dungeon defense - ตอนที่ 12 ปูทาง 10 สายเพื่อรับเงินมากมาย(2)
ใช้เวลาสักพักว่าที่ผมจะสงบลงได้
ผมนั่งบนก้อนหินแบนๆแล้วจัดท่านั่งตัวเอใหม่ ผมได้แสดงด้านที่แย่สุดๆให้ลาพิสเห็นแล้ว จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตัวอวดเก่งอีก แต่วันนี้ผมจริงจัง ผมมีข้อเสนอทางธุรกิจที่สำคัญจะเสนอ
ลาพิสขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังได้ยินคำขอของผม ผมคงไม่ทันจับสังเกตด้วยซ้ำหากไม่ใช่อบิลิตี้ของผมที่ทำให้ความรู้สึกคนอื่นถ่ายทอดมาหาตัวผม
“ท่านสนใจในการกู้ยืมหรือคะ?”
“ถูกต้องแล้ว”
บริษัทเคียนคุสก้านั้นมีอีกโฉมหน้าหนึ่งคือ ธนาคาร เมื่อจอมมารต้องการเงินฉุกเฉิน กรณีนั้นบริษัทก็จะให้พวกเขายืมเงิน
สิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักได้หลังจากใช้เวลาครึ่งเดือนในการขุดแร่ไม่หยุด ความจริงที่ว่า หากยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไป ขวานนักผจญภัยก็คงจะจามหัมผมตายก่อนแน่
2 โกลด์ต่อวันงั้นเหรอ? แม้ผมจะทำงานร้อยวันโดยไม่พัก อย่างมากที่สุดผมก็จะได้เงินแค่ 200 โกลด์
ด้วยเงิน 200 โกลด์นี่ ห่างไกลเหลือเกินที่จะซื้อโกเลมระดับต่ำสุด ผมไม่แม้แต่จะสามารถจ้างก็อบลินสักตัวได้ด้วยซ้ำ
ผมอาจจะซื้อก็อบลินได้สักตัวนึงหลังจากเหวี่ยงอีเต้อจนกระดูกแทบจะแหลกเป็นผง แล้วผมจะปกป้องดันเจี้ยนตัวเองด้วยโกเลมและสองก็อบลินไหวได้ยังไงกันล่ะ?
‘ไม่ไหวแน่’
นักผจญภัยน่ะ เฝ้าตามหาดันเจี้ยนเสมอ ปาร์ตี้ของริฟที่ไม่เป็นอันตรายกับผมด้วยซ้ำยังทำให้ผมขนลุกได้เลย
ไม่แปลกใจอะไรด้วยซ้ำหากอยู่ๆจะมีปาร์ตี้บุกเข้าดันเจี้ยนของผมเมื่อใดก็ได้ ผมไม่สามารถนั่งๆนอนๆรอให้เงินทองมันเพิ่มขึ้นจากการขุดเหมืองได้หรอก
ผมเชื่อว่า หากได้รับเงินกู้ก้อนใหญ่มาแล้วค่อยๆจ่ายดอกเบี้ยน่าจะดีกว่า เอาจริงนะผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่า จะสามารถจ่ายจบครบทั้งต้นทั้งดอก
แต่ถึงอย่างนั้น ลาพิสก็ปฏิเสธ
“ท่านดันทาเลี่ยนคะ มีจอมมารมากมายที่กู้ยืมเงินไปจากบริษัทเรา แต่ในบรรดาพวกนั้นมีเพียงน้อยรายนักที่สามารถจ่ายดอกเบี้ยคืนเรามาได้ ไม่เพียงแต่ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นแต่ละเดือนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกำไรที่พวกเขาทำได้จากดันเจี้ยนนั้นไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ด้วยเช่นกัน”
ลาพิสส่ายหัว ผมสีชมพูของเธอส่ายไปมา
“กำไรที่สูงสุดที่จะได้จากดันเจี้ยนมาจากนักผจญภัยที่บุกเข้ามาหา ยิ่งนักผจญภัยแข่งแกร่งมากท่าไหร่ ผลตอบแทนที่ได้ก็ยิ่งสูงตามไปด้วย และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่นักผจญภัยที่แข็งแกร่งจะไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดี จอมมารก็จะยึดเอาของพวกนั้นมาจากผู้รุกรานเป็นกำไร แต่ในทางตรงข้าม ดันเจี้ยนที่มีแต่นักผจญภัยระดับต่ำ แทบหากำไรอะไรไม่ได้เลย”
“…….”
