dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 466 ผู้อาวุโสนิกายชุดใหม่
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 466 ผู้อาวุโสนิกายชุดใหม่
บทที่ 466 ผู้อาวุโสนิกายชุดใหม่
“การเอาชนะการแข่งขันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น นับตั้งแต่วันนี้เป็น
ต้นไป ข้าจักกุมหางเสือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปสู่ทิศทางของการ
เป็นสำนักระดับหนึ่งในทวีปตะวันออกและก็จะมิใช่แค่เพียงในนาม
เท่านั้น”
จากนั้นซูหยางก็หันไปมองโหลวหลานจีแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าจักปล่อย
เรื่องงานก่อสร้างและการต้อนรับแขกให้กับท่านและผู้อาวุโสนิกาย
และข้าจักดูแลเรื่องอื่น ๆ ทั้งหมด”
“ในอีกเดือนข้างหน้า ข้าจักเริ่มรับศิษย์ใหม่ แต่อย่างไรก็ตามวิธีของ
ข้าจักแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่พวกเจ้าใช้กันอยู่”
“ข้าจักปล่อยทุกอย่างให้กับเจ้า” โหลวหลานจีพยักหน้า
“ครั้นเมื่อการรับสมัครจบสิ้นลงแล้ว นั่นก็จักเป็นเวลาที่ความสนุก
อย่างแท้จริงจะได้เริ่มต้นขึ้น ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจักสนุกกับมัน
เท่ากับที่ข้าหวังไว้เมื่อมันเกิดขึ้น” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ
เหล่าศิษย์พากันสบสายตา สงสัยว่าเขากำลังวางแผนที่จะทำอะไรอยู่
แต่อนิจจา ซูหยางเป็นคนที่เดาใจไม่ได้ไม่ได้ยึดติดกับกรอบสามัญ
สำนึกทั่วไป ดังนั้นทุกสิ่งจึงเป็นไปได้หากว่าเป็นเขา
“พวกเจ้ามีคำถามอะไรหรือไม่” เขาถามพวกเธอ
หนึ่งในเหล่าศิษย์ยกมือของเธอขึ้นและกล่าวว่า “พวกเราควรทำ
อย่างไรในตอนนี้เมื่อการแข่งขันระดับภูมิภาคจบลงแล้ว พวกเรายัง
จะสามารถร่วมฝึกกับท่านได้อยู่หรือไม่”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันมองดูเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ตอนนี้เมื่อ
การแข่งขันระดับภูมิภาคจบลงแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรอีกสำหรับเขา
ที่จะร่วมฝึกกับพวกเธอ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็จะรับสมัครศิษย์ใหม่
ในอนาคตอันใกล้ เหล่าศิษย์ล้วนกลัวว่าซูหยางจะไม่ร่วมฝึกกับพวก
เธอตั้งแต่นี้ต่อไปซึ่งทุกสิ่งก็คงจบสิ้น
ซูหยางหลับตาลงชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “เมื่อสถานการณ์และ
เวลาเปลี่ยนไปเจตนารมณ์ของพวกเราก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ข้าจัก
ยุ่งมากนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปและก็จักยังมีศิษย์ใหม่มาเติมช่องว่างที่
พวกเรายังขาดศิษย์ชาย ดังนั้นข้าจึงมิอาจจะสามารถที่จะเก็บพวกเจ้า
ทั้งหมดไว้ข้างกายได้”
เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินดังนั้น พวกเธอทั้งหมดต่างแสดงสีหน้าหดหู่
แน่นอนว่าพวกเธอต่างรู้สถานการณ์ของตนเองดีอยู่แล้วว่าเป็นนี่เป็น
เพียงสิ่งชั่วคราวและก็จะต้องจบสิ้นลงในสักวันหนึ่ง แต่ในที่สุดเมื่อ
วันนั้นมาถึง พวกเธอต่างก็ยากที่จะยอมรับได้
“ข-ข้ามิถือหากว่าจะต้องเป็นคู่ในกรณีพิเศษของท่าน เพราะว่ายังไง
ก็จะต้องมีศิษย์หญิงใหม่อยู่ดี ถึงแม้ว่าพวกเราจะมิสามารถร่วมฝึกกับ
ท่านทุกวัน ขอแค่เพียงบางครั้งก็เพียงพอ” หนึ่งในพวกเธอกล่าวขึ้น
ซูหยางยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเจ้าอาจจะอายุยังน้อย
พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเก่งกาจอย่างน้อยก็เก่งกว่าผู้ใหญ่ทั่วไปในขณะนี้
ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะทำให้ทุกคนที่นี่ ยกเว้นศิษย์รุ่นเยาว์ เป็นผู้
อาวุโสนิกายที่จักกลายเป็นเสาหลักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แน่นอน
ว่าถ้าพวกเจ้ายังประสงค์ที่จะเป็นศิษย์ต่อไปนั่นก็ไม่เป็นไร”
“ผ-ผู้อาวุโสนิกาย”
เหล่าศิษย์ต่างสบตากันอีกครั้ง พวกเธอไม่คิดว่าจะมีทางออกเช่นนั้น
“ในตอนนี้เมื่อข้าเป็นผู้นำนิกาย และสิ่งต่าง ๆ ก็จักกลับคืนสู่ปกติใน
เร็ววันนี้ ข้าก็จักมิสามารถที่จะร่วมฝึกกับเหล่าศิษย์ได้อีก อย่างไรก็
ตามถ้าหากเป็นผู้อาวุโสนิกายนั่นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะ
