dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 426 กระจกนิลกาฬ
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 426 กระจกนิลกาฬ
บทที่ 426 กระจกนิลกาฬ
ครั้นเมื่อพวกเขาไปถึงเป้าหมายแล้ว ชิวเยว่ก็สั่งให้ยานบินลงไป
ด้านล่าง
“ประตูมิติอยู่ท่ามกลางของที่ไหนก็ไม่รู้” ซูหยางมองดูเบื้องล่าง
ขณะที่กำลังลงไป และสิ่งเดียวที่เห็นในสายตาของเขาก็คือต้นไม้
แห้งแล้งและผืนดินที่ไร้ชีวิตไม่มีจุดสีเขียวให้เห็นแม้จะมองไกลไป
สุดขอบฟ้า
“นี่คือสภาพแวดล้อมหลักของทวีปใต้ ครึ่งหนึ่งของประชากรมีชีวิต
อยู่อย่างป่ าเถื่อน” ชิวเยว่กล่าวกับเขา เมื่อเธอเดินทางมาทวีปแห่งนี้
มามากกว่าหนึ่งครั้ง
เมื่อพวกเขาลงไปใกล้กับพื้น ซูหยางก็สามารถเห็นร่างหลายร่างยืน
อยู่ด้านใต้นั้นใช้สายตาจับจ้องมายังยานบิน
พวกเขามีอยู่ประมาณห้าสิบคน และทุกคนล้วนเป็นหญิงผิวสีแทน
“พวกนี้คือ…”
“พวกนี้มาจากชาติพันธุ์ที่ตั้งรกรากอยู่แถวนี้ ประตูมิติก็อยู่ในพื้นที่
ของพวกนี้เช่นกัน ข้าก็รู้จักพวกนี้เพียงเล็กน้อย ดังนั้นข้าจึงมิรู้อะไร
มากนัก”
“อืม…” ซูหยางพยักหน้า
ครั้นเมื่อพวกเขาลงจอดแล้ว ผู้คนทั้งหมดที่รออยู่เบื้องล่างก็ตรงเข้า
มาหายานบินก่อนที่จะคุกเข่าลงบนพื้น
“ยินดีต้อนรับกลับมา ท่านเทพธิดา” พวกเธอทั้งหมดต่างสวดด้วย
น้ำเสียงเคารพ
“เทพธิดารึ…” ซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์พากันหันไปมองดูชิวเยว่ด้วย
ใบหน้าประหลาด เธอในตอนนี้หน้าแดง
“อืม… ข้าสามารถอธิบาย…เรื่องนี้ได้…” ชิวเยว่รีบพูดด้วยท่าทาง
ประหม่า “ข้ามิรู้ว่าทำไม แต่พวกเธอต่างเริ่มเรียกข้าเช่นนั้นตั้งแต่ข้า
เริ่มปรากฏตัว และข้าก็มิได้ใส่ใจไปแก้ไข”
“เรียกเจ้าเป็นเทพธิดานี่ก็มิผิด ในเมื่อเจ้าก็มาจากวิหารจันทราศักด์ิสิทธ์ิ”
ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่ ประตูมิติอยู่ไหน”
เมื่อซูหยางพูดอย่างสบาย ๆ กับชิวเยว่ ผู้คนที่นั่นต่างก็พากันมองดู
เขาด้วยความตกใจ ตามความเป็นจริงแล้วผู้คนทั้งหมดที่นั่นต่างจ้อง
มองเขาด้วยสีหน้างงงัน ราวกับว่าพวกเธอไม่เคยเห็นผู้ชายมาก่อน
“อะไรของพวกนั้นกัน” หงอวี้เอ๋อร์เลิกคิ้ว “พวกเธอมองดูเจ้าเหมือน
กับต้องการจะกินเจ้า”
“เพราะว่าพวกเธอมีชีวิตอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว พวกเธอมิได้เห็นคน
ต่างถิ่นบ่อยนัก ที่สำคัญก็คือเกือบทุกคนที่อาศัยอยู่ในทวีปใต้นี้จะมี
ผิวสีแทน ดังนั้นผิวที่เหมือนกับหยกของพวกเราจึงเป็นของหายาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แถบนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้น…” ชิวเยว่มองดูหน้าตาหล่อเหลาและรูปลักษณ์ที่