“สำคัญกว่านั้นต่อคำถามที่ท่านถามว่า บริษัทจะให้ท่านกู้ยืมหรือไม่ บริษัทเคียนคุสก้านั้นเป็นองค์กรแสวงหากำไรและยังเป็นองค์กรที่เหล่าปีศาจด้วยกันมองว่าเลือดเย็นเป็นที่สุด”
ลาพิสตอกย้ำเรื่องนั้นซ้ำอีกครั้ง
“หากไม่มีอะไรยืนยันว่าจะทำกำไรได้ ต่อให้เป็นจอมมารมาขอกู้ ก็จะถูกปฏิเสธไปในทันที ขออภัยในความหยาบคายของดิฉันนะคะ ท่านดันทาเลี่ยนคะ แต่ระดับของจอมมารจะเป็นตัวบ่งบอกว่า ควรค่าให้เชื่อใจได้มากน้อยแค่ไหน นี่คือคำถามว่า บริษัทเคียนคิชก้านั้นจะเชื่อใจคุณได้อย่างไรคะ ท่านดันทาเลี่ยนในเมื่อระดับของท่านนั้นยังเป็น Fอยู่”
“เธอพูดถูกแฮะ”
“บริษัทนั้นไม่ได้แค่มีกองทหารเป็นของตัวเองเท่านั้นหากแต่ยังมีเงินทุนมากพอที่จะจ้างพวกเขาเพิ่มด้วย บริษัทนั้นไม่ปราณีต่อจอมมารที่กู้แล้วไม่ใช้คืน ในอดีตที่ผ่านมาบางครั้งพวกเขาจะทำการข่มขู่คุกคามหรือใช้กำลังด้วยค่ะ”
เธอพูดด้วยเสียงโทนต่ำ
“มีครั้งหนึ่งท่านผู้นำจอมมารอันดับ 25 เกลช่า-ลาโบลาส (Glasya-Labolas)กู้เงินไปแล้วไม่ยอมจ่ายดอกเบี้ยเป็นเวลาถึง 70ปี บริษัทเคียนคุสก้าจึงยกกองทัพที่มีกำลังพลปีศาจไม่ต่ำกว่า 36กองพลบุกไปยัง ดันเจี้ยนของท่านผู้นำ เกลช่า-ลาโบลาส มอนสเตอร์ของจอมมารท่านนั้นถูกกำจัดจนหมด และในท้ายที่สุด ท่านผู้นำเกลช่า-ลาโบลาสก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะยอมดอกเบี้ยที่ค้างมากว่า70ปี ผลที่ได้ก็คือ ดันเจี้ยนแห่งนั้นล้มละลาย”
ลาพิสถอนใจเล็กๆออกมา
“นี่แหละค่ะ คือ ความเข้มแข็งของบริษัทเคียนคุสก้าที่เป็นสาเหตุว่า ทำไมบริษัทนี้ถึงเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่มาในดินแดนปีศาจกว่า 3,000ปีที่ผ่านมา
ท่านดันทาเลี่ยนคะ ดิฉันขอแนะนำท่านมิใช่ในฐานะของลูกจ้างบริษัทหากแต่ในฐานะปีศาจด้วยกัน อย่ายืมเงินจากบริษัทโดยไม่คิดหน้าคิดหลังนะคะ”
ผมรู้สึกได้ถึงความจริงใจของเธอ
เด็กสาวคนนี้อาจคิดว่า คำขอของผมนั้นโง่เขลา แต่เธอก็ไม่ได้ใจดำ ความจริงแล้วเธอสามารถรับสัญญากู้ยืมเงินมา เพื่อทำให้หน้าที่การงานส่วนตัวของเธอก้าวหน้าก็ได้
แม้การล่อลวงจอมมารด้วยการให้เงินกู้ยืมเล็กน้อยนั้นจะเกิดประโยชน์กับบริษัท แต่ลาพิสเองก็ไม่สนใจการประเมินผลงานของเธอและของบริษัท นั่นก็เพราะเธอไม่ต้องการจะหลอกลวงผม
เธอยังคงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“อดทนไว้เถอะค่ะ มันอาจจะยากในตอนนี้ แต่หากค่อยๆเก็บเงินไปสัก 10หรือสัก 20ปี ท่านดันทาเลี่ยนคะ ฉันเชื่อแน่ว่า ท่านจะสามารถบริหารจัดการดันเจี้ยนให้เป็นดันเจี้ยนที่ดีได้”
ลาพิส ลาซูลิ ปีศาจที่มีใบหน้าและน้ำเสียงเฉยชาผู้ที่แสดงออกเหมือนนักธุรกิจตลอดเวลา
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอีกด้านหนึ่งที่แสดงออกมา เธอนั้นซื่อตรง ตัวเธอนั้นเฉิดฉายอย่างเงียบๆด้วยการยึดมั่นกับกฏกติกานั้น
ผมลองยื่นข้อเสนอไปให้ลาพิส
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีธุรกิจที่จะสำเร็จอย่างแน่นอนล่ะ?”
