dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 493 จุดจบของตระกูลมู่
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 493 จุดจบของตระกูลมู่
บทที่ 493 จุดจบของตระกูลมู่
และถึงแม้ว่าหลังจากที่มู่หลานจากที่แห่งนั้นไปแล้ว ร้านอาหารก็
ยังคงเงียบสนิทราวกับว่าพวกเขากลัวว่าจะถูกซุนจิงจิงสังเกตพบ
หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ของซุนจิงจิงก็ตรงเข้าไปหาพวกเขา
“น-นี่คือแผนของเจ้ารึ” ซุนเหรินถามเธอด้วยสีหน้าสับสน ในเมื่อ
เธอไม่ได้คิดว่าจะมีแผนการซับซ้อนเช่นนั้น
“เอ้อ… ก็ไม่ถึงกับเป็นเช่นนั้น…” ซุนจิงจิงเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย
และเธอก็กล่าวต่อว่า “พวกเราเพียงแค่วางแผนที่จะทำให้มู่ชุนอิจฉา
จนกระทั่งถึงขั้นที่เขาโจมตีซูหยาง ให้เหตุผลกับพวกเราในการจัดการ
กับตระกูลมู่ทั้งหมดสักครั้ง ทั้งหมดนี้เป็นไปตามแผนจนกระทั่ง…
น่าเสียดายที่พวกเรามิได้คาดคิดว่าเขาจะตายในลักษณะนั้น ข้ายัง
เสียใจที่มิได้ฆ่าเขาทันทีที่เขาโจมตีพวกเรา อย่างน้อยนั่นก็จะทำให้
พวกเราพึงพอใจมากกว่านี้”
“เจ้าจักทำอย่างไรถ้าเขามิได้ตกอยู่ภายใต้การยั่วยุของเจ้า”
“ข้าก็จักยังคงจัดการกับเขามิว่ามู่ชุนจะโจมตีพวกเราหรือไม่ ข้าเพียง
แค่ต้องการให้มู่ชุนรู้สึกสิ้นหวังสำหรับทุกสิ่งที่เขาทำ”
“เจ้า… ไม่น่าเชื่อ” ซุนเหรินพูดไม่ออก ไม่เคยแม้สักล้านปีที่เธอจะ
คิดว่าลูกสาวของตนเองจะกลายเป็นคนกล้าพอที่จะเผชิญกับตระกูล
มู่ทั้งตระกูลด้วยตนเอง
แน่นอนว่าถ้าซูหยางไม่ได้อยู่ที่นั่น ซุนจิงจิงอาจจะไม่ได้กลายเป็น
คนที่มีอำนาจข่มเหงในวันนี้
“อย่างไรก็ตาม พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ ใครจะรู้ว่าตระกูลมู่จะทำ
อะไรหลังจากนี้…” ซุนเฉียนกล่าว
อย่างไรก็ตาม ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่ากังวล ตระกูลมู่จักมิ
ทำอะไรทั้งสิ้น ถ้าให้ชัดเจนก็คือพวกเขาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้
อีกต่อไปหลังจากวันนี้”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” พวกเขาต่างพากันมองดูซูหยาง
ด้วยใบหน้างุนงง
“พวกท่านจักเข้าใจในอีกไม่กี่วัน” เขาตอบด้วยรอยยิ้มลึกลับ
ครั้นเมื่อซูหยางและตระกูลซุนกลับไปยังที่บ้านพวกเขาแล้ว ข่าว
เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ร้านอาหารกระต่ายหยกระหว่างตระกูลซุนและ
ตระกูลมู่ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองราวกับไฟไหม้ป่ า
เมื่อหมดวันก็ไม่มีใครสักคนในเมืองที่ไม่ได้ยินเรื่องราวการตายที่น่า
อับอายของมู่ชุน
“อะไรนะ นี่หมายความว่าการหมั้นหมายระหว่างตระกูลมู่กับตระกูล
ซุนนั้นเป็นเพียงการตกลงข้างเดียวเพราะว่าตระกูลมู่กดดันตระกูล
ซุนให้ยอมรับงั้นรึ ช่างน่ารังเกียจ แต่ก็มิน่าตกอกตกใจอะไรแต่อย่าง
ใดในเมื่อพวกที่พวกเรากำลังพูดถึงกันอยู่นั้นเป็นตระกูลมู่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าอ้วนชั่วนั่นถูกปฏิเสธอย่างแรงจากนางฟ้าซุนจนถึงกับ
ตายเพราะอกหักนะรึ นั่นเป็นเรื่องน่ายินดี ข้าหวังว่าข้าได้อยู่ที่นั่น
เป็นพยานวาระสุดท้ายของเจ้านั่น”
“อัจฉริยะอันดับหนึ่งซูหยางนั่นอยู่ที่เมืองนี้ตอนนี้นะรึ และเขาก็ยัง
ประกาศว่าซุนจิงจิงเป็นผู้หญิงของเขาด้วยงั้นรึ ตระกูลซุนจักต้อง
เบิกบานไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายแน่”
ในเวลาเพียงแค่วันเดียวหลังจากที่ตระกูลมู่ถูกเปิดเผย ธุรกิจทั้งหมด
ของพวกเขาล้วนมียอดขายต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งธุรกิจที่ขาดทุน
น้อยที่สุดมียอดขายลดลงไป 90%
กระทั่งร้านที่เป็นที่นิยมที่สุดของพวกเขา หอยาธรรมชาติ ก็ไม่มีลูกค้า
มาให้ต้อนรับเกินกว่าร้อยคนในวันนั้น แม้กระทั่งจะยังมีโอสถดอกบัว
