dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 421 สู้กับหงอวี้เอ๋อร์
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 421 สู้กับหงอวี้เอ๋อร์
บทที่ 421 สู้กับหงอวี้เอ๋อร์
“เฮ้ เจ้าได้ยินนั่นไหม หงอวี้เอ๋อร์เพิ่งเรียกตัวเธอเองเป็นคู่หมั้นของ
เขา”
ผู้ชมต่างพากันตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ถ้าข้าจำมิผิด ตระกูลหงกับตระกูลซูต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีตลอดมา
ไม่แปลกที่พวกเขาจะหมั้นกัน”
“เชี่ย นี่หมายความว่าหงอวี้เอ๋อร์ถูกจองมาโดยตลอดรึ และจากตระกูล
ซูทั้งหมด ตอนนี้ข้าเหมือนกับคนโง่ลามกที่พยายามเกี้ยวเธอเมื่อวัน
ก่อน”
“ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตระกูลซูจักมิตามหาคนที่พยายามเกี้ยวพาราสี
หงอวี้เอ๋อร์ มิเช่นนั้นก็จักเป็นหายนะสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง”
ในเวลานั้นซูหยางยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยและกล่าวขึ้นว่า “เพลงกระบี่
ของเจ้า แม้ว่าข้าคิดว่ามันจะดูคล้ายในตอนแรก แต่ยิ่งข้าดูเจ้าสู้มากขึ้น
เท่าไหร่ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่ามันถูกสร้างขึ้นจากวิชากระบี่เลือนเร้นร่ายรำ
และนั่นก็มีเพียงคนสองคนที่ข้ารู้ที่รู้จักวิชานี้”
หงอวี้เอ๋อร์ยังคงเยือกเย็นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เธอกล่าวว่า
“งั้นรึ มันเป็นยังไงรึ”
“หนึ่งในนั้นสิ้นชีพไปแล้ว และอีกคนควรจะอยู่ในสถานที่แสนไกล
ไกลออกไป… ตอนนี้เจ้าเป็นคนไหน”
“…”
หงอวี้เอ๋อร์พูดไม่ออกไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “คนไหนที่เจ้าคิดว่า
เป็นข้า”
“ข้าได้เดาเรียบร้อยแล้ว แต่ข้าต้องการที่จะได้ยินจากปากเจ้าเอง” ซู
หยางกล่าว
“ข้าจักบอกเจ้าถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าว
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าข้ามิได้แสดงความแข็งแกร่งทั้งหมด
ของข้า เจ้าก็ควรรู้ว่าเจ้ามิอาจเอาเอาชนะข้าได้”
“เราคงมิรู้จนกว่าข้าได้ลองดู”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางพลันหัวเราะ
“ขำอะไรรึ” หงอวี้เอ๋อร์เลิกคิ้ว
“ข้าเข้าใจละ…” ซูหยางพยักหน้าราวกับว่าเขารู้อะไรบางอย่างในที่สุด
“แม้ว่าข้าจะมีคำถามมากมายกับเจ้า ข้าก็จักเก็บมันไว้หลังจากการ
แข่งขัน เข้ามาเลย”
ซูหยางดึงกระบี่ออกมาจากข้างตัวและชี้ไปยังหงอวี้เอ๋อร์
หงอวี้เอ๋อร์ก็ดึงกระบี่ออกจากฝักและพูดขึ้นเช่นกันว่า “สักพักหนึ่ง
แล้วที่ข้าต้องเอาจริง”
ทันทีที่ทั้งคู่ได้ชักกระบี่ออก กระแสพลังกดดันก็ปรากฏขึ้นถาโถม
ไปทั่วทั้งโคลีเซียม จนทำให้คนนับล้านที่อยู่ที่นั่นรู้สึกเหมือนกับว่า
พวกเขาถูกกดดันด้วยพลังที่มองไม่เห็น
