dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 585 การรุกรานของสํานักสุวรรณสิงห์ 5
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- บทที่ 585 การรุกรานของสํานักสุวรรณสิงห์ 5
บทที่ 585 การรุกรานของสํานักสุวรรณสิงห์ 5
“ชิวเยว่เจ้าสามารถเปิดใช้งานค่ายกลพรางตาในยานหรือไม่ พวกเราจะพักกันที่นี่สักสองสามวัน” ซูหยางพูดกับเธอหลังจากที่กลับไปยังยานแล้ว
ชิวเยวพยักหน้า จากนั้นสองสามอึดใจให้หลัง ก็เกิดเกราะกําบังทั่วทั้งยาน
“แค่นี้ พวกเราล่องหนแล้วรี” ซีหวังถามเขา
“ใช่ และนอกจากว่าพวกเขาชนเข้ากับยานหรือว่ามีใครที่มีความสามารถมากพอที่จะเห็นทะลุค่ายกลได้ มิเช่นนั้นพวกเขาก็จักมิรับรู้ถึงการคงอยู่ของพวกเรา” ซูหยางกล่าว
“เช่นนั้นทั้งหมดที่พวกเราต้องทําในตอนนี้ก็คือรอคอยผู้นําของพวกนั้นปรากฏตัว…” ชีหวังกล่าวขณะที่เขาจ้องมองไปยังผู้คนที่ยังสลบไสลด้านล่างพวกเขา
สองสามนาทีหลังจากที่ซูหยางลบความทรงจําของพวกเขา เหล่าบรรดาดาบเสี้ยวจันทร์ก็พากันตื่นขึ้นทีละคนสองคน และพวกเขาต่างก็พากันงุนงงกับเหตุการณ์ลึกลับ
“ก-เกิดบ้าอะไรขึ้น ทําไมพวกเราทั้งหมดจึงหลับไป” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น
“ข้าก็จําอะไรมิได้”
“ข้าก็นึกอะไรไม่ออกเช่นเดียวกัน”
ในเวลานั้นที่ห่างออกไปสามพันกิโลเมตรจากที่แห่งนั้น ชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นที่ใหญ่และน่าเกลียดบนใบหน้าก็ได้ยืนอยู่ต่อหน้าคนอีกสิบคน และพวกเขาล้วนสวมชุดของดาบเสี้ยวจันทร์
“ท่านผู้นําเล่ย กองกําลังเสริมจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางควรจะมาถึงภายในอีกสามวันข้างหน้า”หนึ่งในร่างพวกนั้นกล่าวขึ้น
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นําของดาบเสี้ยวจันทร์พยักหน้า แล้วเขาก็พูดด้วยน้ําเสียงที่ยากจะปกปิดความตื่นเต้นของตนเองได้ออกมาว่า “สุดท้าย… หลังจากที่ใช้ความพยายามนับไม่ถ้วนตลอดระยะเวลาหลายสิบปีและเสียสละทหารของพวกเรานับพัน สุดท้ายพวกเราก็โค่นล้มตระกูลซีได้อย่างถาวรตลอดไป”
“ขอแสดงความยินดี ท่านผู้นําเลย”
“ขอแสดงความยินดี ท่านผู้นํา”
“สุดท้ายทวีปตะวันออกก็ตกเป็นของท่าน ท่านผู้นํา”
คนทั้งสิบคนนั้นเริ่มชื่นชมเขา ซึ่งก็ได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ยามเมื่อทวีปตะ วันออกตกอยู่ในกํามือของข้าแล้วข้าก็จักสามารถที่จะแก้แค้นตระกูลซีได้ในที่สุด ข้าจักทําให้เจ้าเลวซีอี้มู่เสียใจที่ทําลายชีวิตของข้า และข้าก็จักทําเช่นนั้นด้วยการย่ํายีลูกสาวสุดที่รักของเจ้านั้นต่อหน้าต่อตาตนเอง ถ้าเจ้านั่นตายไปเสียก่อน ข้าก็จักเล่นกับเธอบนหลุมฝังศพของเจ้าซีอี้มู่นั่นแทน
กลิ่นอายของผู้นําแผ่กระจายความคิดฆ่าฟันออกมา เสียงของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความเกลียดอันลึกล้ํา
“ท่านผู้นํา ข้ามีคําถาม” หนึ่งในคนเหล่านั้นพลันกล่าวขึ้น “พวกเราสามารถเชื่อถือกําลังเสริมจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางได้หรือไม่”
“จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าพวกนั้นต้องการมากกว่าที่เราเสนอ”
“นั่นมิสายเกินไปที่เพิ่งมาถามตอนนี้” ผู้นํากล่าว และพูดต่อไปว่า “ถึงแม้ว่าพวกนั้นตัด สินใจที่จะทรยศพวกเรา ตราบเท่าที่ข้าสามารถแก้แค้นได้ อย่างอื่นก็มสําคัญอีก”
คนทั้งสิบคนนั้นพากันเงียบไป
ในเวลานั้นที่แห่งหนึ่งในทะเลหยก ก็จะเห็นยานขนาดยักษ์มุ่งตรงมาที่ทวีปตะวันออกด้วยความเร็วสูงมาก
“ท่านเจ้าสํานัก มีปลาไหลมังกรอีกตัวตรงเข้ามาหาเรา” คนหนึ่งบนเรือเพื่อนเจ้าสํานักทอง
“โฮกกกกกกกก”