“…….”
เธอมองผมด้วยสายตาว่างเปล่า
“ค่ะ บริษัทของเราไม่รอช้าที่จะลงทุนในสิ่งนั้น แต่โอกาสที่ท่านดันทาเลี่ยนจะมีไอเดียธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแน่นอนช่างมีน้อยเหลือเกินค่ะ”
เกือบจะไม่พูดออกมาแล้วสินะ แต่สุดท้ายอดเหน็บผมไม่ได้อยู่ดี
ผมยิ้มอ่อน
“โรคระบาดใหญ่น่ะ”
“……?”
ลาพิสขมวดคิ้ว
“คุณหมายถึงอะไรคะ?”
ดีล่ะ ดึงความสนใจเธอได้แล้ว
ของจริงจะเริ่มจากตรงนี้แหละ ผมกระซิบกับตัวเองในหัว
‘แอคทีฟสกิล ทำงาน’
แถบการแจ้งเตือนปรากฏตรงหน้าผม
「สกิล การแสดง เปิดใช้งาน」
「โบนัสเอฟเฟ็คที่ได้นั้นจะขึ้นกับค่าสเตตัสความฉลาดและเสน่ห์」
「โชคดีจังไม่หลุดมือไป! โอกาสที่ผู้อื่นจะสงสัยในคำพูดของคุณลดลง’เล็กน้อย’」
ผมได้รับสกิล ‘การแสดง’(The Acting) มาจากการจบแบบฝึกได้ มันเป็นสกิลที่จะเพิ่มทักษะการแสดงของผม
มันมีโอกาสที่จะลดความสงสัยไม่เชื่อใจในระดับ ‘เล็กน้อย’ , ‘พอประมาณ’ หรือ ‘มหาศาล’ แต่ถึงอย่างนั้นจากค่าความฉลาดและค่าไหวพริบของผมนั้นมีน้อยดังนั้นจึงลดลงแค่ในระดับ ‘เล็กน้อย’
ดูเหมือนสกิลที่ได้รับมานานจะขึ้นกับการกระทำที่ผมทำลงไปในช่วงแบบฝึกสอน
หากผมผ่านบทฝึกสอนด้วยการใช้กำลัง ผมอาจจะได้รับสกิลอย่าง ฝ่าฟันพันทรหด(Thousand Endurance) หรือหากผมผ่านด้วยการวางแผนกลยุทธให้ดีและวางแผนการกระทำต่างๆผมอาจได้รับ ผู้บัญชาการผู้ช่ำชอง (Adept Army Commander) สกิลที่ผมอยากจะได้มากที่สุดคือ สกิลอย่าง เชี่ยวชาญการใช้หอกยาว (Long Spear Efficiency) หรือสัญกรณ์ฐานแปด(Octal Notation)
อย่างสกิล ฝ่าฟันพันทรหด เป็นสกิลที่เพิ่มค่าความแข็งแกร่งของตัวละครเพิ่มขึ้นมาถึง 140% เป็นช่วงระยะเวลานาน แถมมันยังเป็นสกิลที่ฮีโร่ที่ผมมีในเกม Dungeon Attack.
