dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 531 ค่ายกลชั้นเยี่ยม
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 531 ค่ายกลชั้นเยี่ยม
บทที่ 531 ค่ายกลชั้นเยี่ยม
หลังจากที่ให้วิชาฝีมือใหม่กับจางซิวยิงแล้ว ซูหยางก็อยู่ที่นั่นอีกสอง
สามชั่วโมงเพื่อสอนวิชานั้นให้กับเธอก่อนที่จะกลับไปยังศาลาหยิน
หยาง
ครั้นเมื่อไปถึงแล้วซูหยางก็เคาะประตูห้องที่อยู่ถัดจากห้องเขา
สองสามอึดใจให้หลัง ชิวเยว่ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้ว
“ข้ากำลังจะสร้างค่ายกลชั้นเยี่ยมล้อมรอบนิกาย แล้วก็ข้าต้องการ
ความช่วยเหลือจากเจ้า” เขากล่าวกับเธอ
“….”
ชิวเยว่มองดูเขาพร้อมกับทำตาโต จากนั้นเธอก็พูดว่า “ท่านต้องการ
ที่จะสร้างค่ายกลชั้นเยี่ยมสำหรับที่แห่งนี้รึ ท่านมิทำเกินไปหน่อยรึ
ค่ายกลธรรมดาก็เพียงพอในการปกป้องที่แห่งนี้ไปหลายพันปี มัน
เป็นการสูญเสียทรัพยากรโดยมิจำเป็น”
ค่ายกลชั้นเยี่ยมนั้นเป็นค่ายกลระดับสูงที่รวมค่ายกลสามอย่างเข้า
ด้วยกันเป็นค่ายกลชั้นเยี่ยมหนึ่งหลัง ซึ่งปกติแล้วจะประกอบด้วย
ค่ายกลโจมตี ค่ายกลป้องกัน และค่ายกลควบคุม
“ข้ารู้ แต่ใครจะรู้ว่าจักเกิดอะไรขึ้นเมื่อข้ามิได้อยู่ในที่แห่งนี้แล้ว ข้า
ต้องการที่จะจากที่แห่งนี้ไปโดยปราศจากความกังวล” เขากล่าว
“ท่านเป็นห่วงที่แห่งนี้จริง ๆ ใช่ไหม แม้กระทั่งแท้จริงแล้วท่านมิได้
เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่เลย”
“ข้าคงมิได้ห่วงที่แห่งนี้มากนักถ้าศิษย์คนอื่นมิได้จากนิกายไป และ
ข้ามิได้รับตำแหน่งผู้นำนิกาย แม้ว่าข้าจักมิได้อยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
ตราบเท่าที่ยังเป็นผู้นำนิกาย ข้าต้องรับผิดชอบในการปกป้องที่แห่ง
นี้ ยิ่งไปกว่านั้นที่แห่งนี้มีความหมายยิ่งกว่าเป็นเพียงอีก “สำนัก”
สำหรับข้าในตอนนี้ ในเมื่อข้าเองได้ลงทุนลงแรงด้วยตนเองไป
มากมายในนี้ มันมิได้เกินเลยไปหากว่าจะเรียกที่นี่ว่าเป็นสำนักของ
ข้าในตอนนี้”
“ต่อให้ท่านพูดเช่นนั้นก็ตาม…” ชิวเยว่ถอนหายใจและกล่าวต่อว่า
“ขอบเขตความรู้เกี่ยวกับค่ายกลของข้านั้นอยู่เพียงแค่ในระดับพื้นฐาน
เท่านั้น และถึงแม้ว่าท่านต้องการข้าให้ทำ ข้าก็มิมีความสามารถที่จะ
สร้างค่ายกลชั้นเยี่ยมได้ ดังนั้นท่านจะให้ข้าช่วยเหลือได้อย่างไร”
“ข้าเพียงต้องการพลังการฝึกปรือของเจ้าเป็นพลังให้กับค่ายกลชั้น
เยี่ยม ส่วนสำหรับตัวค่ายกลเองนั้น ข้าจักจัดการมันด้วยตัวข้าเอง”
ชิวเยว่พยักหน้า
“แต่ว่า เซียวหรงกับชินเหลียงหยู่ไปไหน ข้ามิเห็นพวกเธอมาชั่วขณะ
แล้ว” ซูหยางพลันถามเธอ
“ใครจะรู้ นับตั้งแต่เจ้าแมวนั่นต้องการที่จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น น้อง
หญิงเหลียงหยูก็เข้าไปช่วยเหลือมัน พวกเขาอาจจะยังคงเดินทางไป
ที่ไหนอยู่ในตอนนี้”
“น้องหญิงเหลียงหยูรึ…” ซูหยางเลิกคิ้วกับวิธีที่เธอเรียกขานชิวเหลียง
หยูราวกับว่าพวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกัน “เมื่อไหร่กันที่พวกเจ้าทั้ง
สองคนสนิทสนมกัน”
“นั่น…”
ชิวเยว่พลันนึกถึงตอนที่เธอทำการดูดดื่มอาวุธประจำกายของเขา
หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ของเขา จนทำให้หน้าเธอแดงขึ้น
“ม-มันสำคัญด้วยรึว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่” เธอรีบตอบ
ซูหยางยิ้มหลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของเธอ เขากล่าวว่า “ถ้าเจ้ามิต้องการ
ที่จะแบ่งปันข้าก็มิบีบบังคับ อย่างไรก็ตามข้ากำลังจักไปเริ่มสร้าง
ค่ายกลชั้นเยี่ยมในตอนนี้”
หลังจากปล่อยชิวเยว่ไว้ตามลำพังแล้ว ซูหยางก็ไปแวะหาโหลว
หลานจีซึ่งกำลังศึกษาวิชามาตั้งแต่ได้รับมันจากซูหยาง