เปี่ยมเสน่ห์ของซูหยาง เขาย่อมดึงดูดความสนใจไม่ว่าจะที่ไหนที่เขา
ไปหรือทำอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิง
ไม่นานหลังจากนั้น ชิวเยว่ก็พาทั้งสองคนไปยัง “ประตูมิติ” และ
กลุ่มของคนพื้นเมืองก็ติดตามอยู่เบื้องหลังพวกเขา
“นี่คือประตูมิติรึ…” ซูหยางมองดูประตูมิติที่มีรูปร่างเหมือนกับ
กระจกตรงหน้าเขา
มันเป็นกระจกเงาที่ค่อนข้างจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวของเขา แต่แทนที่
จะเป็นแก้วตรงกลางมันกลับเป็นสีดำสนิท
“เจ้าคิดว่าอย่างไร หลิงชี” ซูหยางถามเธอหลังจากที่ตรวจสอบประตู
มิติชั่วขณะ
หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “โดยมิต้องสงสัยข้าสามารถสัมผัส
ได้ถึงพลังวิญญาณที่เป็นของสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่มาจากมันแม้จะ
เพียงเล็กน้อยก็ตาม”
ซูหยางพยักหน้า “ตอนนี้พวกเรายังคงต้องตรวจสอบถึงต้นตอของ
มันและความปลอดภัยของมันว่ามีมากน้อยเพียงใด…”
ขณะที่เขากำลังพูดถ้อยคำเหล่านั้น ประตูมิติก็เริ่มสั่นสะเทือน
“ก-เกิดอะไรขึ้น” ชิวเยว่ถาม
“ข้ามิรู้เช่นกัน แต่รู้สึกเหมือนว่าจะมิถูกต้อง” ซูหยางกล่าวขณะที่เขา
ทิ้งระยะห่างออกมาจากมัน
อีกไม่กี่วินาทีต่อมา กระจกก็เริ่มบิดเบี้ยว ราวกับว่ามันกำลังถูกมิติ
กลืนกิน
และต่อหน้าต่อตาพวกเขา กระจกก็หายไปในอากาศ
“เม-เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ประตูมิติหายไปไหน” ชิวเยว่งงงันกับ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
“ท่านเทพธิดา ถ้าท่านพอจะอนุญาต…” หนึ่งในคนพื้นเมืองพลันเริ่ม
พูด “ประตูมิติที่ท่านเทพธิดาอ้างถึงนี้มันเรียกว่า กระจกนิลกาฬ และ
มันจะปรากฏขึ้นหนึ่งครั้งทุกสองปีและเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะ
หายไปอีกครั้ง”
“เป็นไปมิได้… เช่นนั้นเราต้องรอไปอีกสองปีก่อนที่มันจะปรากฏ
อีกครั้งงั้นรึ” ชิวเยว่ตกตะลึง
“ข้าเกรงว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น…” ชนพื้นเมืองพยักหน้า
“บอกข้าเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬนี้ให้กับข้าเพิ่มอีกสักหน่อยสิ” ซูหยาง
พลันตรงเข้าไปหาเธอและพูดขึ้น “ต้นกำเนิดของกระจกนี้อยู่ที่ไหน”
“ด-ด-ได้” ชนพื้นเมืองเริ่มหน้าแดงและเคลื่อนไหวไม่เป็นสุข “แม้ว่า
พวกเราจักมิรู้ว่ามันปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่มันก็ถูกค้นพบ
เมื่อห้าร้อยปีก่อนแล้ว มันจักปรากฏขึ้นหนึ่งครั้งทุกสองปีเป็นเวลา
สองสามชั่วโมงก่อนที่จะหายไป และจักดำเนินเป็นกิจวัตรเช่นนี้ทุก
ครั้งมาตลอดห้าร้อยปีที่ผ่านมา”