ส่วนอีกสกิลอย่าง สัญกรณ์ฐานแปดนั้น ไม่เพียงเป็นสกิลที่ทำให้ทั้งหน่วยเข้าสู่สถานะอำพรางตัวได้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่งและพลังป้องกันอีก 25% ไม่ว่าจะยังไงสกิลเหล่านั้นต่างเป็นสกิลที่ทรงพลังสุดๆไปเลย
น่าเจ็บใจชะมัด ในขณะที่สกิล การแสดงนี่มัน ขยะชัดๆ
สำหรับผู้เริ่มต้น ถ้าไม่รู้อะไรเลย สิ่งสำคัญที่สุดในเกมDungeon Attackคือ การต่อสู้ ดังนั้นแค่เริ่มต้นมา สกิลการแสดงก็ล้มเหลวแต่เริ่มแล้ว แถมยังไม่สามารถหลอกลวงได้อย่างสมบูรณ์ด้วย! ไอ้คำประมาณว่า ค่อนข้าง หรือพอสมควร คำพวกนั้นมันเชื่อถือไม่ได้
ก่อนอื่นเลย ทำไมสกิลถึงสำคัญนักล่ะ? นั่นเป็นเพราะผลแสดงผลได้อย่างแน่นอน น่าเชื่อถือ มันให้ผลที่ชัดเจนประเมินประมาณค่าได้ ทำให้สามารถวางแผนได้ ตั้งทฤษฏีได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากใช้สกิล ณ เวลานี้
สกิลที่ไม่รู้จะได้ผลอย่างไร และได้ผลเมื่อไหร่นั้นเป็นทักษะที่ไว้ใจไม่ได้เลย
มันทำเอาผมหัวเราะไม่ออกเลยล่ะ แต่มันก็คงจะดีขึ้น ถ้ามันเพิ่มค่าสแตทขึ้นมาเล็กน้อยแทน
เคยมีการถามกันในกลุ่มแฟนไซต์ของ Dungeon Attack ว่าสกิล การแสดงมันมีไว้ทำไมกัน? มันไม่ทั้งลดค่าความฉลาดของศัตรู และก็ใช่ว่า เกม Dungeon Attack จะมีระบบทางการทูติและการเมืองแยกกันสักหน่อย …….
ผมเดาว่า พวกเขาคงจะแค่ยัดๆไปให้มันมีครบ 255 สกิลล่ะมั้ง
เอาจริงนะ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สกิลการแสดงทำอะไรได้ ผมแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่ามีสกิลนี้อยู่ในเกม สกิลขยะที่แม้แต่แฟนDungeon Attackตัวยงอย่างผมยังไม่คุ้นตาอย่าง สกิลการแสดง(Acting skil)
‘มันอาจจะมีประโยชน์ประมาณดินใต้ตีนมดก็ได้มั้ง’
ผมใช้สกิลไปเพียงเพราะมันสอดคล้องกับเหตุการณ์ตรงหน้าพอดี ไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรือน้อยเกินไปกว่านั้น
ผมยังคงใช้มันเพื่อโน้มน้าวลาพิส
“ในอีก 2 เดือนต่อจากนี้ โรคระบาดใหญ่จะแพร่กระจายไปในทวีปทั่วดินแดนของมนุษย์”
ลาพิสนั้นดูเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดจึงเงียบไปสักพักหนึ่ง ความสับสนของเธอนั้นถ่ายมายังผมด้วย
“……โรคระบาด เหรอคะ?”
“โรคระบาดใหญ่ที่รู้จักกันในนาม ความตายสีดำ(กาฬโรค) ในช่วงปฏิทินจักรวรรดิ ปี 1505 พูดง่ายๆก็คือ ฤดูร้อนปีนี้นี่แหละ มันจะเกิดขึ้นสร้างความหายนะเป็นประวัติการณ์”
ไม่ได้โกหกด้วยนะ มันเป็นเซตติ้งโลกในเกมของDungeon Attack.
