dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - ตอนที่ 192 ถ้าเจ้าก้าวมาอีกก้าว ข้าจักหักขาของเจ้า
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - ตอนที่ 192 ถ้าเจ้าก้าวมาอีกก้าว ข้าจักหักขาของเจ้า
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในนิกายดอกบัวเพลิงแล้ว จางซิวยิงได้นำซูหยางไปลงทะเบียนชื่อของเขาในสมุดบันทึกชื่อแขก
“มีคนมากที่นี่ในวันนี้…” จางซิวยิงประหลาดใจหลังจากที่เห็นแขกจำนวนมากที่ลงชื่อในวันนี้ ซึ่งมากกว่าที่ควรเป็นตามปกติ
เมื่อผู้อาวุโสนิกายมองเห็นเสื้อผ้าของซูหยาง ท่าทางบนใบหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วน ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไรกับสถานการณ์นี้
เขามองดูจางซิวยิงและแอบส่ายหน้า
เมื่อคิดว่าศิษย์ในของตนเองหน้าด้านพอที่จะพาคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้ามาในนิกายของตนเอง ผู้อาวุโสนิกายรู้สึกเสียใจอย่างมาก เพราะว่าในสายตาของเขา การกระทำของจางซิวยิงไม่ต่างจากการนำหญิงคณิกาเข้าบ้าน
“ห้ามผู้มาเยี่ยมอยู่ภายในนิกายดอกบัวเพลิงหลังเที่ยงคืน ดังนั้นเจ้าต้องออกไปก่อนหน้านั้น” ผู้อาวุโสนิกายพูดขณะยื่นส่งบัตรผู้มาเยี่ยมให้กับซูหยางด้วยท่าทางรังเกียจอยู่บ้าง
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส” จางซิวยิงกล่าว แน่นอนว่าไม่รู้ว่าเธอเพิ่งถูกกำหนดให้เป็นหญิงดอกทองโดยผู้อาวุโสนิกาย
“ไปกันเถอะ ซูหยาง ข้าจักพาเจ้าไปหาผู้อาวุโสหวัง” เธอกล่าวกับเขาครั้นเมื่อพวกเขาออกไปจากอาคารบริการแล้ว
ซูหยางพยักหน้าและเริ่มติดตามเธอเข้าไปในนิกาย
ระหว่างการเดินระยะสั้นๆนั้น มีศิษย์หลายคนที่หรี่ตามองดูซูหยาง ท่าทางของพวกเขาแสดงถึงความรังเกียจ ราวกัว่าพวกเขามองดูสัตว์ชั้นต่ำ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในภาคตะวันออกถึงวิธีการฝึกวิชาที่นอกคอก และในสายตาของผู้ฝึกวิชาปกติทั่วไปหลายคน พวกเขาไม่ต่างไปจากโสเภณีที่อาศัยการฝึกวิชามาเป็นข้ออ้างเพื่อหมกมุ่นกับกิจกรรมทางเพศ
อย่างไรก็ตามซูหยางคุ้นเคยกับการที่มีผู้คนมองดูเขาด้วยท่าทางไม่พึงใจ ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับเป่าฝุ่นผงออกจากไหล่
“ข้าขอโทษ…” จางซิวยิงขอโทษซูหยางหลังจากที่พบเห็นสถานการณ์รอบข้าง เธอรู้สึกต้องการขอโทษเขาเพราะว่าเธอก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของนิกายดอกบัวเพลิง
“ทำไมเจ้าต้องขอโทษ นั่นมิจำเป็นต้องให้ความสนใจคนเหล่านั้น เพียงทำเหมือนกับว่าพวกนั้นเป็นแค่มด” ซูหยางกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ตกลง…” เธอพยักหน้า
สองสามนาทีต่อมา เมื่อพวกเขามองเห็นที่พักของผู้อาวุโสหวังจากระยะไกล จางซิวยิงเกือบร้องออกมากับฉากที่เห็นเมื่อเธอพบว่ามีคนมากมายมารวมตัวกันหน้าบ้านผู้อาวุโสหวัง ยิ่งไปกว่านั้น คนเกือบทั้งหมดนี้ไม่ใช่ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง ล้วนสวมเสื้อผ้าที่แสดงถึงสำนักและตระกูลต่างๆ
นั่นเป็นสายยาวเหยียดจากที่พวกเขายืนอยู่เรื่อยไปจนถึงบ้านหวังชูเหริน ทำให้สถานที่นี้เหมือนกับตลาดอันวุ่นวาย
“น-นี่ไม่ได้มีคนมากมายปานนี้ตอนที่ข้าออกไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เกิดอะไรขึ้นในขณะที่ข้าไม่อยู่” จางซิวยิงอุทานเมื่อเธอนับได้อย่างต่ำกว่าสองร้อยคนในแถวด้วยสัมผัสวิญญาณของเธอ
