dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 534 ยอดค่ายกลกระบี่ทอง
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 534 ยอดค่ายกลกระบี่ทอง
บทที่ 534 ยอดค่ายกลกระบี่ทอง
“ข้าได้คาดหวังว่าจะได้รับความประหลาดใจในวันนี้ แต่ข้ามิคาดคิด
ว่าจะได้รับความประหลาดใจถึงเพียงนี้ เจ้าทำได้เหนือกว่าเดิมจริง ๆ
ในคราวนี้ ซูหยาง” ไป่ ลี่ฮัวกล่าวกับเขา สายตาของเธอยังคงอ้อยอิ่ง
อยู่กับหินวิญญาณที่อยู่เต็มพื้นที่
“เพียงแต่ว่าหินวิญาณกี่ก้อนกัน” เธอพลันถามเขาด้วยความอยากรู้
“สามร้อยล้านก้อน” เขาตอบอย่างเรียบเฉย
“อะไร…” ไป่ลี่ฮัวมองดูเขาด้วยดวงตาที่โตราวกับจานรองถ้วยชา
“จ-เจ้าต้องพูดเล่นแน่ใช่ไหม… สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณรึ เจ้า
ไปเอาหินวิญญาณมากมายมาจากไหนในโลกนี้กัน การแข่งขัน
ระดับภูมิภาคให้เจ้าเพียงแค่สิบล้านก้อนหินวิญญาณ…”
“งานอดิเรกของข้า” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“…”
งานอดิเรกประเภทไหนกันที่เป็นไปได้ที่สามารถนำเอาหินวิญญาณ
นับร้อยล้านก้อนออกมางั้นรึ ถ้าเป็นไปได้ เธอก็ต้องการที่จะเข้าไปมี
ส่วนร่วมด้วยเช่นกัน
“เจ้าสนใจรึ” ซูหยางสังเกตเห็นความอยากรู้ในดวงตาของเธอจึงถาม
ขึ้น
“ม-ไม่เสียทีเดียว… ว่าไปแล้วมันฟังดูน่าสงสัยเป็นอย่างมาก” เธอ
รีบตอบ “ใครจะรู้ว่าข้าต้องทำอะไร บางทีนั่นอาจจะต้องยอมสังเวย
ร่างกายของตัวเอง”
“พี่ชาย ท่านมิควรจะยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่อันตราย…” ซูหยินก็แสดงความ
เป็นห่วงของเธอที่มีต่อเขาออกมาเช่นกัน
ซูหยางหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของพวกเธอ จึงกล่าวว่า “อย่า
กังวล มันมิได้น่าสงสัยหรือมีอันตรายใด”
“ว่าแต่ท่านมาที่นี่ทำไมกัน ข้าสงสัยว่าท่านเดินทางมาที่นี่เฉพาะเจาะจง
เพียงเพื่อจะพบกับข้า”
“จริงแล้วคนที่ต้องการที่จะพบกับเจ้าก็คือซูหยิน และข้าเองก็แค่สนใจ
ในความก้าวหน้าของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
ซูหยินพลันกล่าวขึ้น “พี่ชายที่รัก ท่านรู้ไหมว่าพรุ่งนี้เป็นวันอะไร”
“วันพรุ่งนี้รึ…” ซูหยางเลิกคิ้ว
เมื่อเขาเห็นความคาดหวังในดวงตาของซูหยิน เขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย
แล้วกล่าวว่า “ข้านึกดูก่อน… สุดท้ายเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้วใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ข้าจักบรรลุนิติภาวะในวันพรุ่งนี้ และข้าต้องการที่จะฉลอง
กับท่าน” เธอกล่าวด้วยสีหน้าสดใส
“เป็นวันเกิดของเจ้า แต่ข้าก็ยังมิได้เตรียมของขวัญอะไรเลย ดูเหมือน
ว่าข้าล้มเหลวในการเป็นพี่ชายเสียแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มขออภัย
