dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 422 ถังหลิงชี
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 422 ถังหลิงชี
บทที่ 422 ถังหลิงชี
หลังจากที่พักชั่วขณะ ซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าคือ
ถังหลิงชี ก็เริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง
หลังจากที่ผ่านไปหลายนาทีของการประกระบี่กันและยังคงไม่มี
วี่แววว่าจะมีผู้ชนะ ซื่อตงก็พลันกล่าวกับพวกเขาว่า “เฮ้ อีกนาน
เท่าไหร่ที่พวกเจ้าจะทำอย่างนี้กันต่อไป หากเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าคงจะ
ทำลายลานประลองนี้จนหมดก่อนที่พวกเจ้าจะทันได้เหนื่อย”
“เขาพูดถูกที่รัก พวกเราสามารถสู้กันแบบนี้หลายชั่วโมงโดยที่มิมี
ใครได้รับชัยชนะ” หงอวี้เอ๋อร์กล่าว
“เช่นนั้นเจ้ามีคำแนะนำว่าควรทำอย่างไร”
“กระบี่ผลาญสวรรค์ เจ้าคงจำวิชานี้ได้ ใช่ไหม เรามาจบกันด้วยสิ่ง
นั้น”
ซูหยางเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “เจ้ามิได้ยินชายชรานั่นรึ เขามิต้องการ
ให้ลานประลองต้องถูกทำลาย แต่ตอนนี้เจ้าแนะนำสิ่งที่จักทำลายทั้ง
โคลีเซียมนี้ ซึ่งบางทีก็อาจจะทั้งเมือง”
“แน่นอน ข้ามิได้แนะนำว่าเราควรโจมตีกันด้วยวิชานี้ แม้ว่าเจ้าอาจจะ
ต่างออกไป แต่ร่างบอบบางนี้มิอาจจะทนแรงกดดันมากขนาดนั้นได้
เรามาดูกันว่าใครสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้มากที่สุดจากวิชา
นี้”
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ซูหยางพึมพัม “เช่นนั้นก็ได้ แม้ว่าเจ้าจักยังมิได้อยู่
ในร่างจริง เจ้าก็มีความได้เปรียบเหนือข้า ถูกต้องหรือไม่องค์หญิง
น้อยของเผ่าเทพอาชูร่า ถังหลิงชี”
หงอวี้เอ๋อร์เผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “มาทำเช่นนี้กันเถอะ”
เวลาถัดไป ทั้งซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์ก็หยุดเคลื่อนไหวและเปลี่ยนไป
เป็นเงียบสงบอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามกระแสพลังของพวกเขาต่างพากันแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ
จนกระทั่งแข็งแกร่งมากพอจนปรากฏเป็นรูปร่างและเกิดประกาย
ขึ้นในอากาศ
“ช-ช่างเป็นกระแสพลังที่น่าหวาดกลัว พวกเขากำลังพยายามทำอะไร
จึงต้องใช้พลังงานมากมายปานนี้” ซื่อตงเริ่มเกิดความกังวลมากขึ้น
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปการโจมตีครั้งถัดไปของพวกเขาต้องระเบิด
สนามประลองไปทั้งหมดอย่างแน่นอน
“วิชาลับอาชูร่าขั้นแรก กระบี่ผลาญสวรรค์”
ทั้งหงอวี้เอ๋อร์และซูหยางดวงตาพลันเรืองแสงลึกล้ำ และกระบี่ใน
มือก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงก่อนที่จะมีไฟสีดำปรากฏขึ้นและกลืน
กินตัวกระบี่
อีกไม่กี่วินาทีถัดไป พื้นรอบกายของพวกเขาก็เริ่มแผดเผา และ
อากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นไหม้
ตอนนี้ทั้งโคลีเซียมปกคลุมไปด้วยแรงกดดันมหาศาลที่ไม่มีใครเคย
ประสบมาก่อน กระทั่งเจ้าซีก็ยังยากที่จะหายใจภายใต้แรงกดดัน
แบบนี้ อย่าว่าแต่จะพูด ดังนั้นทั่วทั้งบริเวณจึงเงียบสงัด
“พวกเขากำลังพยายามจะทำลายเมืองข้าหรืออย่างไรกัน” เจ้าซีร่ำ
ร้องในใจหลังจากที่รับรู้พลังอันน่าอัศจรรย์ที่ยังคงเพิ่มขึ้น
พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์ทรงพลังมาก
จนกระทั่งบรรพบุรุษตระกูลซี พ่อของเจ้าซีต้องปรากฏตัวเพื่อที่ว่า
เขาจะได้ปกป้องประชาชนได้
“นี่เป็นวิชาประเภทไหนกัน กระทั่งวิชาระดับเซียนก็มิอาจจะปลด
ปล่อยกระแสพลังที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้ ชายหนุ่มคนนั้นช่างเต็ม
ไปด้วยสิ่งน่าประหลาดใจเสมอ…” ชายชราครุ่นคิดขณะที่เขาเตรียม
ตัวที่จะเข้าไปแทรกแซง
“…”
หงอวี้เอ๋อร์จ้องมองไปยังซูหยางพร้อมกับหรี่ตา ดูเหมือนว่ากำลังคิด
ลึก
กลับกันซูหยางยืนอยู่ที่นั่นด้วยรอยยิ้มปลอดโปร่ง
