dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 542 ไม่สนใจกับสถานการณ์
บทที่ 542 ไม่สนใจกับสถานการณ์
เช้าวันถัดมา ซูหยางตื่นขึ้นจากเสียงของโหลวหลานจีและเสียงประตู
ถูกเคาะ
“ซูหยาง ตื่นหรือยัง พวกเรามีเรื่องด่วน” เธอตะโกนขณะที่ทุบประตู
ของเขา
“เกิดอะไรขึ้นรึ” ซูหยางเปิดประตูในเวลาถัดไปและก็เห็นทั้งโหลว
หลานจีและไป่ลี่ฮัวยืนอยู่ด้านนอกประตูห้องของเขาด้วยสีหน้า
กระวนกระวาย
“ข้าเพิ่งได้รับข่าวจากสำนักของข้า ดูเหมือนว่าจะมีสมบัติวิญญาณ
เกิดขึ้นบริเวณนี้ และกองกำลังเกือบทั้งหมดในทวีปตะวันออกได้ส่ง
คนออกมาค้นหามันเรียบร้อยแล้ว นี่จะต้องเกิดความโกลาหลรอบ ๆ
ที่แห่งนี้ในเร็ว ๆ นี้” ไป่ ลี่ฮัวกล่าวกับเขา
“สมบัติวิญญาณรึ…” ซูหยางเลิกคิ้วด้วยท่าทางงุนงง
ถ้าสมบัติวิญญาณเกิดขึ้นจริง เช่นนั้นเขาก็ควรจะสังเกตพบนานแล้ว
แต่ทว่าความเป็นจริงที่ว่าไม่ว่าเขาหรือชิวเยว่กลับไม่มีใครที่จะ
สังเกตพบมันได้ทำให้คำร่ำลือนี้ค่อนข้างจะมีปัญหา
“คำร่ำลือกล่าวว่ามันเป็นสมบัติวิญญาณระดับเทพซึ่งเป็นตำนาน
หนึ่งระดับเหนือกว่าระดับสวรรค์” โหลวหลานจีกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหยางยิ่งมีความสงสัยต่อคำร่ำลือ ในเมื่อปกติแล้วนี่
ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพลาดการเกิดขึ้นของสมบัติวิญญาณระดับ
เทพ
หลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะ ซูหยางก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
ในเมื่อสุดท้ายเขาก็รู้ได้ถึงสถานการณ์ทั้งหมด
“ไม่มีสมบัติวิญญาณ” เขาเปิดเผยให้กับพวกเธอ ซึ่งได้แต่เพียงจ้อง
มองเขาด้วยดวงตากลมโต
“เอ๋ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ทำไมเจ้าถึงรู้” ไป่ ลี่ฮัวถามเขา
“ถ้ามีสมบัติวิญญาณระดับเทพจริง ๆ ข้าจักต้องรู้เรื่องนั้นก่อนที่มัน
จะเกิดด้วยซ้ำ แต่ทว่าความจริงที่ข้ามิได้รับรู้อะไรเลยแบบนั้นนั่นก็
เป็นเพราะว่ามันมิได้มีอยู่”
“ส่วนสำหรับคำร่ำลือนั้น ข้าก็มีความคิดหนึ่งอยู่เช่นกันว่าทำไมพวก
เขาจึงต่างพากันสรุปว่าเป็นเช่นนั้น”
โหลวหลานจีและไป่ ลี่ฮัวพากันนิ่งเงียบฟังเขา ซึ่งพูดต่อไปอีกว่า
“พวกเจ้ายังจำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวานนี้”
“อะไรรึ… เจ้าสร้างค่ายกลชั้นเยี่ยม…. เอ๋” ไป่ ลี่ฮัวพลันตระหนักถึง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นและก็ได้อุทานออกมรk
“ต้องเป็นเรื่องนั้นแน่นอน” โหลวหลานจีก็เข้าใจถึงสถานการณ์
เช่นกันและได้กล่าวต่อว่า “เมื่อเจ้ากระตุ้นค่ายกลชั้นเยี่ยมเมื่อวานนี้
มันต้องการพลังวิญญาณจำนวนมหาศาล คนบางคนต้องได้รับรู้ถึง
พลังวิญญาณจำนวนมากที่ผิดธรรมชาติในเวลานั้นและได้เข้าใจผิด
ว่ามันเป็นการเกิดขึ้นของสมบัติวิญญาณ”
“ข้ามิโทษพวกเขาที่คิดว่าสมบัติวิญญาณได้เกิดขึ้น ในเมื่อข้าเองก็คง
คิดเช่นนั้นเหมือนกันถ้าข้ามิได้อยู่ที่นี่เป็นสักขีความจริงนี้ด้วยตัวข้า
เอง” ไป่ลี่ฮัวถอนใจ
และเธอก็กล่าวต่ออีกว่า “พวกเราควรทำอะไรดีในตอนนี้ คำพูดนั้น
ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปเรียบร้อยแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่ามิมี
ทางที่จะหยุดคนพวกนี้มิให้มาที่นี่”
“ทำไมพวกเราต้องทำอะไรด้วย” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น สร้างความงง
งันให้กับเธอ
“ถ้าพวกเขาคิดว่ามีสมบัติวิญญาณที่นี่ เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขา
ค้นหามัน มิช้าก็เร็วที่พวกเขาก็จักได้ตระหนักว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็น
เรื่องหลอกลวงและจากไป”
“นั่นก็อาจจะเป็นจริง… แต่สถานการณ์นี้ดูเหมือนจะเป็นมากกว่า
