dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 329
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 329
บทที่ 329 ถ้าท่านมิพอใจกับเพียงแค่จูบ ข้าสามารถ…
หลังจากที่รอคอยชั่วขณะและเห็นว่าไม่มีการตอบสนองจากซูหยาง
ซูหยินตัดสินใจที่จะดำเนินการไปอีกระดับโดยการมุ่งไปยังเป้า
กางเกง
“พี่ชาย ถ้าท่านมิพอใจกับเพียงแค่จูบ ข้าสามารถใช้ปากของข้าดูด…”
“ซูหยิน ควบคุมความต้องการของเจ้า” ซูหยางพลันกล่าว “น้องสาว
ของข้าจะแสดงท่าทีที่ไร้ความสง่าผ่าเผยได้อย่างไร เจ้ากำลังทำตัวมิ
ต่างจากโสเภณีชั้นต่ำในตอนนี้”
“!!!” ร่างซูหยินพลันสั่นสะท้านเมื่อเธอได้ยินคำพูดเย็นชาของเขา
และร่างของเธอก็ชะงักค้าง
“นั่งลง” เขากล่าวต่อ
“ข้าเสียใจ…” ซูหยินขอโทษก่อนที่จะกลับไปยังที่นั่งของเธอ
“เจ้าต้องการที่จะรู้ว่าข้าอยู่ที่ไหน ใช่ไหม ข้าจักบอกเจ้า”
ซูหยางจึงดำเนินการอธิบายว่าเขาได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยได้อย่างไรนับตั้งแต่เขาสูญเสียความทรงจำ
แน่นอนว่า เขาไม่ได้พูดอะไรที่น่าตื่นตระหนกเกินไปให้เธอได้ยิน
อย่างเช่นการเดินทางไปยังทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลาง
ตามจริง เขาเพียงบอกเธอไปตามตรงว่าเขามีชีวิตอย่างเสรีเพียงไรใน
ฐานะของศิษย์และไม่มีอย่างอื่นนอกไปจากข้อมูลที่เพียงพอที่จะลบ
ล้างความกังวลและความสงสัยของซูหยินไปเท่านั้น
“ส่วนสำหรับหญิงที่เจ้าเห็นและพยายามจะโจมตีนั้น เธอเป็นจอม
ยุทธที่ทรงอำนาจที่มาจากดินแดนอันห่างไกล และเธอก็ยังช่วยข้า
ฟื้นคืนความทรงจำด้วย”
“…”
หลังจากที่รู้ว่าชิวเยว่ไม่เป็นดังที่เธอได้จินตนาการ ซูหยินก็รู้สึกผิด
อย่างมหันต์ที่ทำกับอีกฝ่ายเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจร้ายที่ได้
ล่อลวงซูหยางและลบความทรงจำของเขา
“อืมมม… ผู้มีบุญคุณคนนี้อยู่ที่ไหนในตอนนี้ ข้าต้องการที่จะขอ
โทษเธอหลายอย่าง… รวมไปถึงขอบคุณเธอที่ช่วยฟื้นคืนความทรง
จำของท่าน…”
“ตอนนี้เธอยุ่งอยู่ ดังนั้นเจ้าจึงมิได้เห็นเธอ แต่ข้าจักบอกกล่าวถึง
ความรู้สึกของเจ้าให้กับเธอในอนาคต” เขากล่าว
“ตอนนี้ในเมื่อข้าได้บอกเล่าสิ่งที่เจ้าต้องการทราบแล้ว เรากลับมา
พูดคุยในเรื่องอื่นกัน ดีไหม”
ซูหยางมองดูซูหยินด้วยท่าทางเยือกเย็นแต่ก็จริงจังและถามเธอว่า
“เจ้าจักมิลืมข้ามิว่าเช่นไรอย่างนั้นรึ”
“ใช่แล้ว ต่อให้ข้าต้องเผชิญกับทั้งโลก ข้าก็ยังต้องการที่จะอยู่กับ
ท่าน” เธอตอบโดยไม่มีแววของความลังเลแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านความเงียบมาชั่วขณะ ซูหยางก็พยักหน้า “ให้เวลาข้า
บ้างที่จะคิดถึงเรื่องนี้ ข้าจักบอกคำตอบของข้าให้กับเจ้าหลังจากนี้”
แม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกมา แต่เขาก็ชื่นชมความกล้าหาญและความ
เด็ดเดี่ยวของซูหยิน
“ในที่สุดต่อให้นี่มิใช่ตัวข้า ข้าก็ยังต้องรับผิดชอบที่ทำให้เธอเป็น
เช่นนี้” เขาคิด
“ข้าเข้าใจแล้ว…” แม้ว่าจะไม่พึงพอใจกับผลลัพธ์ ในเมื่อเธอต้องการ
ที่จะรู้คำตอบจากเขาในตอนนี้ ซูหยินก็ยังคงรู้สึกโล่งอกในเวลา
เดียวกันกับการที่เขาไม่ได้ปฏิเสธเธอในทันที
“ตราบเท่าที่ยังมีโอกาส ข้าจักไม่ยอมแพ้” เธอคิด
“อย่างไรก็ตาม พี่ชาย ข้าต้องการที่จะอยู่กับนิกายของท่านไปอีกสอง
สามวัน นั่นคงมิเป็นไร ใช่ไหม” เธอพลันถาม
“นั่นควรจะมิมีปัญหา” เขาพยักหน้า
“อีกอย่างหนึ่ง พี่ชาย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนี้ เป็นที่เช่นไรกันแน่
ข้ามิเคยได้ยินชื่อสถานที่เช่นนี้มาก่อน”