สองสามอึดใจจากนั้น หงอวี้เอ๋อร์ก็ดึงพลังกลับและสอดกระบี่เข้าไป
ในฝัก
“เจ้าบ้าไปแล้ว ทำไมแล้วก็อย่างไรเจ้าจึงมีปราณเทพในร่าง ข้ามิอาจจะ
จินตนาการได้ว่าที่เล็ก ๆ แห่งนี้จะมีปราณเทพ” หงอวี้เอ๋อร์ถามเขา
ทั้งยังคงขมวดคิ้ว
“ข้ามิรู้เช่นกัน” ซูหยางยักไหล่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าสังเกตเห็นมัน
อยู่ในร่างข้าในวันหนึ่ง”
“เจ้า… ไม่น่าเชื่อ” หงอวี้เอ๋อร์ถอนใจและส่ายหน้า “เจ้าเคยคิดไหมว่า
มันอันตรายเพียงไหนสำหรับคนธรรมดาที่มีปราณเทพในร่าง กระทั่ง
เซียนก็ยังมิกล้าที่จะควบคุมปราณเทพโดยปราศจากความช่วยเหลือ
ของตัวตนระดับสูงสุด”
“แน่นอนว่าข้ารู้เรื่องนั้น แต่ในเมื่อมันอยู่ในร่างของข้าเรียบร้อยแล้ว
ก็มิมีอะไรที่ข้าสามารถจะทำกับมันได้ ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าข้า
จะมีความสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์”
“เดี๋ยวก่อน… เจ้าพยายามที่จะใช้มันรึ…” หงอวี้เอ๋อร์จ้องมองเขาด้วย
หน้าตาที่บอกว่าไม่เชื่อ
“ข้ารวมมันเข้ากับกระบี่ผลาญสวรรค์ครั้งหนึ่งและพลังที่แท้จริงของ
มันเกือบฆ่าข้า… ฮ่าฮ่า…” ซูหยางหัวเราะด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน
“เจ้าช่างบุ่มบ่ามนัก เจ้าอาจตายได้”
“อย่างไรก็ตามข้ายังคงมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นมันมิเป็นไร”
“ไม่ ไม่ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่แค่กรณีนี้ เจ้ามักจะบุ่มบ่ามเสมอ กระทั่ง
ในชีวิตก่อนของเจ้า เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าข้ารู้สึกอย่างไรเมื่อข้ารู้ว่า
เจ้าพลันเสียชีวิต” หงอวี้เอ๋อร์พลันปล่อยกระบี่ทิ้งและวิ่งเข้าไปหาซู
หยางก่อนที่จะกอดเขาแน่น
“หง- หลิงชี…” ซูหยางพึมพัมชื่อเธอด้วยเสียงสนิทสนม “ข้าเสียใจที่
ทำให้เจ้าเป็นกังวลเกี่ยวกับข้าตลอดมานี้”
“เอ๋ เกิดอะไรขึ้นกันนี่” ซื่อตงพลันงุนงงกับการที่ทั้งสองพลันกอด
กันอย่างรักใคร่ พวกเขายังคงสู้กันอยู่หรือเปล่า
“นี่…” เมื่อซีซิงฟางเห็นหงอวี้เอ๋อร์กอดซูหยาง เธอรู้สึกเหมือนกับว่า
มีแรงที่มองไม่เห็นบีบรัดหัวใจเธอ จนทำให้เธอรู้สึกไม่สบาย
“2,000 ปี.. ผ่านมา 2,000 ปีแล้วนับตั้งแต่เจ้ากอดข้าครั้งสุดท้าย ทั้งที่
เจ้าสัญญากับข้าว่าเจ้าจักแต่งงานกับข้าเมื่อพันปีก่อน”
“ข้าเสียใจ… ข้าเสียใจจริง ๆ หลิงชี…”
“ขอโทษ ข้าเกลียดที่ต้องเป็นคนขัดจังหวะการได้อยู่ร่วมกันกับคน
รักของพวกเจ้า แต่ยังมีการแข่งขันอยู่ในตอนนี้…” ซื่อตงพลันกล่าว
กับพวกเขา
“เรามาพูดคุยหัวข้อนี้กันทีหลัง ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์ปาดน้ำตาออกจาก
ตาเธอและถอยหลังออกไปสองสามก้าว
“อื้อ” ซูหยางพยักหน้า
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น หงอวี้เอ๋อร์ก็ยกมือขึ้นและกล่าวเสียงดังว่า
“ข้ายอมแพ้การประลองครั้งนี้ เป็นข้าที่พ่ายแพ้”
“อะไรนะ”
เกือบทุกคนที่นั่นต่างพากันตะโกนออกมาด้วยเสียงตกใจ
“เจ้ากำลังทำอะไร หงอวี้เอ๋อร์ ต่อให้เจ้าเป็นคู่หมั้นของเขา เจ้าก็มิ
อาจจะแค่เพียงยอมแพ้ง่าย ๆ” กูกว่านถิงกล่าวกับเธอด้วยสีหน้าหมด
หวัง
เมื่อคิดว่าพวกเขามาไกลถึงปานนี้เพียงเพื่อที่จะพ่ายแพ้ในลักษณะนี้
นี่คงเป็นสิ่งที่จะหลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิต
“ท่านได้ดูพวกเราเมื่อกี้อยู่หรือไม่” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวกับเขาด้วยสีหน้า
เรียบเฉย “ท่านคิดว่าเมื่อกี้พวกเราเพียงแค่อวดกระแสพลังของเรางั้น
รึ ต่อให้ข้าใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของข้า นั่นก็ยังมิอาจจะเอาชนะ
เขาได้”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามร่างของเธอไม่มีปราณเทพในขณะที่ซูหยางมี
และความแตกต่างระหว่างปราณทั่วไปกับปราณเทพนั้นกว้าง
จนกระทั่งคำพูดไม่อาจจะบรรยายออกมาได้