dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 408 การปรากฏตัวของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 408 การปรากฏตัวของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
บทที่ 408 การปรากฏตัวของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
วันถัดมาทุกคนในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรวมตัวกันที่ด้านหน้า
โรงเตี๊ยมรวมไปถึงผู้อาวุโสนิกายที่เก็บตัวฝึก
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ข้ามิคิดว่าข้าจักสามารถเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณโดยมิ
ต้องใช้เวลาอีกห้าสิบปี” ผู้อาวุโสซุนหัวเราะดังลั่นหลังจากที่ออก
จากที่เก็บตัว
“ท่านทำตัวน่าอาย ท่านปู่…” ซุนจิงจิงมองดูเขาแปลก ๆ
“แน่นอน ข้าย่อมมิอาจเทียบกับเจ้าได้ เจ้าก้าวไปถึงเขตปฐพีวิญญาณ
ตั้งแต่ยังเยาว์ แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็ยังคงเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
ของข้า” เขากล่าว
“ที่ผ่านมาข้าได้ยินจากท่านผู้นำนิกายว่าพ่อแม่ของเจ้าได้มาเยี่ยม
พวกเราขณะที่ข้ากำลังเก็บตัวอยู่ พวกเขาพูดกับเจ้าว่าอะไรรึ”
“อย่ากังวล ท่านปู่ นั่นมิใช่อะไรที่ท่านจำเป็นต้องรู้ แต่ถ้าท่านต้องการ
จะรู้จริง ๆ ท่านก็ไปถามพวกเขาเอง”
“โห เจ้าปีกกล้าขาแข็งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ผู้อาวุโสซุนเลิกคิ้วเมื่อเขา
สังเกตเห็นบางอย่างผิดแผกไปจากตัวหลานสาวซึ่งดูมีกลิ่นอายเป็น
ผู้ใหญ่กว่าเดิม
“หลายอย่างได้เกิดขึ้นนับตั้งแต่ท่านเข้าเก็บตัว แต่ท่านจักรู้มิช้าก็เร็ว”
ซุนจิงจิงกล่าวแต่เธอก็ยังไม่ยินดีที่จะเปิดเผยทุกอย่างให้กับอีกฝ่าย
“ฮึ่ม เจ้าสามารถเก็บความลับของเจ้า แต่อย่ามาร้องไห้กับข้าถ้าพ่อ
แม่เจ้าทำสิ่งยุ่งยากให้กับเจ้าในอนาคต” ผู้อาวุโสซุนกล่าวก่อนจะ
เลิกสนใจเธอ
ไม่นานจากนั้น โหลวหลานจีก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาและกล่าว
ว่า “พวกเราครบหมดหรือยัง”
“พวกเราพร้อมแล้ว ท่านผู้นำนิกาย”
ทุกคนต่างพากันตะโกนด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์รุ่น
เยาว์
“ดี” โหลวหลานจีพยักหน้า
หลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไปถึงโคลีเซียม
เมื่อพวกเขาไปถึงประตูใหญ่ ผู้คนที่นั่นต่างพากันหันจ้องมองพวกเขา
ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
มีกระทั่งชายหนุ่มหญิงสาวสองสามคนตรงมาหาพวกเขาด้วยเจตนา
ที่จะเข้าร่วมด้วย
“ขออภัย ท่านผู้นำนิกายและท่านผู้อาวุโส เมื่อไหร่ที่นิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยจะเริ่มรับศิษย์อีกครั้ง”
“นับตั้งแต่ข้าเห็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเอาชนะนิกาย
ดอกบัวเพลิง ข้าก็ต้องการที่จะเข้าร่วมนับแต่นั้น”
“ข้าก็เช่นกัน ข้าก็ต้องการเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน”
แม้ว่าเธอถึงกับต้องผงะกับความกระตือรือร้นของพวกเขา โหลว
หลานจีก็ยังพูดด้วยสีหน้าของมืออาชีพว่า “การรับสมัครครั้งต่อไป
สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนั้นวางแผนไว้ประมาณหนึ่งเดือน
หลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค แต่ทว่าเนื่องจากมีความเปลี่ยน
แปลงบางอย่างกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ดังนั้นอาจจะต้องล่าช้าไป
บ้าง ดังนั้นขอให้รอหลังจากการการแข่งขันระดับภูมิภาคในการ
ประกาศอย่างเป็นทางการ”
แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าหาพวกเขา แต่ก็มีอีกมากมายที่นั่นที่สนใจ
ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแต่อายเกินกว่าที่จะตรงเข้ามาหาพวกเขา
และได้จดจำคำพูดของโหลวหลานจีอยู่ด้านหลังอย่างเงียบ ๆ
เกือบสองชั่วโมงให้หลัง การแข่งขันระดับภูมิภาคก็ได้เริ่มต้นขึ้นใน
ที่สุด
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่รอบรองชนะเลิศสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค
แม้ว่าจะผ่านไปเพียงมิกี่ปีหลังจากการแข่งขันครั้งก่อนนี้ แต่ก็เห็นชัด
