dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 430 สิบตระกูลและสายเลือดสูงสุดทั้งสี่
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 430 สิบตระกูลและสายเลือดสูงสุดทั้งสี่
บทที่ 430 สิบตระกูลและสายเลือดสูงสุดทั้งสี่
“เมื่อหลายร้อยปีก่อนรึ นั่นค่อนข้างนานพอควร” ซูหยางเลิกคิ้ว
ชิวเยว่พยักหน้าและกล่าวว่า “ในเวลานั้น ข้ายังคงหลงใหลกับการ
เพิ่มพูนพลังการฝึกปรือของข้า ดังนั้นข้าจึงท่องเที่ยวทั่วโลกเพื่อ
เสาะหาทรัพยากรและสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่ง นั่นจึงทำให้ข้าได้ผ่าน
มายังที่ตรงนี้ที่ซึ่งข้าได้พบกับสัตว์ลึกลับที่อยู่ในเขตเทพวิญญาณ
หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมา”
“สัตว์ร้ายในเขตเทพวิญญาณรึ” ซูหยางดวงตาเบิกกว้าง ลืมเรื่องเมื่อ
สองร้อยปีก่อนไปได้เลยเมื่อการฝึกวิชายังไม่ก้าวหน้าเหมือนทุก
วันนี้ เขาสามารถจินตนาการได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ถ้าหากว่ามี
สัตว์อสูรอาละวาดอยู่ในที่แห่งนี้ในตอนนี้
“สัตว์ร้ายลึกลับนั้นสร้างความหายนะในที่แห่งนี้ในเมื่อไม่มีใครจะมี
ความสามารถที่จะหยุดมันได้ในเวลานั้น และมันก็จักดำเนินไปตาม
นั้นจวบจนวันนี้ถ้าข้ามิได้ล่ามัน” ชิวเยว่พูดต่อ “แม้ว่าข้าจะมีเขตสูง
กว่าสัตว์ร้ายลึกลับนั่นถึงสองเขต นั่นก็มิได้เป็นการต่อสู้ที่ง่ายดายแต่
อย่างใด ถ้าข้ามิได้ฆ่าสัตว์ร้ายนั่นในเวลานั้น ข้าก็มิอาจจะจินตนาการ
ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่นี่ บางทีอาจจะมิมีใครที่เหลือรอดมาถึง
วันนี้”
“สัตว์ร้ายลึกลับรึ” ซูหยางครุ่นคิด
เวลาถัดไปเมื่อไม่มีเนื้อเหลือที่จะเสิร์ฟแล้ว งานเลี้ยงก็จบลง และชิน
เหลียงหยูก็ตรงเข้ามาหากลุ่มซูหยาง
“อาหารเป็นอย่างไรบ้าง ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ” เธอถามพวกเขา
“มหัศจรรย์” ซูหยางยิ้มให้กับเธอและพูดต่อว่า “ข้าเกือบก้าวผ่าน
ระดับหลังจากที่กินเนื้อวิญญาณไปมาก”
“ยอดเยี่ยมที่ได้ยินเช่นนั้น อย่างไรก็ตามนี่ค่อนข้างจะสาย ถ้าพวกท่าน
มิมีที่ไหนพักในคืนนี้ ข้าจักตระเตรียมมันทันที” ชินเหลียงหยูกล่าว
“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ แต่ข้าจักพักบนยานบินของข้า ที่นั่นมี
ที่ว่างพอให้พวกเราสามคนอยู่เช่นกัน” ชิวเยว่กล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ชินเหลียงหยูพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นถ้าท่านต้องการ
สิ่งใด เพียงขอให้พวกเราสักคนรู้และข้าจักตระเตรียมให้ในทันที”
“ข้าต้องการไปเยี่ยมชนเผ่าอื่นสองสามเผ่าพรุ่งนี้และดูว่าพวกเขามี
ข้อมูลของกระจกนิลกาฬหรือไม่” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น “เจ้าพอจะ
พร้อมไหม”
“นั่นมิมีปัญหาใด ท่านผู้อาวุโสซู ถึงแม้ว่าท่านต้องการจะไปตอนนี้
ข้าก็จักพร้อมเป็นทูตให้”