ปีที่ตัวเอกที่เป็นฮีโร่เริ่มต้นขึ้น หรือก็คือปีที่เกมเริ่มนั้นก็คือ ปี 1515 ตามปฏิทินจักรวรรดิ์ กาฬโรคนั้นได้เข่นฆ่าชีวิตผู้คนไปแล้วหนึ่งทศวรรษ(10ปี)
โรคระบาดนั้นเริ่มต้นขึ้นทางเหนือสุดของทวีป แล้วแพร่ไปทั่วผืนทวีปแทบจะในทันที แค่ไม่กี่ปี ประมาณประชากรทั้งหมดเกือบ 20% ทั้งมนุษย์ เอลฟ์ และเผ่าอื่นๆ ต่างล้มตายกันหมด
หรือผมควรจะบอก ยอดผู้ป่วยด้วยนะ……? หลายปีนั้นจะอดอยาก การเก็บเกี่ยวในช่วง10ปีนั้นลดต่ำลง ไม่มีทางที่จะเก็บเกี่ยวได้ผลดีหรอก ในเมื่อคนทำฟาร์มยังติดเชื้อและน้ำใต้ดินก็ปนเปื้อน ทุกเผ่าพันธุ์ต่างต้องทนทุกข์ทรมาน
แล้วพวกเขาทั้งหมดต่างก็โบ้ยความผิดไปที่ จอมมาร
ตัดสินใจแล้วว่า บุคคลที่นำพาโรคระบาดและความอดอยากมาให้ ก็คือ จอมมารนั่นเอง
ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก ระดับสติปัญญาของผู้คนในโลกยุคกลางนี้ก็ปักใจเชื่อว่า มันเป็นความจริง เพียงเพราะเห็นว่า ปีศาจนั้นทุกข์ทรมานน้อยกว่าพวกตน พวกปีศาจนั้นมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกว่านับตั้งแต่ที่เกิดมาบนทวีปปีศาจตั้งแต่ยังแบเบาะและต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย อย่างไรก็ดี ก็มีบางกลุ่มเชื่อมโยงไปกับตรรกะที่ว่า การที่โรคร้ายนี้ไม่ทำอันตรายกับพวกปีศาจก็เพราะพวกมันนั่นแหละเป็นผู้แพร่โรคนั้นเอง
มนุษย์ก็เลยได้ข้อสรุปว่า จะต้องขับไล่จอมมารทุกตัวบนพื้นผิวโลกเพื่อไม่ให้มนุษยชาตินั้นสูญพันธุ์
‘พิชิตดันเจี้ยน!’
ยุคแห่งการผจญภัยก็มาถึง ยุคสมัยใหม่ที่ไม่ว่าใครก็สามารถเหวี่ยงหอกแล้วรวมกลุ่มกันบุกเข้าไปดันเจี้ยน
นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังเกม Dungeon Attack.
โดยเฉพาะเรื่องที่ตัวเอกเสียพ่อแม่ไปในช่วงวัยเด็กเนื่องจากจอมมารบุกปล้นสดมภ์ในหมู่บ้านเขา ดังนั้นเขาจึงเกลียดจอมมารยิ่งกว่าใครทั้งนั้น
แต่ความเกลียดชังดังกล่าวก็สลายตัวไปเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินมาเรื่อยๆจนพบความจริง……อืม ไม่เกี่ยวอะไรกับตอนนี้หรอก
เกมนี้ค่อนข้างดาร์คเลยล่ะแต่ก็เพราะอย่างนั้นแหละแฟนๆเลยชอบใจกัน
ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ แต่สิ่งสำคัญคือ มีทางที่จะรักษากาฬโรคได้
พืชที่รู้จักกันในชื่อว่า สมุนไพรดำ(black herb ) อาจจะคิดว่า มันคงเป็นพืชที่หายยากกว่า รากโดด็อกที่อยู่ในโลกเก่าผมใช่ไหม พูดตรงๆนะว่า มันไม่ได้หายากเลยล่ะ
(โน๊ตผู้แปล : Deodeok รากโดด็อก รูปร่างคล้ายๆรากโสม คนเกาหลีนิยมนำมาประกบอาหาร มักนำมาลดความขมด้วยการขยำกับเกลือก่อนนำไปปรุงอาหาร)
อย่างไรก็ดีเมื่อผู้คนต่างพบว่า สมุนไพรดำนั้นสามารถรักษาช่วงแรกเริ่มของอาการได้ ผู้คนก็ต่างไปเก็บเกี่ยวมันอย่างบ้าคลั่ง จนกลายเป็นว่า เมล็ดของมันกลายเป็นของหายาก
ต่อมาสมุนไพรดำก็ได้จัดให้เป็นพืชประจำชาติที่ต้องปลูกและเก็บเกี่ยว แต่ทุกอย่างมันสายเกินไป เหมือนพยายามใช้คราดดันน้ำขึ้นเขา ปริมาณที่เก็บเกี่ยวได้นั้นน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วย ในท้ายที่สุดประชากรก็ลดลงไปครึ่งหนึ่งในช่วงศตวรรษ(100ปี)
โศกนาฏกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์นั้นเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิด ความไม่รู้และความเร่งรีบผสานกัน
ผมว่า มันค่อนข้างจะโหดร้ายเลยล่ะ……แต่ในทันทีที่ผมรู้ว่าตัวเองโดนโยนมาไว้ในปี 1005 ผมก็ดีใจ มีความสุขมากซะจนสามารถเดินเล่นรอบถ้ำด้วยขาข้างเดียว เพราะผมสามารถหาประโยชน์จากสถานการณ์นี้ได้
‘โรคระบาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจะแพร่กระจายในไม่ช้า สมุนไพรดำเป็นทางเดียวที่จะรักษาโรคนั้นได้ นี่เป็นข้อมูลที่มีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้!’
ใครมันจะไปคิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นในโลก?
สมุนไพรดำนั้นโตในหุบเขาและไร้ประโยชน์ต่อการรักษาโรคทั่วไป แถมยังมีเนื้อสัมผัสที่เหนียวเกินกว่าจะเอาไปใช้ทำอาหาร เจ้าพืชไร้ประโยชน์ทืี่เอาไปทำเป็นเครื่องเทศก็ไม่ได้ แต่เป็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถรักษาโรคที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ได้
สมุนไพรดำนั้นยังเป็นเพียงวัชพืชไร้นามจนกระทั่งมีกาฬโรคเกิดขึ้น ผู้คนตั้งชื่อมันว่า สมุนไพรดำเมื่อพวกเขารู้ว่ามันสามารถรักษากาฬโรคได้ผล ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนจะค้นพบประโยชน์ของมันก็เมื่อโรคระบาดนั้นได้แพร่ไปทั่วทุกทวีปแล้ว
นั่นหมายความว่ายังไงกัน?
‘หากผมสามารถตุนสมุนไพรได้ตั้งแต่ตอนนี้ ผมก็จะได้กำไรจำนวนมากมายมหาศาลเกินกว่าจะจินตนาการถึง’
มันอาจดูโหดร้ายไปบ้าง สมุนไพรดำแต่ละต้นที่ผมเก็บมาได้มันก็สามารถช่วยชีวิตคนๆหนึ่งได้ด้วย
ผมอาจจะคิด พูด ทำเหมือนห่วงใยคนในโลกนี้ แต่ไม่เลย ผมหวงแหนตัวเองยิ่งกว่าตัวละครในเกม และผมยังเอ็นดูโกเลมและก็อบลินน้อยของผมมากกว่า ผมไม่ใช่คนใจดีที่จะยอมปล่อยโอกาสการพัฒนาดันเจี้ยนให้หลุดมือไปเพียงเพราะคนที่ผมไม่รู้จักหรอก
“ผมรู้ว่า อะไรจะรักษาโรคระบาดที่กำลังเป็นภัยร้ายคุกคามอยู่ ถ้าผมสามารถผูกขาดตัวยารักษาได้ในตอนนี้ ผมก็จะสามารถทำกำไรได้มากมายมหาศาลในอนาคตข้างหน้า”
พวกเราถามตอบกันไปมาสักพักหนึ่ง
ผมรู้ได้ยังไงว่า โรคพวกนั้นจะแพร่ระบาด แล้วผมพบวิธีากรรักษาได้อย่างไร เธอถามคำถามพวกนั้น ผมก็แค่แง้มข้อมูลนิดๆหน่อยๆแล้วแอบโกหกตามน้ำไปบ้าง
มาดูกันหน่อยซิ ลาพิส ลาซูลิ เธอจะตอบสนองกับเรื่องนี้ยังไง?
“…….”
ดวงตาสีฟ้าอซัวร์มองมาที่ผม ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มผละจากกัน
“ดิฉันต้องขอประทานอภัยค่ะ แต่ดิฉันไม่สามารถทำได้ค่ะ”
ไม่มีความลังเลจากดวงตาของลาพิส เธอปฏิเสธอย่างหนักแน่น
—-