เสียงคํารามที่ทรงพลังพลันดังขึ้น และสัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่คล้ายกับงูเห่าก็พุ่งทะยานขึ้นจากท้องน้ําพร้อมกับกรงเล็บที่เล็งไปยังยานที่กําลังเคลื่อนที่
“ตายซะ”
เจ้าสํานักทองพลันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าปลาไหลมังกรและต่อยมันด้วยหมัดที่เรื่องแสงสีทอง 26R5
“หมัดสิงห์สวรรค์”
นาดขึ้นบนร่างของปลาไหลมังกรตรงบริเวณที่เจ้าสํานักทองต่อยหมัดออก ฆ่ามันตาย
ในทันที
“สมกับเป็นเจ้าสํานัก เขาสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณด้วยหมัดเดียว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นจึงทําให้เขากลายเป็นเจ้าสํานักสุวรรณสิงห์”
ผู้คนบนเรือต่างพากันชื่นชมถึงชัยชนะอันท่วมท้นของเจ้าสํานักทอง
“หากปราศจากเจ้าสํานักทอง พวกเราก็คงมิสามารถมาได้ไกลถึงเพียงนี้ ทะเลหยกนั้นช่างน่ากลัวเกินไป จนเกินความคาดหมายของข้า”
“เป็นเช่นนั้น พวกเรานั้นถูกโจมตีทันทีนับตั้งแต่พวกเราเริ่มต้นออกเรือเมื่อหลายเดือนก่อนบรรดาสัตว์ทะเลนั้นทั้งหมดนั้นล้วนมีพลังอยู่ในช่วงเขตปฐพีวิญญาณกับเขตอัมพรวิญญาณมีเพียงส่วนน้อยที่อยู่ในเขตราชันย์วิญญาณ”
“ถ้าหากว่าบนพื้นผิวทะเลยังอันตรายมากเช่นนี้ ข้าก็มิอาจจะจินตนาการได้ว่าลึกลงไปใต้ทะเลหยกนั้นจักเป็นเช่นไร”
“พวกเจ้าอย่าพูดถึงเรื่องนั้นได้หรือไม่ ข้านั้นขนลุกไปหมดแล้วเพียงแค่พูดถึงมัน…”
หลังจากเอาชนะปลาไหลมังกรแล้ว เจ้าสํานักทองก็กลับคืนไปยังเรือและกล่าวกับลูกเรือว่า“พวกเราควรจักไปถึงทวีปตะวันออกในอีกสามวัน จงเตรียมตัวไว้ เพราะว่าพวกเราจักไปหาอะไรสนุกๆกันที่นั่นยามเมื่อพวกเราไปถึงแล้ว”
ทั่วทั้งยานสั่นสะเทือนไปเพราะผู้คนต่างพากันตะโกนร่ําร้องด้วยความตื่นเต้นไม่นานหลังจากนั้น
“ซิงเอ๋อร์ เจ้าสามารถนอนในห้องไหนก็ได้ที่ว่าง” ซูหยางกล่าวกับเธอยามเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด
“ขอบคุณ แต่ข้ามิรู้สึกเพลียแม้แต่น้อย” ซีซิงฟางกล่าว
“ท่านต้องการชมจันทร์เป็นเพื่อนข้าหรือไม่” เธอพลันกล่าวกับเขา
“นั่นนับเป็นเกียรติของข้า” ซูหยางกล่าว
รอยยิ้มสดสวยปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีชิงฟาง จากนั้นเธอก็ตบไปบนพื้นข้างกายเธอเบาๆ
“ท่านสามารถนั่งที่นี่ได้” เธอกล่าว
ซูหยางพยักหน้า และทรุดกายลงนั่งบนพื้นข้างกายซีชิงฟาง
ครั้นเมื่อเขานั่งลงแล้ว ซีซิงฟางก็หันกลับไปจ้องมองยังดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับบนฟากฟ้าและพูดด้วยเสียงชื่นชมว่า “ข้ามเคยเห็นดวงดาวมากมายเช่นนี้บนท้องฟ้ามาก่อน”
“บางที่อาจเป็นเพราะข้ามักจะหมกตัวอยู่แต่ในห้องตามความปรารถนาของพ่อของข้า และมิได้มีโอกาสที่จะประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามข้ามิได้โทษเขาในเมื่อข้ารู้ว่านี้ก็เพื่อความปลอดภัยของข้า”
“แต่นับตั้งแต่ข้าพบกับท่าน ซูหยาง ข้ารู้สึกราวกับว่าข้านั้นได้อยู่นอกห้องของข้ามาก กว่าเดิมและได้ใช้เวลากับโลกข้างนอกมากกว่าเดิม”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าได้พบปะกับคนมากมายที่มีสถานการณ์คล้ายคลึงกันนี้ คนผู้ที่เกิดมาด้วยฐานะอันสูงส่งพร้อมกับตรวนที่มองไม่เห็นที่ล่ามอิสระของพวกเขาไว้ และด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้าก็รู้สึกปรารถนาที่จะช่วยเหลือพวกเขาเป็นอิสระจากโซ่ตรวนนั้นเสมอ”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูเธอด้วยรอยยิ้มหล่อเหลาแล้วกล่าวว่า “ถ้าเจ้าต้อง การปลดเปลื้องพันธนาการนั้น ข้าก็ยินดีช่วยเหลือเจ้า”
“ซูหยาง” ซีซิงฟางมองไปที่เขาด้วยใบหน้าที่สับสนอยู่บ้าง ดูเหมือนจะหลงไหลไปกับรอยยิ้มอันโดดเด่นของเขา