่าเจ้าคนเดียวมิอาจเพียงพอสำหรับเขา
หลังจากที่ซูซุนออกไปจากห้อง ซูหยินก็หันไปมองดูซูหยางและ
กล่าวด้วยดวงตาที่เป็นรูปหัวใจว่า “พี่ชายที่รัก ตอนนี้ท่านพ่อจักมิ
รบกวนเราอีกต่อไป เราสามารถทำทุกอย่างตามที่เราต้องการได้”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เรามารอจนกว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ก่อนที่เราจะ
พูดเรื่องนั้น”
“ได้เลย”
ในเมื่อวันเกิดครบรอบสิบหกปีเหลืออยู่เพียงไม่กี่อาทิตย์ เธอย่อมไม่
รู้สึกผิดหวังกับคำตอบของเขา ตามความเป็นจริงความคาดหวังของ
เธอยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เวลาหลังจากนั้นซูหยางก็รวมเหล่าศิษย์ทั้งหมดและกล่าวว่า “พรุ่งนี้
จักเป็นครั้งสุดท้าย ครั้นเมื่อพวกเราเอาชนะสำนักเมฆม่วงแล้ว นิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเราก็จักกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในทวีป
ตะวันออก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกับคำว่า “เรา” ในเมื่อการแข่งขันนี้ในทาง
ปฏิบัติเป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง” ไป่ ลี่ฮัวซึ่งติดตามพวกเขามาถึงโรงเตี๊ยม
กล่าวกับเขา “ถ้าเจ้าเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์ไม่ได้ สำนักเมฆม่วงก็จักชนะ
ถ้าเจ้าเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ชนะ นั่นเป็นเรื่อง
ง่ายดายแบบนั้น”
“ว่าไปแล้ว ท่านพูดมิผิด” ซูหยางยิ้ม
ถ้าหงอวี้เอ๋อร์แพ้ สำนักเมฆม่วงที่เหลือก็จะไม่สามารถแบกรับพวก
เธอได้ อย่างไรก็ตามถ้าหงอวี้เอ๋อร์เอาชนะซูหยาง เธอก็อาจจะกวาด
ศิษย์ที่เหลือทั้งหมด
แน่นอนว่าฟางซีหลานอาจจะสามารถเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์ถ้าเธอหมด
แรงหลังจากที่ต่อสู้กับซูหยาง แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพเสียเปรียบ
เช่นนั้น ความแตกต่างระหว่างเขตอัมพรวิญญาณกับเขตปฐพีวิญญาณ
ก็ยังถือว่ากว้างเกินไป
“อย่างไรก็ตาม ข้าอยากถามแทบตายว่าเจ้าเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ
ด้วยอายุเพียงเท่านี้ได้อย่างไร” ไป่ ลี่ฮัวพลันถามเขา และทุกคนที่นั่น
ต่างก็พากันจ้องมองเขาด้วยสายตาคร่ำเคร่ง
“จริงแล้วมิได้มีความลับเบื้องหลังนั้น แต่ถ้าท่านต้องการที่จะรู้จริง ๆ
ท่านสามารถมาหาข้าได้ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และข้าจักแสดงให้
ท่านเห็นว่าข้าฝึกวิชาอย่างไรด้วยตัวเอง” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วย
รอยยิ้ม
“เจ้า…” ไป่ลี่ฮัวพูดไม่ออก นอกจากซูหยางแน่นอนว่าไม่มีรุ่นเยาว์
คนไหนในโลกที่กล้าที่จะพูดกับเธอหยาบโลนเช่นนี้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเธอเกลียดที่จะยอมรับ แต่ข้อเสนอของเขาก็เย้า
ยวนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็สามารถที่จะยกระดับศิษย์
เหล่านี้ทั้งหมดให้กลายเป็นอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ด้วยตัวของเขาเอง
ในช่วงเวลาสั้น ๆ
ถ้าเธอสามารถได้รับประสบการณ์ความก้าวหน้าคล้ายคลึงกันนี้เพียง
แค่เสนอร่างกายให้กับซูหยาง นั่นก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง ยิ่งไป
กว่านั้นไม่ว่าจะเป็นอายุหรือบุคลิก ก็รับประกันได้อยู่แล้วว่าซูหยาง
ย่อมกลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในยุทธภพหลังจากที่การแข่งขันระดับ
ภูมิภาคจบลง
และยามเมื่อหญิงโสดในโลกนี้รู้ถึงการมีอยู่ของเขา นั่นย่อมต้องมี
สาวสวยนับไม่ถ้วนเข้าแถวรอเขา ในโลกของผู้ฝึกวิชาสิ่งเดียวที่
สำคัญสำหรับผู้ชายก็คือภูมิหลังและพลังอำนาจขณะที่อย่างอื่นนั้น
ล้วนรองลงไป
“มิเพียงแต่เขาจะเป็นอัจฉริยะหนึ่งในพันล้านแต่เขาก็ยังมาจากสี่ตระกูล
ใหญ่ด้วยเช่นกัน เขายังคงอายุน้อยและหน้าตาก็พิเศษกว่าใคร ชาย
คนนี้เป็นสิ่งที่ผู้หญิงนิยามว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ” ไป่ ลี่ฮัวคิด
ในใจ
“อย่ากังวล ท่านสามารถใช้เวลาตัดสินใจ ประตูของข้าเปิดต้อนรับ