ไม่ได้บ่อยแต่ข้าก็สามารถที่จะกำหนดเวลาว่าเป็นทุกระยะเวลาหนึ่ง
ในการช่วยเหลือผู้อาวุโสนิกายฝึกวิชาได้”
เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าเศร้าสร้อยของเธอก็พลัน
เปลี่ยนเป็นยินดีพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“ข้ายินดีที่จะเป็นผู้อาวุโสนิกาย”
“ข้าก็เช่นเดียวกัน ข้ายอมรับตำแหน่งผู้อาวุโสนิกาย”
เหล่าศิษย์ต่างพากันตกลงใจที่จะเป็นผู้อาวุโสนิกายกันอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้นเหล่าผู้อาวุโสนิกายอื่นต่างพากันงงงันกับสถานการณ์นั้น
ในประวัติศาสตร์ของนิกายตลอดมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเลือก
ผู้อาวุโสนิกายกันแบบนี้ อย่างไรก็ตามมันก็เป็นความจริงที่พวกเขา
ขาดผู้อาวุโสนิกาย และหากว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเจริญรุ่งเรือง
ขึ้นมาพร้อมกับศิษย์ใหม่ พวกเขาก็จะต้องการผู้อาวุโสนิกายเพื่อที่จะ
รักษากฏระเบียบ และสิ่งเหล่านั้นก็ย่อมเป็นไปไม่ได้กับจำนวนของ
ผู้อาวุโสนิกายที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้
“อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นทั้งหมดที่ข้าต้องการให้พวกเจ้ารับรู้ในตอนนี้
ข้าจักให้รายละเอียดมากกว่านี้หลังจากที่จบสิ้นการรับสมัครศิษย์
ใหม่แล้ว พวกเจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจในตอนนี้จนกว่าการ
รับสมัครจะเริ่มต้น”
หลังจากที่เขาพูดจบแล้ว เหล่าศิษย์ก็เริ่มพูดคุยกันเอง
เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคก็ได้เล่าถึงช่วงเวลา
ของพวกเธอในขณะที่อยู่ที่เมืองหิมะโปรยและการดำเนินไปของ
การแข่งขัน ในเวลานั้นศิษย์บางคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิษย์รุ่นเยาว์ก็
เข้ารุมล้อมชินเหลียงหยูและถามคำถามเธอเกี่ยวกับประวัติของเธอ
และเรื่องของทวีปใต้
“ท่านมาจากทวีปใต้จริง ๆ หรือ ท่านมาถึงทวีปตะวันออกได้อย่างไร
ทั้งที่ทะเลหยกขวางกั้นพวกเราไว้”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์มองดูเธอด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น
“เอ้อ… ซูหยางพาข้ามาที่นี่ด้วยยานบิน…” ชินเหลียงหยูพูด
“โหวววว ยานบิน นั่นต้องเป็นลำเดียวกับเมื่อตอนนั้นแน่” เหล่าศิษย์
รุ่นเยาว์พูดขณะที่นึกถึงยานบินลำใหญ่ที่รับตัวซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์
ที่งานแข่งขัน
“ทำไมท่านจึงมายังทวีปตะวันออกล่ะ” ศิษย์อีกคนถามเธอ
“ซูหยาง…” เธอตอบด้วยเสียงเอียงอาย
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันสบสายตากันก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะ
ออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น มิเช่นนั้นหญิงสาวสวย
เช่นท่านจะมาอยู่ข้างกายศิษย์พี่ชายได้อย่างไร”
“ได้โปรดเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับทวีปใต้”
ชินเหลียงหยูพยักหน้าและเริ่มพูดถึงเกี่ยวกับทวีปใต้ราวกับว่ามัน
เป็นนิทานให้กับศิษย์รุ่นเยาว์
ในเวลานั้นหลังจากที่ซูหยางพูดบรรยายจบแล้ว โหลวหลานจีก็เข้า
ไปหาเขาและพูดว่า “ซูหยาง ข้าต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับแผนในอนาคต
ของพวกเรามากกว่านี้ แต่ว่ามีแขกนับพันอยู่ที่ด้านนอกประตู”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจ ท่านไปทำสิ่งที่ต้องทำ”
สองสามอึดใจให้หลัง โหลวหลาจีก็ออกไปจากที่แห่งนั้นพร้อมกับ
เหล่าผู้อาวุโสนิกายเพื่อต้อนรับแขก ในกรณีนี้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้อง
ใช้เวลาทั้งวันในการต้อนรับแขก นั่นก็อาจจะต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์
ก่อนที่จะความสงบสุขจะกลับมาเยือนที่แห่งนี้อีกครั้ง
หลังจากที่โหลวหลานจีจากที่แห่งนั้นไปแล้ว ซูหยางก็หันไปมองดู
หลานลี่ชิง ผู้ซึ่งยืนเงียบอยู่ที่มุมห้อง มองดูเขาอยู่อย่างเงียบ ๆ
เมื่อเธอตระหนักว่าซูหยางได้สังเกตเห็นเธอ เธอก็ยิ้มให้เขาอย่างเอียง
อาย
จากนั้นเขาก็เข้าไปหาเธอและกล่าวว่า “มากับข้า ข้ามีเรื่องสองสาม
อย่างที่จะพูดกับเจ้า”
หลานลี่ชิงพยักหน้าก่อนที่จะติดตามเขาไปที่ซึ่งเป็นส่วนตัว