“เยี่ยม เช่นนั้นข้าจะพบกับเจ้าพรุ่งนี้เช้า”
หลังจากงานเลี้ยง ซูหยางและกลุ่มของเขาก็กลับไปยังยานบินขนาด
มหึมาที่ลอยตั้งอยู่เหนือชนเผ่าหมูป่ า ให้ความรู้สึกปลอดภัยอันลึกซึ้ง
ให้กับชนพื้นเมือง ราวกับว่าพวกเขาได้รับการปกป้องจากเซียน
ตามความเป็นจริงก่อนที่ชนพื้นเมืองจะหลับ พวกเขาทั้งหมดก็พากัน
คุกเข่าไปยังยานบินและสวดภาวนาให้กับการปกป้องที่มีต่อพวกเขา
“ข้ามิมีโอกาสที่จะพูดเช่นนี้ที่การแข่งขัน แต่… นี่ถือว่าเป็นครั้งแรก
ของข้าที่ได้ชนะเจ้าในการแข่งขัน” ซูหยางกล่าวขณะที่เขานอนอยู่
บนยานบิน จ้องมองดวงจันทร์กระจ่างด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“ฮึ่ม” ถังหลินชีแค่นเสียงอยู่ข้างตัวเขาและกล่าวว่า “เจ้าเพียงแค่ชนะ
ครั้งหนึ่งเพราะว่าร่างของข้ามิได้แข็งแกร่งเหมือนเจ้า ทำให้วิชาข้า
เลือกได้จำกัด ถ้าข้ามีเวลาอีกสองสามเดือนในการฝึกฝน ข้าย่อมต้อง
เคี่ยวกรำร่างกายข้าและสามารถใช้วิชาของสายเลือดข้าได้บางอย่าง”
PS: ขอเปลี่ยนจากเผ่าเทพอาชูร่าเป็น สายเลือดเทพอาชูร่า ครับ
เพราะว่ามีคำหลายคำในภาษาอังกฤษที่แปลให้ความหมายคล้าย ๆ
กันในภาษาไทยจนชวนสับสน ตระกูล เผ่า ชนเผ่า สายเลือด
ครอบครัว
“องค์หญิงสายเลือดเทพอาชูร่าต้องใช้ข้ออ้าง ข้ามิอาจจะเห็นเช่นนั้น
ได้บ่อยครั้ง” ซูหยางหัวเราะหึ ๆ
“…” ถังหลินชีเงียบไป
สองสามอึดใจหลังจากนั้นเธอก็หันไปมองเขาและกล่าวถามว่า “เจ้า
วางแผนจะทำอะไรหลังจากที่เจ้ากลับคืนไปยังสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “พูดตามตรง ข้ามิรู้
เหมือนกันว่าข้ากำลังจะทำอะไรต่อครั้นเมื่อข้ากลับไปแล้ว”
“แน่นอนข้าจะต้องไปพูดคุยกันอย่างถึงแก่นกับเทพจันทราเรื่องการ
ตายของเยว่ไฮและอนาคตของชิวเยว่ แต่จริงแล้วข้ามิรู้ว่าข้าต้องการ
ทำอะไรหลังจากนั้น ยิ่งไปกว่านั้นข้าเป็นอาชญากรที่ต้องถูกจำขังใน
เหวบาปนิรันดร์ จักรพรรดิสวรรค์คงมิชอบใจถ้าเขารู้ว่าข้ายังคงมี
ชีวิตอยู่เป็นอย่างดีอย่างแน่นอน”
“ผู้คนจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานหลังจากที่เจ้าตาย ซูหยาง จน
ถึงตอนนี้ก็ยังมีคนหลายคนที่ตกอยู่ในความเศร้าโศก ข้ารู้เพราะว่าข้า
เองก็เป็นหนึ่งในพวกเธอ” ถังหลินชีกล่าว “เจ้าจะทำอะไรกับพวก
เธอรึ”
“…”
“ข้ามิรู้เช่นกัน ยังมีหลายครั้งที่ข้าได้คิดดูว่าบางทีอาจจะเป็นการ
ดีกว่ากับโลกถ้าข้าตายไป” ซูหยางถอนหายใจ “เจ้าควรรู้ว่าข้ามีศัตรู
จำนวนมากภายในสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่และคนจำนวนมากที่ข้ารักก็
ต้องตายไปเพราะข้า”
“ข้ารู้… แต่เจ้าก็ได้ช่วยเหลือคนจำนวนมากเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรข้า
เองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ถ้าเจ้ามิได้ช่วยเหลือข้าใครจะรู้ว่าจัก
เกิดอะไรขึ้นกับสายเลือดเทพอาชูร่าในวันนั้น” ถังหลินชีกล่าวและ