ว่ามีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในยุทธภพในช่วงไม่กี่ปีสั้น ๆ นี้”
หลังจากที่ใช้เวลาสองสามนาทีในการย้ำถึงกฎ ซื่อตงก็เรียกผู้เข้าร่วม
การแข่งขันสำหรับการต่อสู้คู่แรก
“อันดับถัดไปให้ข้าได้แนะนำผู้เข้าแข่งขันสำหรับนัดแรกนี้ นิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัย หนึ่งในสองม้ามืดของยุคนี้ และคู่ต่อสู้ของพวกเขา
แชมป์ ที่มิมีใครล้มได้มาหลายปี สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ”
ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงด้วยความตื่นเต้นเมื่อสุดท้ายสำนักกระบี่
ศักด์ิสิทธ์ิก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที เมื่อพวกเขาได้รอให้อีกฝ่ายกลับมา
นับตั้งแต่การแข่งขันเริ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามเพียงแค่ไม่ถึงนาทีนับตั้งแต่สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิได้
ขึ้นไปยืนบนเวที ผู้ชมก็ได้สังเกตเห็นบางอย่างผิดแผกไปจากพวก
เขา
“นี่อะไรกัน… มีบางอย่างผิดไปกับสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิปีนี้ แต่ข้ามิ
สามารถที่จะชี้ชัดความผิดปกตินั้นออกมาได้…”
“เจ้าพูดถูก แม้ว่าข้าอาจจะพูดผิดแต่พวกเขาดูเหมือนจะมีสง่าราศี
ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับการปรากฏตัวครั้งก่อนหน้านั้น เหมือนกับว่า
พวกเขามิได้เหนือกว่าอีกต่อไป”
“เมื่อเจ้ากล่าวถึงตอนนี้ น่าจะเป็นเหตุผลนั้นแหละ มิว่าอย่างไรก็ยังมี
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักเมฆม่วงในปีนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับ
ความเป็นอัจฉริยะทึ่เหนือเหตุผลของพวกเขาแล้ว สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
ดูมิเห็นว่าแข็งแกร่งแต่อย่างใด ดูพวกเขาสิผู้ฝึกวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด
ของพวกเขาอยู่เพียงแค่ระดับสามเขตปฐพีวิญญาณ ซึ่งมิมีอะไรหาก
เปรียบเทียบกับฟางซีหลาน ยิ่งมิต้องเปรียบกับหงอวี้เอ๋อร์”
ขณะที่มีหลายคนได้ดูถูกสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ แต่ก็มีคนมากกว่าที่
ปกป้องพวกเขา
“แม้ว่าพวกเขาอาจจะเปรียบกับฟางซีหลานหรือหงอวี้เอ๋อร์ในแง่
ของพลังการฝึกปรือได้ แต่สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิก็ได้มีผู้ฝึกกระบี่ที่มี
ชื่อเสียงมากมายทั้งยังมีประสบการการต่อสู้มาหลายร้อยปี”
“จริงด้วย และพวกเขาก็มีอัจฉริยะมากมายที่สามารถต่อสู้กับผู้ที่มี
ขอบเขตเหนือกว่าตนเองได้ ดังนั้นเจ้ามิอาจที่จะดูหมิ่นพวกเขาได้”
“หากพูดถึงการสู้กับผู้ที่มีขอบเขตเหนือกว่า แล้วชายหนุ่มคนนั้น
จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยล่ะ เขาสามารถเอาชนะคนที่อยู่เขตปฐพี
วิญญาณในขณะที่เพียงอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณ ถ้าเจ้าถามข้านั่นมิยิ่ง
น่าตระหนกกว่าหงอวี้เอ๋อร์ที่มีพลังการฝึกปรือในเขตอัมพรวิญญาณ
อีกรึ”
“เขาชื่อว่าซูหยางใช่ไหม ช่างยากที่จะตัดสินความแข็งแกร่งของเขา
จากสิ่งที่พวกเราเห็นมาก่อนหน้านี้ ในเมื่อเขามิเคยแสดงอะไรที่น่า
ตระหนกถึงที่สุดออกมาอย่างจริงจัง และเขาก็แทบจะมิปรากฏตัว
บนเวที ตามจริงข้ายังคงมิเข้าใจว่าทำไมเขาจึงสามารถจัดการนางฟ้า
หลินเชาชางได้”
“เอ้อ หวังว่าเขาได้ต่อสู้กับสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ เพื่อที่พวกเราจัก
สามารถเข้าใจความแข็งแกร่งของพวกเขาได้”
ในเวลานั้นบนเวที ผู้อาวุโสจงจ้องมองซูหยางซึ่งยืนอยู่ไม่กี่เมตร
ออกไปจากเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เจ้าเด็กเลว ข้ามิคิดว่าเจ้าเป็นแค่รุ่นหลังของข้าเนื่องมาจากวิธีที่เจ้า
พูด เจ้าเล่นตลกกับข้ามาตลอดใช่ไหม” ผู้อาวุโสจงกล่าวกับเขา
พร้อมกับหรี่ตา
“ข้ามิรู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร” ซูหยางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“โอ เจ้ามิรู้ว่าข้าพูดถึงเรื่องอะไร ดีดี เช่นนั้นมาดูกันว่าเจ้าจักจำได้
หรือไม่หลังจากที่พวกเราจัดการกับเจ้าแล้ว”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูหยางขณะที่เขาพูด “เจ้าสามารถ
ลองดูได้”