dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 414 เข้าสู่รอบตัดสิน
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 414 เข้าสู่รอบตัดสิน
บทที่ 414 เข้าสู่รอบตัดสิน
“ข..ข้า…” เย่ไฉอื้อพูดไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าซูหยางที่มีกลิ่นอายของ
เขตอัมพรวิญญาณ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเธอเป็นมดที่อยู่ต่อหน้าช้าง
ตามจริงแล้วปราณไร้ลักษณ์ของซูหยางจะหนาแน่นและมากมาย
กว่าผู้ฝึกวิชาทั่วไปในเขตอัมพรวิญญาณเป็นผลเนื่องมาจากวิชายุทธ
ที่เหนือกว่าและปราณหยินทั้งหมดที่เขาได้ดูดซับ
“โอ ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าคนผู้หนึ่งจะเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณ แต่นั่น
มิได้หมายความว่าเขาจักสามารถใช้สำนึกกระบี่ได้”
ซูหยางค่อย ๆ ดึงกระบี่ออกจากฝักข้างกาย จนทำให้กลิ่นอายที่น่า
หวาดหวั่นของเขายิ่งเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
ครั้นเมื่อเขาเผยให้เห็นกระบี่ ก็เหมือนกับว่ามีกระบี่ที่มองไม่เห็นนับ
ไม่ถ้วนได้ปรากฏรอบกายเขากวาดผ่านไปทั่วพื้นที่
ภาพลวงตานี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นพากันหลั่งเหงื่อท่วมตัว เมื่อพวก
เขาเชื่อว่ากระบี่ที่มองไม่เห็นจะตัดพวกเขาได้จริง ๆ ถ้าหากว่าไป
แตะโดนมันเข้า
“สำนึกกระบี่ประเภทไหนกันนี่” ผู้อาวุโสจงกรามร่วงลงถึงพื้น ใน
เมื่อเขาไม่เคยเห็นสำนึกกระบี่ที่มีความแข็งแกร่งพอที่จะสร้างภาพ
ลวงตาที่เหมือนจริงนี้
“คนผู้นี้… จริงแล้วเขาน่ากลัวเกินกว่าที่ข้าคิด…” เจ้าซีครุ่นคิดในใจ
พร้อมกับขมวดคิ้ว
แม้ว่าซูหยางจะเพียงอยู่ในระดับเริ่มต้นเขตอัมพรวิญญาณ เจ้าซีก็ไม่
มีความมั่นใจที่จะเอาชนะซูหยางด้วยพลังการฝึกปรือระดับสูงสุดใน
เขตอัมพรวิญญาณ
“ข้ามิอยากเชื่อว่าจริงแล้วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มีรุ่นหลังที่อยู่ใน
เขตอัมพรวิญญาณด้วยเช่นกัน”
“สุดท้ายหงอวี้เอ๋อร์ก็พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ นี่จักต้องเป็นการ
ต่อสู้ที่มิเคยมีมาก่อนในการแข่งขันระดับภูมิภาค”
“ไม่ นอกจากว่าหงอวี้เอ๋อร์จะรู้จักสำนึกกระบี่ ชายหนุ่มคนนี้ตอนนี้
ได้เปรียบกว่า”
ผู้ชมต่างพากันเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังสำหรับการแข่งขันระหว่าง
พวกเขา
ในเวลานั้น เย่ไฉอื้อได้แต่สั่นสะท้านอยู่บนเวทีต่อหน้ากลิ่นอายอัน
กดดันของซูหยาง รู้สึกไร้พลังอย่างสิ้นเชิงต่อหน้าสำนึกกระบี่ของ
เขา
“สิ่งที่ข้าแสดงให้เจ้าเห็นในวันนี้เป็นเพียงแค่ปลายคมกระบี่ ถ้าเจ้า
ต้องการที่จะรู้จักมากกว่านี้ในเรื่องกระบี่ ไปหาข้าที่นิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัย” ซูหยางกล่าว
“ตอนนี้เจ้ายังต้องการที่จะสู้ต่อหรือไม่”
“สู้รึ” เย่ไฉอื้อหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยตัวเองชั่วขณะก่อนที่จะยืน
ขึ้นและเดินออกไปจากเวทีอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าหดหู่
เมื่อเห็นเช่นนี้ซื่อตงก็ประกาศอย่างรวดเร็วว่า “หลังจากการพลิกผัน
อันมิคาดคิดน่าตื่นตระหนก เย่ไฉอื้อได้ลงไปจากเวที ยอมแพ้การ
แข่งครั้งนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะการแข่งครั้งนี้และจักมุ่งตรง
เข้าสู่รอบตัดสินในวันพรุ่งนี้”
อย่างไรก็ตามแม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะชนะการแข่งครั้งนี้ แต่
ผู้ชมก็ได้แต่เงียบงันราวกับว่าพวกเขายังคงตระหนกจนพูดไม่ออก
กับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซูหยาง
“อืออ…เจ้ามีอะไรที่เจ้าต้องการจะพูดสำหรับผู้ชมในตอนนี้หรือไม่”
ซื่อตงถามซูหยาง
“แน่นอนว่ามี แต่ตอนนี้มิใช่เวลาที่เหมาะสม จักต้องรอจนกว่าพวก
เราได้เป็นแชมป์ ในวันพรุ่งนี้ก่อน”