เพียงแค่สมบัติวิญญาณ ในเมื่อคนมากมายมาที่นี่ จะต้องมีความ
ขัดแย้งระหว่างคนบางคนเกิดขึ้นหรือกระทั่งสงคราม เจ้ากล่าวว่าเจ้า
มิสนใจหากว่าจะต้องอยู่ท่ามกลางสนามรบรึ”
ซูหยางพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ต่อให้เกิดสงครามเต็มรูปเกิดขึ้นข้าง
นอกประตูบ้านพวกเรา นั่นก็มิได้มีผลต่อพวกเราแต่อย่างใดเลย
ตราบเท่าที่พวกเราอยู่ภายในนี้ มิใช่ว่าศิษย์ของพวกเราต่างพากันไป
ฝึกวิชาอยู่ข้างนอกนั่น”
“จริงอยู่ ถ้าหากว่าสถานการณ์นั้นควบคุมไม่อยู่ มันก็มิได้ต้องใช้
ความพยายามมากนักในการหยุดยั้งมัน” ซูหยางกล่าวขณะที่สายตา
ของเขามองไปยังประตูที่อยู่ด้านหลังของพวกเธอ
“โอ ใช่แล้ว… ถ้าสิ่งต่าง ๆ มิสามารถควบคุได้ ผู้อาวุโสชิวเยว่ก็
สามารถหยุดยั้งมันได้อย่างง่ายดายด้วยตัวตนที่ทรงอำนาจของเธอ”
โหลวหลานจีกล่าว
“ว่าแต่สำนักหงส์สวรรค์ก็ส่งคนมาที่นี่เช่นกันรึ” ซูหยางถามเธอ
“แน่นอน เมื่อตอนที่ข้าไม่อยู่ ผู้อาวุโสสำนักก็จักทำแทนข้า และ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเธอที่จะส่งศิษย์
บางส่วนออกมาค้นหาสมบัติวิญญาณถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่คำร่ำลือ
ที่ปราศจากมูลความจริงก็ตาม” เธอกล่าว
“แต่เมื่อทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดและมิได้มีสมบัติวิญญาณ
จริง ๆ ข้าก็จักบอกพวกเธอให้กลับคืนสู่สำนัก มิว่าอย่างไรก็ตามข้ามิ
ต้องการที่จะชักนำให้ศิษย์ของข้าเข้าสู่อันตรายที่มิได้มีความจำเป็น
ใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมิได้มีผลลัพธ์ใด”
สองสามอึดใจให้หลัง ไป่ ลี่ฮัวก็พูดขึ้นในขณะที่มองเข้าไปด้านใน
ห้องของเขาว่า “ว่าแต่ว่าซูหยินอยู่ไหนกัน ข้าคิดว่าเธออาศัยอยู่ใน
ห้องของเจ้าเมื่อคืนนี้”
“เธอยังคงหลับอยู่ด้านใน เจ้าสามารถเข้าไปดูได้ด้วยตนเองถ้าเจ้า
กังวลเกี่ยวกับเรื่องเธอ” เขากล่าว
“เธอยังคงหลับอยู่รึ…” ไป่ ลี่ฮัวคิดในใจ ในเมื่อพวกเธอได้ทำเสียง
ค่อนข้างจะอึกทึกกันในตอนนี้ และก็เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้
ความสนใจและหลับทั้งที่มีเสียงรบกวนเช่นนั้นนอกจากว่าคนนั้น
เหนื่อยมากหรือง่วงจัด
ในเวลานั้นโหลวหลานจีได้ทำตัวนิ่งเฉย ในเมื่อเธอได้สังเกตเห็นตั้ง
นานแล้วถึงสัมผัสของแก่นหยินบริสุทธ์ิที่ยังอ้อยอิ่งออกมาจาก
ภายในห้อง
“ขอแสดงความยินดีด้วยน้องสาว” โหลวหลานจีแสดงความยินดีต่อ
ซูหยินอยู่ในใจ ในเมื่อเธอได้จินตนาการไว้แล้วว่าได้เกิดอะไรขึ้น
เมื่อคืนนี้
ในเวลาถัดไป ไป่ลี่ฮัวก็จากไปเพื่อติดต่อกับสำนักหงส์สวรรค์
เนื่องจากสถานการณ์นี้
แม้ว่าผู้อาวุโสนิกายจะงุนงงสงสัยในตอนแรก เมื่อมันส่งตรงมาจาก
ไป่ลี่ฮัว พวกเธอก็แต่เรียกเหล่าศิษย์ที่ได้ส่งออกไปข้างนอกกลับคืน
สู่สำนักอย่างลังเลใจ
“แจ้งให้เหล่าศิษย์ได้รู้ถึงสถานการณ์นี้และเตือนพวกเขาให้อยู่แต่
ภายในนิกายจนกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ได้จบลง” ซูหยางกล่าวกับโหลว
หลานจีหลังจากนั้น
ครั้นเมื่อโหลวหลานจีจากไปแล้ว ซูหยางก็เคาะประตูห้องชิวเยว่
“เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามเธอจากด้านนอก
“…”
ไม่ได้มีการตอบสนองจากชิวเยว่แม้กระทั่งจะผ่านไปหลายอึดใจ
หลังจากนั้น
อย่างไรก็ตามซูหยางก็ยังคงยืนอยู่ด้านนอกของห้องของเธอรอคอย
คำตอบอยู่อย่างอดทน
สองสามนาทีให้หลัง เสียงเบา ๆ ก็ดังขึ้น “ข้ามิต้องการเห็นท่านไป
สักพัก”
“ข้าเข้าใจ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขมบนใบหน้าก่อนที่จะปล่อยให้
เธออยู่ตามลำพัง
ในเวลานั้นภายในห้อง ชิวเยว่นอนเหยียดอยู่บนเตียงพร้อมกับทั่วทั้ง
ใบหน้าที่แดงก่ำ ขณะที่เธอนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ระหว่าง
การนวด