“เจ้าต้องการที่จะเริ่มสร้างค่ายในตอนนี้รึ” โหลวหลานจีประหลาดใจ
ที่ได้ยิน และเธอก็ถามเขา “เจ้าคิดว่ามันจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่
และเจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่”
“มันควรจะเสร็จทันเวลาก่อนที่ข้าจะไปตรวจสาขาฝึกวิชาคู่ในอีก
สองสัปดาห์ข้างหน้า” เขาตอบ
“รวดเร็วเช่นนั้น” โหลวหลานจีอุทานออกมาด้วยเสียงตระหนก
“มิใช่ว่าปกติแล้วค่ายกลจักต้องใช้เวลาเป็นปี หรือหลายสิบปีในการ
สร้างรึ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันใหญ่พอที่จะครอบคลุมไปทั่วทั้ง
นิกาย ว่าแต่เจ้าจักทำอย่างไรให้เสร็จภายในเวลาสองสัปดาห์”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่าใช้มาตรฐานของเจ้ากับข้า และ
อย่าเปรียบเทียบข้ากับนักสร้างค่ายกลในโลกนี้ มันเหมือนกับการ
เปรียบคนที่เพิ่งเริ่มฝึกฝีมือมามินานกับจอมยุทธที่มีประสบการณ์มา
หลายพันปี”
“จ-เจ้าพูดถูก… ข้ามิรู้ว่าทำไมข้าถึงยังคิดใช้เหตุผลของโลกนี้กับตัว
เจ้า…” โหลวหลานจีเกือบยกมือปิดหน้าของตนเอง
ถ้าเธอรู้ว่าสิ่งที่ซูหยางมีอยู่ในใจนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ค่ายกลธรรมดา
ทั่วไป แต่เป็นค่ายกลชั้นเยี่ยม สิ่งที่มีความซับซ้อนกว่านับร้อยเท่า
ปฏิกิริยาของเธอก็คงจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ ตามจริงแล้วค่ายกลชั้น
เยี่ยมนั้นยังมิได้มีปรากฏขึ้นในโลกแห่งนี้ เพราะว่าไม่มีนักสร้างค่าย
กลคนไหนที่มีความรู้มากถึงขนาดนั้น
“ช-เช่นนั้น เจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่” เธอพลันถาม
เขา
“ใช่ ข้าหวังว่าเจ้าและเหล่าศิษย์ช่วยหว่านหินวิญญาณไปรอบ ๆ
สำนักในขณะที่ข้าสร้างค่ายกล” เขาพยักหน้า
“โอ นั่นค่อนข้างง่ายดาย หินวิญญาณกี่ก้อนกันที่พวกเราพูดถึง”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็ตอบด้วยการยกนิ้วขึ้นไปสามนิ้ว
“สามล้านก้อนรึ” เธอเอียงคอ
“สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ” เขากล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย
“สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณรึ” โหลวหลานจีร้องลั่น ดวงตาและ
ปากต่างเปิดกว้างจากความตกใจ
ในขณะที่นิกายมีหินวิญญาณอยู่กว่าห้าร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ ซึ่ง
มีมากเพียงพอ เธอก็ไม่คิดว่ากว่าครึ่งของมันจะหายไปรวดเร็วเช่นนี้
สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณสามารถช่วยเหลือนิกายได้นานกว่า
100 ปีได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อคิดว่าซูหยางยินดีที่จะใช้ทรัพยากร
มากมายเช่นนี้ไปกับเพียงแค่ค่ายกลหนึ่งหลัง
“จ-เจ้ามั่นใจว่านิกายจำเป็นต้องใช้ค่ายกลที่แพงเช่นนั้นในการปกป้อง
ตนเองรึ ซูหยาง.. นิกายล้านอสรพิษก็ได้หายไปแล้ว และข้าก็มิคิดว่า
จะมีใครอื่นที่กล้าที่จะโจมตีพวกเรา…” โหลวหลานจีถามเขาด้วย
เสียงสั่นสะท้าน เมื่อเธอได้คิดอีกรอบหลังจากที่รู้ถึงจำนวนทรัพยากร
มหาศาลที่ต้องการใช้สำหรับค่ายกลนั้น
“กันไว้ดีกว่าแก้ แม้ว่านิกายจะปลอดภัยในตอนนี้ ใครจะพูดได้ว่ามัน
จักปลอดภัยไปในอีกร้อยปี หรืออีกสิบปีข้างหน้าต่อจากนี้ และมันก็
ใช้เพียงแค่สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ พวกเรายังคงมีเหลืออีก
มากมายหลังจากนั้น” ซูหยางพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ต่อให้พวกเรายังคงมีหินวิญญาณเหลืออยู่อีกมากหลังจากนั้น แต่
การใช้หินวิญญาณกว่าสามร้อยล้านก้อนในครั้งเดียวนั้นยังมิเคยได้
ยินมาก่อน…” โหลวหลานจีถอนใจ รู้สึกถึงอาการปวดหัวที่เกิดขึ้น
กับตัวเธออย่างรวดเร็ว