“ข-ข้าเข้าใจแล้ว…” ซื่อตงพูดไม่ออกและไม่กล่าวอะไรอีกหลังจาก
นั้น
“นี่เป็นปัญหา…” กูกว่านถิงพึมพัมขมวดคิ้ว “ข้ามิคาดว่าพวกเขาก็มี
คนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณด้วยเช่นกัน หงอวี้เอ๋อร์ เจ้าคิดว่าเจ้าจัก
สามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่”
“ใครจะรู้” หงอวี้เอ๋อร์ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ราวกับว่าเธอไม่สนใจในเรื่องนี้
“อย่างไรก็ตามเราสามารถพูดเรื่องเขาหลังจากการต่อสู้ของพวกเรา”
กูกว่านถิงพูด
หลังจากการแข่งขันของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว สำนักเมฆม่วงก็
ขึ้นไปบนเวที และเช่นเดียวกับที่ทุกคนได้คาดคิดไว้ สำนักเมฆม่วง
เอาชนะคู่แข่งของเธอได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแท้จริงแล้วสำนักเมฆม่วง
ได้ส่งหงอวี้เอ๋อร์ไปเป็นนักสู้เพียงลำพัง
“สำนักเมฆม่วงจักมุ่งสู่รอบตัดสินในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพวกเขาจักต้องสู้
กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อที่จะเป็นแชมป์” ซื่อตงกล่าวกับทุกคน
หลังจากที่การแข่งขันสำหรับวันนั้นจบสิ้นแล้ว ขณะที่นิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยเตรียมตัวกลับไปยังที่พัก พวกเขาก็ถูกโหมกระหน่ำด้วย
ผู้คนนับไม่ถ้วน
“อาจารย์ซู ข้าเป็นผู้นำของตระกูลเจียง และหญิงสาวคนนี้เป็นลูก
สาวข้า…”
“ข้าชื่อไคจิงจากตระกูลไคจากภาคตะวันตกและลูกสาวข้าอยากพูด
กับท่าน…”
เหมือนกับสถานการณ์ของฟางซีหลานและหงอวี้เอ๋อร์ ตระกูลนับ
ไม่ถ้วนได้เข้าหาซูหยางด้วยเจตนาที่จะเกี้ยวเขาด้วยลูกสาวของ
ตนเองหลังจากที่รู้ถึงพรสวรรค์และศักยภาพของเขา
ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์เขตอัมพรวิญญาณเป็นสิ่งที่ทุกตระกูลปรารถนา
อย่าว่าแต่คนที่ทั้งหล่อเหลาเตะตาอย่างเช่นซูหยาง ซึ่งเพียบพร้อมไป
ด้วยพรสวรรค์หาใดเทียมและหน้าตา
แม้ว่าซูหยางจะอยู่ในสถานที่โสมมอย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
และมีอะไรกับผู้หญิงนับไม่ถ้วน สาวน้อยที่รายล้อมเขาในตอนนั้น
ต่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเพียงปรารถนาจะกระโจนเข้าไปหาเขา
แม้ว่าเธอจะเป็นเพียงแค่คนอุ่นเตียงให้กับเขา
สาวสวยนับร้อยรายล้อมซูหยางในเวลานั้น แต่ในสายตาของเขามี
เพียงคนหนึ่งคน และคนผู้นั้นไม่ใช่แม้กระทั่งผู้หญิง ตามจริงเขาเป็น
ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าคมคายและสีหน้าที่ดูดื้อดึง
“ข้ามิคิดว่าท่านจักเข้ามาหาข้า” ซูหยางกล่าวกับเขา “ท่านต้องการ
อะไรจากข้าในตอนนี้รึ ถ้าท่านต้องการให้ข้ากลับไปยังตระกูล ข้าคง
ต้องปฏิเสธสำหรับข้อเสนอนั้น”
“ดูสิ นั่นซูซุน ผู้นำตระกูลซู”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันจดจำชายวัยกลางคนได้อย่างรวดเร็ว
“ตระกูลซูในสี่ตระกูลใหญ่รึ”
ตามที่ผู้คนได้คาดไว้ เมื่อเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่สุดในทวีปแห่ง
นี้ ตระกูลซูจึงถูกจำได้อย่างง่ายดายไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็ตาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนผู้นั้นเป็นผู้นำตระกูลซู ซูซุน ซึ่งประสบ
ความสำเร็จมากมายใต้เข็มขัด
“ลืมเรื่องนั้นไปซะ เจ้าได้ยินหรือไม่ที่ชายหนุ่มคนนั้นเพิ่งพูดไป เขา
มีความเกี่ยวพันกับตระกูลซู มิน่าทำไมเขาจึงมีพรสวรรค์เช่นนั้น
ย่อมสมควรแล้วสำหรับคนที่เกิดในตระกูลเช่นนั้น”
“ข้าควรจะรู้หลังจากที่ได้ยินชื่อของเขา ซึ่งนี่ยังหมายความว่าเขาเป็น
พี่ชายของนางฟ้าซู”
หลังจากที่รู้ว่าซูหยางมาจากสี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลเล็ก ๆ ที่รายล้อม
เขาต่างพากันถอยออกไปอย่างช้า ๆ พวกเขาตระหนักว่านี่เป็นเพียง
แค่ความฝันในการที่จะพยายามเกี้ยวคนจากตระกูลซู