“อย่าพูดอะไรแบบนั้น พี่ชาย ท่านเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ใคร ๆ
ก็ถามหา และข้าก็มิต้องการของขวัญใด ๆ สำหรับวันเกิดของข้า ใน
เมื่อการใช้เวลากับท่านนั้นเป็นสิ่งที่เพียงพอสำหรับข้าแล้ว”
ซูหยางเผยรอยยิ้มหวานอมขมกลืนหลังจากที่ได้ยินคำพูดไร้เดียงสา
ของเธอ
ตามความเป็นจริงพี่ชายที่ซูหยินรักจริง ๆ แล้วก็คือซูหยางจากก่อน
หน้าที่เขาจะฟื้นคืนความทรงจำในฐานะของเซียน นับตั้งแต่เขาได้
คืนความทรงจำมานอกจากการซื้อสมบัติให้เธอหนึ่งชิ้นที่เมืองหิมะ
โปรย เขาก็ไม่เคยที่จะได้ทำอะไรที่สามารถถือว่าเป็น “พี่ชาย” ได้
อย่างแท้จริง
เขาสามารถที่จะเปิดเผยความจริงให้กับเธอ แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะ
ทำลายความรู้สึกจากการที่รู้ว่าพี่ชายที่เธอรักนั้นไม่ได้อยู่ในโลกนี้
แล้วอีกต่อไป
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะกล่าวว่าเจ้ามิต้องการของขวัญ แต่ในเมื่อนี่เป็นวันเกิด
ของเจ้า และเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้าเรื่องหนึ่งนั้น ข้าควร
จะให้อะไรแก่เจ้าสักอย่าง มีอะไรบ้างที่เจ้าต้องการเป็นพิเศษหรือไม่”
ซูหยางกล่าวกับเธอ
“ให้ข้าใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น” เธอกล่าวหลังจากนั้น
เขาพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ข้ากำลังจะสร้างค่ายกล
พวกท่านต้องการที่จะดูการสร้างมันขึ้นมาหรือไม่ มันมิได้เป็นอะไร
ที่พวกท่านจักเห็นได้บ่อยนักอีกต่อไป”
“มันก็เป็นเพียงแค่ค่ายกลใช่ไหม แม้ว่าจริงแล้วพวกมันอาจจะมิได้
เห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มิใช่ว่ามิมีนักสร้างค่ายกลคนอื่นเหลืออยู่
นอกจากนี้…” ไป่ ลี่ฮัวพูด
ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ท่านจักเข้าใจครั้นเมื่อท่านได้เห็น
มัน”
หลังจากนั้นซูหยางก็เรียกศิษย์ทุกคนมารวมตัวกันที่กลางนิกาย
ครั้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันแล้ว เขาก็กล่าวว่า “อันดับแรก
ข้าควรจะขอบคุณพวกเจ้าทั้งหมดสำหรับความพยายามในช่วงเวลา
สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มิเช่นนั้นการตระเตรียมก็จะใช้เวลาไป
มากกว่านี้ ตอนนี้ข้าจักให้พวกเจ้าได้เป็นพยานถึงผลของการลงแรง
ของพวกเจ้า”
จากนั้นเขาก็นำเอาม้วนคัมภีร์ที่มีลวดลายที่ซับซ้อนถึงที่สุดเขียนอยู่
บนนั้นออกมาและวางพวกมันลงบนพื้น ตรงกึ่งกลางของทั้งสำนัก
หลังจากนั้นเขาก็นั่งอยู่ตรงหน้าพวกมันในท่าขัดสมาธิดอกบัวและ
หลับตาลง
ความเงียบปกคลุมที่แห่งนั้น และผู้คนที่นั่นต่างก็พากันมองด้วย
ความคาดหวังอย่างสูง
สองสามนาทีให้หลัง รัศมีพลังอันมากมายมหาศาลก็ระเบิดออกมา