“ช่างเป็นแรงกดดันที่เข้มข้น นี่เองที่เรียกว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้
ฝึกยุทธเขตอัมพรวิญญาณสองคน”
“ไม่ นี่เป็นอะไรที่เหนือกว่านั้น ข้าได้เคยเห็นผู้ฝึกยุทธเขตอัมพร
วิญญาณต่อสู้กันมาก่อน แต่นั่นมิได้เข้มข้นเท่านี้”
“ข้ามาแล้ว ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์พลันพุ่งเข้าไปหาซูหยางแต่วิชาการ
เคลื่อนไหวของเธอกลับแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
“เป็นวิชาการเคลื่อนที่ประเภทไหนกันนี่ ข้ามั่นใจว่านี่มิได้เป็นของ
สำนักเรา” กูกว่านถิงงงงันกับการกระทำของเธอ
“เคลื่อนไหวราวกับว่าเจ้าเข้าและออกผ่านช่องว่าง ก้าวย่างมิติรึ เจ้า
มิได้พยายามที่จะซ่อนตัวตนเลยแม้แต่น้อย” ซูหยางกล่าวพร้อม
รอยยิ้มขณะที่หงอวี้เอ๋อร์เข้าประชิดตัวเกือบในทันใด
“เจ้าพูดว่าเจ้ารู้ถึงตัวตนของข้าอยู่แล้ว เช่นนั้นทำไมข้าจึงจำต้องซ่อน
มันอีก”
“ข้าย่อมสามารถโกหกเจ้าเพื่อที่เจ้าจักทำอะไรแบบนี้ก็ได้ มิใช่รึ”
“เจ้าสามารถทำเช่นนั้น… แต่ข้ารู้จักเจ้าดีเกินไป ที่รัก”
“แน่นอนว่าเจ้าเป็นแบบนั้น”
ขณะที่ซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์แลกเปลี่ยนเพลงกระบี่กันนับร้อย
กระบวนท่าภายในไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็ยังคงพูดคุยกันไปด้วย ทำให้
เหมือนกับว่าพวกเขากำลังเต้นรำร่วมกัน
เพียงไม่กี่นาทีผ่านนับตั้งแต่ทั้งสองคนเริ่มกัดแกว่งกระบี่ไปยังอีกฝ่าย
แต่ทว่าทั้งลานประลองก็ดูเหมือนกับกลายเป็นสนามรบมาหลายปี
ไปแล้ว
ด้วยการกวัดแกว่งเพียงครั้งเดียวจากพวกเขา ก็จะปรากฏรอยแยกลึก
ยาวกว่าสิบเมตรขึ้นไปบนเวทีประลอง
“ข-ข้ากำลังมองบ้าอะไรอยู่ นี่เป็นการต่อสู้จริง ๆ ระหว่างรุ่นเยาว์
สองคนจริงรึ ถึงแม้ว่าพลังการฝึกปรือของพวกเขาจะน่าประทับใจ
แต่การเคลื่อนไหวและวิชาการต่อสู้ของพวกเขาก็เหนือยิ่งกว่ากระทั่ง
ผู้เชี่ยวชาญที่ช่ำชองที่สุดในโลกนี้” ผู้อาวุโสจงมองดูพวกเขาด้วย
ดวงตาเบิกกว้างดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
ความแตกต่างในฝีมือกระบี่ระหว่างพวกเขากับคนเหล่านั้นปกติแล้ว
กว้างเกินไปเหมือนกับแผ่นดินแผ่นฟ้า
“ถ้าข้าเปรียบตัวเองกับพวกเขา ข้าคงได้แต่ละอายตัวเอง อะไรคือ
จอมกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ ข้าเองบางทีอาจจะมิใช่กระทั่งจอมกระบี่ที่
แท้จริงในสายตาของพวกเขา”
กระทั่งเจ้าซีก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความสามารถของพวก
เขา
“ลูกสาวข้า…ดูการต่อสู้ครั้งนี้อย่างจริงจังนะ กระทั่งข้าเองก็ยังได้
เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างขณะที่ดูการต่อสู้ของพวกเขา” เจ้าซีกล่าวกับ
