dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 491 เจ้าเป็นใครกัน
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 491 เจ้าเป็นใครกัน
บทที่ 491 เจ้าเป็นใครกัน
เมื่อลูกค้าในร้านอาหารได้ยินคำพูดของซูหยาง พวกเขาต่างพากันอ้า
ปากค้างด้วยความตกใจ ไม่มีใครในพวกเขาได้เคยเห็นคนที่กล้าพอ
ที่จะตบหน้านายน้อยตระกูลมู่ตรง ๆ อย่างโหดร้าย
“โอพระเจ้า…คนที่สวมหน้ากากนี้เป็นใครกัน อัณฑะทำมาจากเหล็ก
หรืออย่างไรกัน*”
(ผู้แปล ไข่เหล็ก เป็นประมาณสำนวนมั้ง มีความหมายว่า กล้า คล้าย
กับคำไทยเรา ทองแดง ซึ่งเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ว่าคนที่เป็น
ทองแดงหรือมีไข่ข้างเดียว จะคงกระพัน)
“เขาเรียกนายน้อยมู่เป็นหมูมิเพียงต่อหน้าอีกฝ่ายแต่ยังต่อหน้าคู่หมั้น
อีกฝ่ายด้วย…”
กระทั่งซุนจิงจิงก็อดที่จะหัวเราะคิกคักอย่างสง่างามไม่ได้หลังจากที่
ได้ยินคำพูดของซูหยาง
“จ-จ-เจ้า…”
ทั้งร่างมู่ชุนสั่นสะท้านในชั่วเวลานั้น ทำให้ไขมันบนร่างและบน
ใบหน้าของเขาสั่นกระเพื่อมเหมือนกับเยลลี่ท่ามกลางแผ่นดินไหว
แต่อนิจจาแม้ว่าเขาจะเกรี้ยวโกรธ ซูหยางก็ยังคงเหยียดหยามเขา
ต่อไปอีก “ข้ามิรู้ว่าหมูสามารถหมั้นกับคนได้ อย่าว่านี่เป็นถึงนางฟ้า
ข้าเดาเอาว่าทุกสิ่งคงเป็นไปได้ในยุทธภพนี้…”
“เรียกเจ้าว่าคางคกพยายามจะกินเนื้อห่านฟ้าก็ยังคงเป็นการยกย่อง
เกินไปและถือเป็นการเหยียดหยามคางคก ในเมื่อสัตว์ประเภทเจ้า
จำเป็นต้องกลับไปกินอุจจาระในเล้าของเจ้า”
“เฮ้ ใจเย็น ข้าเพียงแค่พูดเล่นกับเจ้าเท่านั้น ข้ากลัวว่าถ้าใบหน้าเจ้า
แดงไปมากกว่านี้อีกหน่อย เจ้าจะกลายไปเป็นหมูย่าง…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ลูกค้าสองสามคนที่นั่นต่างไม่สามารถที่จะกลั้นหายใจได้อีกต่อไป
จึงได้แต่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทำให้ร้านอาหารนั้นเต็มไปด้วย
เสียงหัวเราะบ้าคลั่ง แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการหัวเราะในเวลานี้นั้น
เป็นไปได้ที่อาจจะต้องจ่ายด้วยชีวิตของพวกเขา แต่เป็นเรื่องปกติที่
พวกเขาไม่สามารถที่จะต่อต้านได้ราวกับว่ามีคนที่จักจี้จุดอ่อนของ
พวกเขา
“ข-ข-ข้าจักฆ่าเจ้า” มู่ชุนพลันคำรามลั่น เตะโต๊ะตรงหน้าพวกเขา
และทำให้อาหารทั้งหมดบนโต๊ะปลิวว่อนไปทั่วห้อง
จากนั้นเขาก็นำเอากระบี่วิญญาณเขตปฐพีวิญญาณออกมาจากแหวน
มิติและชี้มันไปยังซูหยาง
“ถ้าข้ามิฆ่าเจ้าในวันนี้ มิต้องเรียกข้าว่ามู่ชุน และมิต้องถือว่าข้าเป็น
ชายอีกต่อไป”
แต่ทว่าซูหยางยังคงนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉยและกล่าวว่า “ต่อ
ให้เจ้าสามารถฆ่าข้าได้ในวันนี้ เจ้าก็ยังคงมิได้เป็นชาย ในเมื่อเจ้า
มิได้เป็นคนมาตั้งแต่แรก”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงหัวเราะที่สถานที่นั้นยิ่งดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีผู้คนหัวเราะเพิ่ม
จำนวนมากขึ้น
“ตายซะ เจ้าชั่ว” มู่ชุนพลันเหวี่ยงกระบี่ไปยังซูหยาง ทำให้เสียง
หัวเราะหายไปในทันที
ผู้คนที่นั่นต่างพากันกลั้นหายใจขณะที่กระบี่ในมือของมู่ชุนพุ่งไปยัง
ใบหน้าซูหยางอย่างรวดเร็ว
และเมื่อทุกคนที่นั่นคาดว่าเขาจะหลบการโจมตีของกระบี่ ซูหยาง
กลับตัดสินใจที่จะยังคงนั่งอยู่ที่นั่นโดยปราศจากการขยับกล้ามเนื้อ
แม้แต่น้อย สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่นั่น
“เขาตายแน่”
แต่ทว่า สุดท้ายเมื่อกระบี่กระทบกับหัวของซูหยาง มันไม่อาจแม้
เพียงจะตัดเส้นผมสักเส้นของซูหยางอย่าว่าแต่จะฆ่าเขา
“อ-อะไรกัน”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ดวงตาของพวกเขา
ลืมกว้างด้วยความไม่เชื่อ
มู่ชุนจ้องมองไปที่กระบี่ของตนเองและหัวของซูหยางด้วยใบหน้า