“เจ้ามิได้ยินรึ ผู้อาวุโสหวังเพิ่งประกาศว่าเธอจะขายโอสถดอกบัวเพลิงที่มีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซนต์ชั่วขณะโดยมีจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงมีคนมากมายตรงมาที่นี่เพื่อที่จะได้รับส่วนแบ่ง” คนสุดท้ายของแถวอธิบายหลังจากได้ยินเสียงร้องตกใจของเธอ “ยังมีคนมาอีกมากระหว่างที่เราพูดคุย”
หนึ่งในเหตุผลที่เป็นเหตุให้ฐานะของหวังชูเหรินพุ่งพรวดก็เพราะว่าเธอมีความสามารถในการปรุงโอสถดอกบัวเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดร้อยเปอร์เซนต์ บางสิ่งที่สั่นสะเทือนตลาดยาเมื่อเธอประกาศตัวมันออกมาเป็นครั้งแรก
“เราควรทำอย่างไรดี ซูหยาง” จางซิวยิงถามเขา “ข้ามิคิดว่าเราจักสามารถพบตัวผู้อาวุโสหวังวันนี้”
แม้ว่าพวกเขาสามารถเข้าไปพบเธอในวันนี้ได้ หวังซูเหรินอาจจะไม่มีเวลามาฟังพวกเขา นี่คือความคิดของจางซิวยิง
“ทำไมเราต้องยืนเข้าแถวด้วย ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อที่จะซื้อโอสถดอกบัวเพลิง” ซูหยางกล่าว
“แต่ว่าเราจะไปพบเธอได้อย่างไร เรามิอาจแซงทุกคนในแถวและ—”
“เจ้าอยู่ที่นี่ชั่วครู่” ซูหยางตัดบทเธอและเริ่มเดินออกไป
จางซิวยิงเหม่อมองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเขาเพิกเฉยต่อแถวยาวเหยียดอย่างเยือกเย็น ตรงไปยังที่พักของหวังซูเหริน
ผู้คนในแถวตอนแรกก็ไม่สนใจเขา แต่ครั้นเมื่อพวกเขาพบว่าเขาไม่ใช่แค่เพียงเดินผ่าน พวกเขาพลันเริ่มก่นด่าเขาในทันใด
“เฮ้ เจ้าคิดว่ากำลังจะไปไหน แถวอยู่ด้านหลังโน่น”
เมื่อมีคนหนึ่งตะโกนก็เหมือนกับเกิดคลื่น คนอื่นๆอีกหลายคนก็เริ่มอ้าปากพูด ทำให้สถานที่นั้นเกิดความปั่นป่วนอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้ไหมว่าคนมากมายเท่าไหร่ที่เจ้าล่วงเกินโดยการแซงนอกแถว ข้าสงสัยว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเจ้าต้องมีความสุขแน่ถ้าพวกเขาพบว่ามีผู้ทรงอิทธิพลต่างๆมากมายไปเคาะประตูหน้าบ้านหลังจากวันนี้เป็นต้นไป”
“ใช่แล้ว นิกายของเจ้าต้องทนรับผลจากการกระทำของเจ้า”
แม้ว่าคำข่มขู่เหล่านี้ทั้งหมดถูกโยนไปหาเขา ซูหยางยังคงเดินไปด้วยใบหน้าท่าทางไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำกล่าวเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งมีชายวัยกลางคนตัดสินใจก้าวออกมาจากแถวมายืนอยู่ตรงหน้า เพื่อขวางทางเขาไว้
“นั่นคือผู้อาวุโสเกาจากศาลาโอสถหยก”
ผู้คนจดจำชายวัยกลางคนได้อย่างรวดเร็ว เขาเป็นนักปรุงยาที่ได้รับความนับถือเป็นอย่างสูงในภาคตะวันออก
“มีอะไรให้ข้าช่วยรึ” ซูหยางถามเขาด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“ยังทำท่าโง่อีกรึ ข้ามิสนใจว่าเจ้าเป็นศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าเจ้าก้าวมาอีกก้าว ข้าจักหักขาของเจ้า”
“เขตสัมมาวิญญาณระดับสาม หึ ไปให้พ้น พยายามที่จะหักขาข้า มิได้ผลหรอก” ซูหยางกล่าวพร้อมหรี่ตาสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนบริเวณนั้น
“…” ผู้อาวุโสเกาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อซูหยางบ่งบอกระดับพลังการฝึกปรือของเขาได้อย่างง่ายดายในขณะที่เขาไม่อาจรับรู้ว่าพลังการฝึกปรือของซูหยางเป็นอย่างไร
“ช่างเป็นคนที่อันตราย” ผู้อาวุโสเกาเริ่มหลั่งเหงื่อภายใต้เสื้อคลุมเมื่อสายตาของเขาพบกับสายตาคมกล้าของซูหยางที่ปลดปล่อยแรงกดดันไร้สภาพออกมา