“เจ้าควรจะถามศิษย์คนอื่น” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ
ในเวลาเดียวกันในห้องข้างซูหยาง โหลวหลานจีและฟางซีหลานได้
พูดคุยกัน
“เจ้ามั่นใจรึที่จะไม่ต้องการเป็นผู้นำนิกายคนต่อไป เจ้าได้ก้าวล้ำ
เหนือข้าในด้านการฝึกวิชาไปแล้ว” โหลวหลานจีกล่าว
“จะเกิดอะไรขึ้นกับท่านถ้าข้าดำรงตำแหน่งนั้น” ฟางซีหลานถาม
“แน่นอนว่าข้าก็จักเกษียณตัวเองและกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดหรือ
อะไรที่คล้ายคลึงกันสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เธอกล่าว
เมื่อผู้นำนิกายสละตำแหน่งของตนเองไปให้คนรุ่นหลัง ผู้นำนิกายก็
จะยังไม่ทิ้งนิกายไว้เบื้องหลังแต่จะกลายเป็นคนที่เหมือนกับบรรพชน
หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือผู้อาวุโสสูงสุด
ครั้นเมื่อเปลี่ยนเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว พวกเขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับ
ธุระในนิกายอีก และพวกเขาก็จะใช้ช่วงชีวิตที่เหลือมุ่งเน้นในการ
ฝึกวิชา คล้ายกับการเก็บตัวฝึกวิชา นอกจากว่านิกายเผชิญพบกับภัย
พิบัติจนพวกเขาต้องถูกบีบให้ปรากฏตัวออกมา
หลังจากครุ่นคิดไปอีกชั่วขณะ ฟางซีหลานก็ส่ายหน้า “หลังจาก
คิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ยังคงมิสามารถที่จะรับตำแหน่งผู้นำนิกาย ถ้าจะมี
ใครที่ควรรับตำแหน่งนี้ นั่นควรจะเป็นซูหยาง…”
“ซูหยาง หึ แน่นอนว่าข้าก็มีความคิดนี้ในใจเช่นกัน แต่เจ้าลืมไปแล้ว
รึว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีสองตำแหน่งสำหรับผู้นำนิกาย หนึ่ง
ชายหนึ่งหญิง”
“ผู้นำนิกาย ข้าคิดว่าเราควรพูดถึงเรื่องนี้ยามเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
สามารถได้รับการเรียกว่า “นิกาย” อีกครั้ง…” ฟางซีหลานถอนใจ
“อัยย่า… ซูหยางได้สัญญาว่าจะทำอะไรบางอย่างเรื่องนี้ไปแล้วด้วย
เช่นนั้นมันจักต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“ท่านผู้นำนิกายมีความเชื่อถือในตัวเขาเป็นอย่างมาก มิใช่ว่าข้ามิ
เข้าใจ” ฟางซีหลานยิ้ม
“ข้ามิเคยเห็นเจ้ายิ้มเช่นนี้มาหลายปีแล้ว” โหลวหลานจีก็ยิ้มขึ้นเช่นกัน
“พูดเรื่องซูหยาง เจ้าเชื่อจริงหรือกับการทดสอบวันนี้ เป็นที่รู้กันดีว่า
เขามักจะมีไพ่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเสมอ ข้ามิประหลาดใจเลยถ้าเขา
ไปยุ่งกับเทวรูปวิญญาณ”
“เรื่องนั้น… ผู้นำนิกายจักต้องรู้ความจริงในเวลามินานนัก” ฟางซี
หลานไม่ต้องการที่จะเปิดเผยความประหลาดใจให้กับอีกฝ่าย
“ฮึ่ม ซูหยางนั่นช่างมีอิทธิพลชั่วร้ายจริง ตอนนี้กระทั่งเจ้าก็ยังเก็บ
ซ่อนความลับไว้จากข้า” โหลวหลานจีทำแก้มป่ อง
ฟางซีหลานหัวเราะหึ ๆ กับท่าทางเป็นเด็กของอีกฝ่าย เป็นเวลานาน
แล้วนับตั้งแต่ที่พวกเธอได้พูดกันครั้งสุดท้ายในแบบที่ผ่อนคลาย
และเสรีเช่นนี้ ว่าไปแล้วนับตั้งแต่เธอกลายเป็นศิษย์หลัก พวกเธอก็
ยากที่จะได้พูดกับอีกฝ่าย
“อย่ากังวลไปเลยท่านผู้นำนิกาย มันคุ้มค่าที่จะรอคอย ข้าสัญญา”
ไม่นานหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าสุดท้ายพี่น้องคู่นี้ก็ได้พูดคุยกันจบแล้ว” เธอกล่าว “พวก
เราไปเจอพวกเขากัน”
“ตระกูลซู หึ… ข้ายังคงมิอาจเชื่อว่าเขาเป็นคนหนึ่งจากตระกูลใหญ่…”
ฟางซีหลานคิดในใจ
สำหรับสมาชิกของตระกูลใหญ่มาอยู่ยังสถานที่ดังเช่นนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัย มีอะไรอยู่ในใจของซูหยางกันยามที่เขาตัดสินใจเช่นนั้น