งงงวย แต่ราวกับว่าเขาไม่สามารถทำความเข้าใจในสถานการณ์ได้
เขาจึงดึงกระบี่และโจมตีอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาพุ่งปลายกระบี่ตรงไปยังระหว่างดวงตาของซูหยาง
วินาทีถัดไปมู่ชุนรู้สึกกระบี่ของเขาผ่านเข้าไปในบางอย่างที่แข็ง ทำ
ให้รอยฉีกยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
แต่อนิจจาเมื่อเขาตระหนักว่ากระบี่ของเขาเพียงแค่แทงเข้าไปใน
หน้ากากบนใบหน้าซูหยางแต่ไม่ใช่ผิวของเขา ร่างของเขาก็ยืนค้าง
อยู่ที่นั่นราวกับว่าถูกแช่แข็งในเวลานั้น
“ตอนนี้เจ้าได้โจมตีข้าสองครั้งด้วยเจตนาที่จะฆ่าข้า ถ้าข้าฆ่าเจ้า
ตอนนี้ ก็จะมิมีใครที่จะกล่าวโทษได้ใช่ไหม” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
ด้วยเสียงเรียบเฉย และสายตาของเขาก็เป็นประกายฆ่าฟัน
“ซี๊ดดดด”
ราวกับว่าวิญญาณของเขาถูกบังคับให้ตื่นขึ้นจากบางสิ่งที่น่าหวาดกลัว
มู่ชุนพลันกระโดดถอยหลังด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“จ-เจ้าเป็นใครกัน” เขาร้องลั่น
ซูหยางยืนขึ้นอย่างช้า ๆ และนำเอาหน้ากากที่แตกร้าวออกจาก
ใบหน้าเผยให้เห็นถึงองคาพยพที่หล่อเหลาให้ทุกคนที่นั่น
แต่ทว่าคนที่นั่นไม่ได้จดจำเขาได้ในทันที ในเมื่อไม่มีใครในที่นั้นได้
ไปงานแข่งขันระดับภูมิภาคเพื่อชมการต่อสู้ของเขา และเขาก็ไม่ได้
สวมชุดเครื่องแบบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ตามที่ทุกคนคิดและรู้สึกในสายตาของผู้คนเหล่านี้ ซูหยางเป็นเพียง
แค่ชายหนุ่มที่รูปหล่ออย่างเหลือล้นที่มีความเป็นมาไม่ทราบชัด
ในตอนนี้
“ข้าชื่อซูหยาง…”
สุดท้ายเมื่อเขาแนะนำชื่อของตนเอง ผู้คนในร้านอาหารต่างก็พากัน
มีปฏิกิริยาเหมือนกับว่าพวกเขาเห็นผี
“สวรรค์ เขาเป็นซูหยางจริง ๆ ด้วย อัจฉริยะอันดับหนึ่งในทวีป
ตะวันออกที่มีพลังการฝึกปรือในเขตอัมพรวิญญาณเมื่อตอนอายุสิบ
เจ็ดปี”
“มิน่าประหลาดใจว่าทำไมเขาจึงกล้าที่จะล่วงเกินมู่ชุน ด้วยความ
เป็นมาของเขา เขาสามารถกระทั่งล่วงเกินทั้งตระกูลมู่และยังสามารถ
มีชีวิตอยู่ดูหลานของตนเองได้”
“ทำไมคนอย่างเขาจึงมาอยู่ในที่แห่งนี้”
“มีเพียงเหตุผลเดียวที่ข้าคิดออกก็คือ ซุนจิงจิง ไม่ว่าอย่างไรซุนจิงจิง
ก็เป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน นั่นต้องมีบางอย่างที่
เกี่ยวข้องกับการหมั้นหมายกับมู่ชุน”
“มูชุนจบกันคราวนี้ เขากล้าแม้กระทั่งเกี้ยวพาราสีหญิงของซูหยาง
เขาเลือกเป้าหมายผิดในคราวนี้ สุดท้ายนักล่าก็ตกกลายไปเป็นเหยื่อ”
คนในร้านอาหารต่างพากันเต็มไปด้วยความกลัวกับการปรากฏตัว
ของซูหยาง และพวกเขาก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นเขาจัดการมู่ชุนซึ่งเป็น
คนที่โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครชอบทั้งเมืองเนื่องจากนิสัยที่น่ารังเกียจ
ของเขาซึ่งชอบใช้ฐานะของตนเองกดดันเด็กสาวให้ยอมยกร่างกาย
ให้ตนเอง
“ซ-ซูหยาง…” มู่ชุนเกือบจะฉี่ราดกางเกงหลังจากที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริง
ของซูหยาง ผิวกายของเขาทั้งหมดขาวซีดเหมือนแผ่นกระดาษ และ
ร่างของเขาก็สั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง เหมือนกับว่าเขาเป็นไข้หนัก
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังสามารถที่จะประคองตัวเองให้หยุดสั่นได้
และพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ล-แล้วจะเป็นอย่างไรถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นซู
หยาง ซุนจิงจิงก็ยังคงเป็นผู้หญิงของข้า พวกเราได้หมั้นหมายกันไว้
แล้ว และการแต่งงานของพวกเราก็จะเป็นวันพรุ่งนี้ เพียงเพราะเจ้า
เป็นคนมีพรสวรรค์และหล่อเหลา อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถขโมย
หญิงของชายคนอื่นหนีไปได้”