“เจ้ารู้ไหมว่ามันนำพาไปสู่ที่แห่งใด” ซูหยางถามต่อ
“ม-ไม่รู้” ชนพื้นเมืองส่ายหน้า “คนนับพันจากเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน
ได้เดินทางเข้าไปในกระจกนิลกาฬมาหลายปี แต่มิมีผู้ใดได้กลับคืน
มานับจนถึงวันนี้”
“แม้ว่าจะมีบางคนคาดว่ากระจกนิลกาฬจักนำไปสู่อีกด้านของ
จักรวาล และก็มีคนอื่นอีกที่เชื่อว่ามันมิมีปลายทางและมีเพียงแต่
ความตายเท่านั้นที่รออยู่สำหรับผู้ที่เข้าไปในความมืดนี้”
“ข้าเข้าใจแล้ว…ขอบคุณ” ซูหยางพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “แม้ว่า
มันจะโชคร้ายที่เราต้องรอไปอีกสองปีก่อนที่กระจกนิลกาฬจะ
ปรากฏอีกครั้ง อย่างน้อยพวกเราก็ได้มีเงื่อนงำแล้วตอนนี้ ต่อไปนี้
พวกเราควรพยายามที่จะเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เกี่ยวกับ
ประตูมิติและสถานที่แห่งนี้”
ชิวเยว่พยักหน้า
“เฮ้ ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าวขึ้น “ข้าจักต้องกลับไปยังร่างเดิม
ของข้าในอีกครึ่งปี ถ้าเจ้ามิกลับไปภายในสองปี ข้าจักใช้ทรัพยากร
ทุกอย่างของข้าพยายามที่จะหาสถานที่แห่งนี้เพื่อที่จะสามารถพาเจ้า
กลับไปได้ ถ้าเจ้าคิดว่าประตูมิตินี้อันตรายเกินไป ข้าจักจัดตั้งกลุ่ม
ค้นหาทันทีที่ข้ากลับไป”
ซูหยางพยักหน้า “ขอบใจ แต่จนกว่าข้าได้เรียนรู้เพียงพอเกี่ยวกับ
กระจกนิลกาฬนี้ มิเช่นนั้นข้าก็จักมิพยายามกลับไปอย่างบุ่มบ่าม ข้า
จักใช้เวลาของข้ากับเรื่องนี้ มิว่าอย่างไรความกังวลที่หนักที่สุดและ
เหตุผลที่จะกลับไปได้ถูกแก้ไขแล้ว”
“เจ้าหมายถึง.. เผ่าเทพอาชูร่าสู้กับจักรพรรดิสวรรค์รึ”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ ข้ากังวลเรื่องเจ้า”
“ที่รัก…” ได้ยินคำพูดเช่นนั้น หงอวี้เอ๋อร์ก็อดที่จะหน้าแดงและมี
น้ำตาซึมออกมาเล็กน้อยไม่ได้
“…” ชิวเยว่มองดูพวกเขาด้วยสีหน้าขรึม อดรู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์
ของพวกเขาไม่ได้
หลังจากนั้น ซูหยางก็หันไปมองดูชนพื้นเมืองที่ยังคงเงียบดูพวกเขา
จากระยะห่างและกล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้ามิถือ พอจะบอกพวกเรามาก
ขึ้นกว่านี้อีกหน่อยเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้และสิ่งที่มีความเกี่ยวข้อง
กับกระจกนิลกาฬนี้ได้หรือไม่”
ชนพื้นเมืองมองหน้ากันก่อนที่หนึ่งในนั้นจะก้าวออกมาและคำนับ
“ถ้าท่านมีปัญหาใด โปรดอย่าได้ลังเลที่จะถามพวกเรา”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “สำหรับการเริ่มต้น ทำไมพวกเรามิ
เปลี่ยนสถานที่พูดคุยกันล่ะ”
“เช่นนั้นโปรดให้พวกเราพาพวกท่านกลับไปยังที่พักของพวกเรา”
หญิงสาวชนพื้นเมืองกล่าว