ต่ออีกว่า “ยังมีตระกูลซูของเจ้าอีก มีปัญหาบางอย่างอยู่บ้างหลังจาก
ที่การตายของเจ้าถูกประกาศอย่างเป็นทางการ”
ซูหยางตาเบิกกว้างหลังจากที่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตระกูลของตนเอง
และเขาพูดด้วยเสียงกระวนกระวายว่า “อะไรนะ เกิดอะไรขึ้นกับ
พวกเธอรึ”
“ใจเย็น” ถังหลินชีกล่าว “แม้ว่าพวกเธอจะมีปัญหาในตอนแรกกับ
ตระกูลต่าง ๆ พยายามที่จะทำลายตระกูลซูทั้งตระกูล จอมยุทธที่ไม่
ทราบชื่อได้ปรากฏตัวขึ้นปกป้องพวกเธอ”
“อะไรนะ ใครกล้าโจมตีตระกูลของข้าหลังจากที่ข้าตาย ช่างไร้
ยางอายนัก ครั้นเมื่อข้ากลับไปข้าจักจัดการทวงหนี้นี้ด้วยตนเอง” ซู
หยางตาเป็นประกายด้วยความโกรธ
“บางตระกูลในสิบตระกูลและหนึ่งในสายเลือดสูงสุดทั้งสี่ร่วมมือกัน
ด้วยความแข็งแกร่งมหาศาลเช่นนั้นพวกเขาควรจักทำลายตระกูลซู
ได้อย่างง่ายดาย ข้าจักบอกเจ้ามากกว่านี้เกี่ยวกับพวกนั้นในภายหลัง”
“สิบตระกูลและสายเลือดสูงสุดทั้งสี่รึ” ซูหยางเริ่มเหงื่อตกหลังจาก
ที่ได้ยินชื่อของพวกเขา เมื่อพวกนั้นล้วนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดใน
สวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ทั้งหมด ถ้าหนึ่งในกองกำลังเหล่านี้ต้องการ
ทำลายตระกูลหรือสำนักใด ๆ พวกเขาก็สามารถทำได้เพียงแค่ดีดนิ้ว
“เช่นนั้นใครไล่พวกนั้นไปรึ กระทั่งสายเลือดเทพอาชูร่าก็ต้องมีปัญหา
หากเจอพวกนั้น อย่าว่าแต่คนเพียงคนเดียว” ซูหยางพลันถาม
“นั่นคือสิ่งที่… มิมีใครสามารถที่จะระบุตัวตนคนนี้ได้ ในเมื่อเขาได้
ปกปิดตัวตนไว้ สิ่งเดียวที่พวกเรารู้จักเกี่ยวกับเขาก็คือเขาถือกระบี่
ขนาดมหึมาเท่าดวงดาว เพียงแค่กวัดแกว่งกระบี่นั้นครั้งเดียวก็สร้าง
ความหวาดกลัวให้กับคนที่พยายามจะทำอันตรายตระกูลซู”
“หลังจากนั้นจอมยุทธผู้นี้ก็ได้เตือนผู้ที่ต้องการจะทำอันตรายตระกูล
ซูว่าเขาจักทำลายพวกนั้นทั้งตระกูลถ้าพวกนั้นพยายามจะทำอันตราย
ตระกูลซูอีกครั้งก่อนที่จะหายตัวไป แน่นอนว่าหนึ่งในสิบตระกูลได้
เพิกเฉยคำเตือนของเขาและเข้าโจมตีตระกูลซูอีกครั้ง และก็ได้เพียง
ถูกทำลายด้วยจอมยุทธลึกลับนั้นในคืนเดียว เหตุการณ์นี้ได้ทำให้
เกิดความปั่นป่วนที่กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์เองถูกบีบให้ลงมือ”
“กระบี่ขนาดมหึมาเท่าดวงดาวรึ… หรือว่าจะเป็น…” ซูหยางคิดว่า
เขาน่าจะรู้ตัวตนของจอมยุทธลึกลับที่ช่วยเหลือครอบครัวของเขานี้
“และนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา มิมีใครกล้าที่จะเข้าไปตระกูล
ซู อย่าว่าแต่จะโจมตี เจ้ารู้ตัวตนของจอมยุทธลึกลับนี้หรือไม่ ซูหยาง”
ถังหลินชีกล่าว
เขาพยักหน้า “ข้ามีความคิดอยู่ แต่ข้าได้สัญญากับคนผู้นี้ว่าข้าจักมิ
เปิดเผยตัวตนเขาให้กับใคร”
“เอ๋” ถังหลินชีแสดงท่าทีผิดหวัง “เจ้ามิสามารถกระทั่งบอกข้าคู่หมั้น
ของเจ้ารึ”
“อย่ากังวล เจ้ามีชะตาที่จะต้องพบกับคนผู้นี้มิช้าก็เร็ว” เขากล่าวด้วย
รอยยิ้ม