ลูกสาวของตนเอง ซึ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“สมกับเป็นคนที่เหยียบย่ำทั้งสำนักดอกบัวเพลิงทั้งสำนักเพียงลำพัง
มิใช่รึ เมื่อมาคิดว่าข้าต้องการเอาชนะอสูรแบบเขาในตอนนั้น ข้าช่าง
ไร้เดียงสาเสียจริง…” หลินเชาชางถอนใจหลังจากที่ตระหนักว่าเธอ
เป็นเพียงกบที่อยู่ในบ่อตลอดมา
“ซูหยาง… เขาช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ น่าประหลาดใจเหลือเกิน
อย่างแท้จริง หงอวี้เอ๋อร์ก็เช่นกัน นี่ราวกับว่าพวกเขามิมีความเกี่ยวพัน
กับโลกนี้…” ฟางซีหลานกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า
“เอ่อ…” ซุนจิงจิงซึ่งรู้ตัวตนที่แท้จริงของซูหยางเผยให้เห็นรอยยิ้ม
กระอักกระอ่วนหลังจากที่ได้ยินคำพูดของฟางซีหลานซึ่งไม่ไกล
จากความเป็นจริงนัก ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วในเวลานั้นเธอพูด
ถูกต้อง
“ข้าเห็นว่าเจ้ายังคงใช้ก้าวเก้าดารา ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าวกับเขา
“แน่นอน”
“เช่นนั้นเรามาดูกันว่าใครเก่งกว่าในด้านนั้น ข้าหรือว่าเจ้า”
การเคลื่อนไหวของหงอวี้เอ๋อร์พลันเปลี่ยนไป สร้างความงงงันให้กับ
ผู้ชม
“ดูสิ หงอวี้เอ๋อร์เลียนแบบวิชาการก้าวย่างของซูหยาง นี่เป็นไปได้
อย่างไร” ซุนจิงจิงกล่าวขณะที่ชี้ไปยังอีกฝ่าย
“และเธอก็ทำได้สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกัน มิได้เป็นเพียงแค่เหมือนกับ
การเลียนแบบ แต่เป็นสิ่งที่มากกว่านั้น ราวกับว่าเธอก็ได้ฝึกฝนวิชา
เดียวกันนี้มาเช่นเดียวกัน” โหลวหลานจีกล่าว
“อะไรกัน นั่นยิ่งไร้เหตุผล”
“ก้าวเก้าดารารึ เหมือนที่คาดไว้ เจ้าช่าง…” ซูหยางแสดงสีหน้างงงัน
“นี่หมายความว่า… เจ้าก็ได้สิ้นชีพจากโลกนั้นเช่นกันรึ หรือว่าเป็น
เพราะสงครามหลังจากนั้น” เขาถามเธอพร้อมกับหรี่ตา
“เจ้า… เจ้ารู้ได้อย่างไรเรื่องสงคราม” หงอวี้เอ๋อร์หยุดการต่อสู้และ
จ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“มันค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นข้าจักอธิบายให้กับเจ้าในภายหลัง” ซู
หยางกล่าว
“เช่นนั้นข้าก็จักอธิบายสถานการณ์ของข้าให้กับเจ้าเช่นกันหลังจากนี้
แต่เจ้ามิต้องเป็นกังวล ที่รัก ในเมื่อข้ายังมิได้ตาย” หงอวี้เอ๋อร์กล่าว
ด้วยรอยยิ้ม
“อะไรนะ เช่นนั้น ในนามของสวรรค์ ทำไมเจ้า…” ซูหยางตกตะลึง
ถ้าเธอไม่ได้ตายในสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ เธอมาปรากฏตัวที่โลกนี้ใน
ร่างของหงอวี้เอ๋อร์ได้อย่างไร
“ข้าจักอธิบายทุกสิ่งให้เจ้าหลังจากจบการแข่งขันระดับภูมิภาค แต่
ตอนนี้มาสู้กับข้าให้เต็มที่ ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวกับเขา
ซูหยางพยักหน้าและจับกระบี่ในมือแน่นขึ้น “ข้ามาแล้ว หงอวี้เอ๋อร์
หรือข้าควรเรียกเจ้าว่า ถังหลิงชี”