เพลิงขายอยู่ในตอนนั้นซึ่งปกติแล้วพวกเขามักจะได้เห็นลูกค้าหลาย
พันคน
ในวันที่สองหลังจากที่นิกายดอกบัวเพลิงทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นกับ
ตระกูลมู่ พวกเขาก็ยกเลิกการเป็นหุ้นส่วนกับตระกูลมู่ทันที โดย
พื้นฐานแล้วนี่คือการตอกตะปูปิดฝาโลงตระกูลมู่
ในวันที่สามธุรกิจต่าง ๆ ที่เป็นเจ้าของโดยตระกูลมู่ก็ไม่สามารถที่จะ
ขายได้ถึงสิบรายการแม้ว่าจะรวมร้านทั้งหมดเข้าด้วยกัน
เป็นที่ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าอิทธิพลของตระกูลมู่ภายในวงการธุรกิจนั้น
ได้มาถึงจุดจบแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาก่อนที่พวกเขา
จะถูกเตะออกไปจากเมือง
ในเวลาเดียวกันธุรกิจที่เป็นเจ้าของโดยตระกูลซุนก็พลันได้รับความ
นิยมและมียอดขายพุ่งกระฉูด โดยมีกำไรมากกว่า 1,000% ภายใน
เวลาเพียงสั้น ๆ แค่สามวัน ยิ่งไปกว่านั้นนิกายดอกบัวเพลิงยังตัดสินใจ
ที่จะมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับพวกเขาอีกด้วย ซึ่งยิ่งเพิ่มยอดขาย
ของพวกเขาให้สูงขึ้น
ส่วนสำหรับตระกูลซุนเองนั้น พวกเขาถูกถล่มด้วยแขกที่เข้ามาแสดง
ความยินดีกับลูกสาวของพวกเขาได้ประสบความสำเร็จในชีวิตในฐานะ
ผู้ฝึกยุทธและฐานะหญิงสาว แน่นอนว่าแขกส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนว่า
จะนำลูกสาวของตนเองมาด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาวางแผน
อะไรกันไว้ แต่น่าเสียดายพวกเขาส่วนใหญ่ไม่อาจจะได้พบปะกับ
ซูหยาง ในเมื่อเขาวุ่นวายอยู่กับการร่วมฝึกคู่กับซุนจิงจิงเกือบตลอด
เวลา
ส่วนสำหรับผู้ที่สามารถได้เห็นหน้าซูหยางนั้น พวกเขาต่างพากันถูก
ครอบงำกับการปรากฏตัวของเขาจนกระทั่งจิตใจของพวกเขาว่าง
เปล่ารวมไปถึงแผนการของพวกเขาที่จะเกี้ยวพาราสีเขา
และเมื่อสิ้นสุดของอาทิตย์ที่สองของพวกเขาที่นั่น ซูหยางและซุน
จิงจิงก็เตรียมตัวที่จะกลับไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ท่านมั่นใจว่าท่านมิต้องการที่จะอยู่ที่นี่นานกว่านี้อีกสักหน่อยรึ”
ซุนเหรินถามพวกเขา เห็นได้ชัดว่าลังเลที่จะเห็นพวกเขาจากไป
“โชคร้าย ข้ามิมีเวลาเหลือที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป นิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยจักเริ่มรับศิษย์ในอาทิตย์หน้า และข้าต้องอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลทุก
อย่างในฐานะผู้นำนิกาย” ซูหยางกล่าว
“ข้าก็จักกลับไปที่นิกายกับเขาด้วยเช่นกันในกรณีที่พวกเขาต้องการ
ข้า” ซุนจิงจิงก็ตัดสินใจที่จะกลับไปยังนิกายเช่นกัน
“ข้าเข้าใจ… ข้าเริ่มคุ้นเคยกับการที่พวกท่านอยู่ที่นี่ในช่วงสองอาทิตย์
ที่ผ่านมา และแน่นอนว่าย่อมจะรู้สึกเหงาอยู่บ้างเมื่อพวกท่านทั้งสอง
ไป” ซุนเหรินถอนหายใจ
“อย่าลืมมาเยี่ยมพวกเราบ้างเป็นบางครั้ง” ซุนเฉียนกล่าวกับพวกเขา
ด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่กล่าวคำอำลากับครอบครัวของเธอแล้ว ซุนจิงจิงและซู
หยางก็กลับไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“เวลาที่ผ่านไปสองอาทิตย์นี้ได้ให้ช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตแก่
ข้าจนถึงตอนนี้…” ซุนจิงจิงกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ข้าสงสัย
ว่าชีวิตของพวกเราจะเป็นเช่นไรถ้าพวกเรามิใช่ผู้ฝึกยุทธ”
“ข้ารู้ว่าข้าได้กล่าวเช่นนี้บ่อยครั้ง แต่อย่างไรก็ตามขอบคุณ ซูหยาง
ที่ยอมรับคนอย่างข้าเข้าสู่ชีวิตของเจ้า…” ซุนจิงจิงกระซิบอยู่ในอ้อม
กอดของเขา
“และก็ต้องขอขอบคุณที่เลือกเข้ามาในชีวิตของข้า…” ซูหยางกล่าว
ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะที่เขาตอบกลับอ้อมกอดของเธอด้วยการจูบ
อย่างเสน่หาที่ริมฝีปาก