จากร่างของซูหยาง และม้วนคัมภีร์ทั้งสามเล่มต่างก็เปล่งประกาย
แสงสีทองตอบสนองกับรัศมีพลังนั้น
สองสามอึดใจถัดไปหลังจากนั้น ซูหยางก็ลืมตาขึ้น และเขาก็ตะโกน
ออกด้วยเสียงที่สะท้อนสะท้านไปทั่วทั้งนิกาย “ยอดค่ายกลกระบี่
ทอง”
บูม
ม้วนคัมภีร์สีทองทั้งสามม้วนพลันพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะตกลง
มายังนิกาย เกิดเป็นเสาสีทองขนาดมหึมาสามเสารายล้อมนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยเอาไว้
เหล่าศิษย์ต่างพากันมองด้วยความหวาดหวั่น ดวงตาและปากของเขา
ล้วนเปิดกว้าง
สองสามอึดใจให้หลัง ซูหยางก็ตบลงไปบนพื้นด้วยมือข้างหนึ่ง จน
ทำให้ทั่วทั้งนิกายสั่นสะเทือนและหินวิญญาณที่กระจัดกระจายไป
ทั่วทั้งนิกายนั้นก็พากันกระดอนขึ้น
เมื่อหินวิญญาณกลับคืนสู่ผืนดิน พวกมันทั้งหมดต่างพากันเปล่งแสง
สว่าง และปราณไร้ลักษณ์ทั้งหมดที่เก็บไว้ภายในหินวิญญาณสาม
ร้อยล้านก้อนที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งนิกายนั้นก็พากันพุ่งเข้าสู่เสา
สีทองทั้งสาม จนทำให้พวกมันยิ่งเปล่งแสงจ้ายิ่งกว่าเดิม
ครั้นเมื่อเสาสีทองทั้งสามเสร็จสิ้นการดูดซับปราณไร้ลักษณ์จากหิน
วิญญาณทั้งหมดแล้ว หินวิญญาณต่างก็พากันกลายเป็นฝุ่นก่อนที่จะ
ถูกพัดไปด้วยกระแสลมรุนแรงที่ปรากฏขึ้นโดยไม่มีวี่แวว
“ชิวเยว่ กระตุ้นค่ายกลชั้นเยี่ยม” ซูหยางพลันตะโกนขึ้น
ทันทีที่เสียงของซูหยางขาดหายไป พลังวิญญาณอันมหาศาลอีกสาย
หนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายในนิกาย
“พลังวิญญาณนี้มาจากไหนกัน” ผู้คนที่นั่นต่างพากันมีสีหน้าหวาด
กลัวอย่างลึกล้ำหลังจากที่รับรู้ถึงพลังวิญญาณที่กดดันของชิวเยว่
เมื่อมันเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกับอะไรเลยที่พวกเขาได้รับรู้มาก่อน
ในเวลานั้นเสาแสงสีทองทั้งสามต่างก็มีปฏิกิริยากับพลังวิญญาณ
ของชิวเยว่ด้วยการระเบิดออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละชิ้น
มีความยาวประมาณสามสิบนิ้วและกว้างสามนิ้ว และถ้าหากมองดู
อย่างใกล้ชิด ชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนมีหน้าตาเป็นรูปกระบี่
ครั้นเมื่อเสาแสงสีทองทั้งสามหายไปแล้ว กระบี่สีทองนับหมื่นแสน
ที่ล่องล่อยอยู่บนท้องฟ้าก็เริ่มเคลื่อนไหว
สองสามนาทีให้หลัง กระบี่สีทองก็รายล้อมทั่วทั้งนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยในลักษณะที่เหมือนกับเป็นกำแพงโล่สีทองขนาดยักษ์ที่ปกป้อง
ทุกตารางนิ้วของนิกาย
ครั้นเมื่อค่ายกลชั้นเยี่ยมสำเร็จลงแล้ว กระบี่สีทองในท้องฟ้าก็พลัน
เปลี่ยนสภาพเป็นมองไม่เห็นราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนั้นเป็น
เพียงแค่ภาพมายา