ท่านเสมอ” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอ
“ง-เงียบ ใครจักสน” ไป่ลี่ฮัวพลันหน้าแดง
“ซูหยิน ข้ากำลังจะไปโดยมิสนเจ้าแล้ว” เธอกล่าวกับอีกฝ่ายก่อนที่
จะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“เจอกันทีหลัง พี่ชาย” ซูหยินเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วจูบแก้มซู
หยางก่อนที่จะกระโดดเหยงไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
ครั้นเมื่อซูหยินและไป่ ลี่ฮัวจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็พูดขึ้นว่า “ซู
หยาง… เจ้ามีความมั่นใจในการเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์มากเท่าไหร่”
ซูหยางแสดงท่าทางครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าวว่า “ข้าคงต้อง
พูดว่า…มั่นใจ 110%”
“จริงรึ”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “แม้ว่าหงอวี้เอ๋อร์จะมีพลังการฝึกปรือ
ที่ล้ำลึกและเป็นจอมกระบี่ที่น่าชื่นชม แต่เธอยังล้าหลังข้าเล็กน้อยใน
ด้านของการฝึกวิชาและเพลงกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ดูการ
ต่อสู้ของเธอในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ข้ามั่นใจว่าเธอมิมีอะไรแสดง
อีกต่อไป อีกนัยหนึ่งก็คือเธอมิมีไม้ตายซึ่งข้ามีอยู่มากมาย ดังที่กล่าว
มาแล้วนั่นก็ยังมิใช่การต่อสู้ที่ง่ายนัก”
“ซูหยางเจ้าจักต้องการพลังงานจำนวนมากสำหรับการต่อสู้ในวัน
พรุ่งนี้ใช่ไหม ข้าจักฝึกร่วมกับเจ้าคืนนี้” ฟางซีหลานพลันกล่าวกับ
เขา
“ข้าสงสัยว่าเจ้าคนเดียวมิอาจจะเพียงพอสำหรับเขา ข้าจักเข้าร่วม
ด้วยเช่นกัน” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าก็จักร่วมฝึกกับท่านเช่นกัน”
“ข้าด้วย”
“พวกเราทั้งหมดมาร่วมฝึกกันจนกว่าตะวันจะขึ้น”
เหล่าศิษย์ต่างพากันกระตือรือร้นในการฝึกกับซูหยาง ในเมื่อนี่เป็น
วิธีเดียวที่พวกเธอสามารถรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเธอได้มีส่วนร่วม
ในการต่อสู้วันพรุ่งนี้จริง ๆ
“…”
โหลวหลานจีมองดูเหล่าศิษย์ที่มีความสุขด้วยสีหน้าครุ่นคิด
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเธอก็พูดขึ้นว่า “ข้ามิมีประสบการณ์ใน
การฝึกฝนหมู่มาก่อน ดังนั้นขอให้ข้าได้เข้าร่วมกับพวกเจ้าในครั้งนี้”
“เอ๋”
เหล่าศิษย์ทั้งหมดต่างพากันมองไปที่เธอด้วยดวงตาเบิกกว้างเหมือน
กับจะไม่เชื่อ
“ข-ข้าได้ฟังถูกต้องหรือไม่ ท่านผู้นำนิกาย ท่านพูดว่าท่านต้องการ
เข้าร่วมกับพวกเรา” ฟางซีหลานถามเธอ
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าได้พูดไปจริง หรือว่าพวกเจ้ามิต้องการให้ข้าอยู่ด้วย”
โหลวหลานจีกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ม-มิใช่เช่นนั้น ท่านผู้นำนิกาย เพียงแค่ว่า… ข้ามิคาดว่าท่านจัก…”
โหลวหลานจียิ้มและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามก็ต้องมีครั้งแรกเสมอ
สำหรับทุกสิ่ง”
“ท่านผู้นำนิกายจักฝึกร่วมกับพวกเรางั้นรึ นั่นรู้สึกเหมือนไม่เป็น
จริง…”
“เพียงแค่อย่าล้าหลังเหล่าศิษย์ ท่านผู้นำนิกาย” ซุนจิงจิงหยอกเธอ
“โอ เจ้าเหมือนค่อนข้างมีความมั่นใจอยู่ เจ้าสนใจที่จะพนันกับข้า
ไหม”
“พนันประเภทไหนรึ”
“ใครที่ทนได้นานที่สุดเป็นฝ่ายชนะพนัน และผู้แพ้จะถูกห้ามฝึกกับ
ซูหยางเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
“หนึ่งเดือนรึ” ซุนจิงจิงดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เธอไม่
สามารถที่จะจินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรถ้าหากไม่ได้ฝึกกับเขาเป็น
เวลาหนึ่งอาทิตย์ต่อเนื่อง อย่าว่าแต่ทั้งเดือน
“ข้าคิดว่าเจ้ามีความมั่นใจในความสามารถของเจ้าใช่ไหม” โหลว
หลานจีแสดงสายตามั่นใจในตนเอง
“ต-ตามนั้น ท่านผู้นำนิกาย ข้าจักยอมรับการท้าทายนี้” ซุนจิงจิงพยัก
หน้า
“พวกเราไปกัน ซูหยาง พวกเราไปร่วมฝึกกันเดี๋ยวนี้เลย” ซุนจิงจิง
กล่าวขณะที่เธอลากเขาเข้าไปในห้องของพวกเธอ
“ร-รอพวกเราด้วย”
ศิษย์คนอื่นและโหลวหลานจีติดตามพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว เข้าไป
ในห้องด้วยกัน