dungeon defense - ตอนที่ 13 ปูทาง 10 สายเพื่อรับเงินมากมาย(3)
“หืมม”
ผมเคาะพื้นด้วยเท้าซ้ายสองครั้ง มันเป็นนิสัยที่ติดตัวมาหลังจากบาดเจ็บจนใช้เท้าขวาไม่ได้สักพัก มันเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลย
ผมตอบกลับด้วยเสียงราวกับคาดไว้แล้วว่าจะต้องถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังคงอยากฟังเหตุผลอยู่ดี
“ทำไมล่ะ?”
“ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า โรคระบาดจะเกิดขึ้นค่ะ ท่านดันทาเลี่ยน ท่านประกาศว่าโรคระบาดจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้และจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปทำให้ผู้คนล้มตายไปเกือบหนึ่งในสาม ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่ข้อตกลง ไม่ใช่หลักการพื้นฐาน บริษัทไม่ลงทุนกับคำทำนายหรอกค่ะ”
ถูกแล้วล่ะ นี่คือสิ่งที่ผมคาดไว้แล้ว
จริงที่ผมมั่นใจในข้อมูลตัวเองเพราะมันเป็นเซตติ้งของเกมแต่ถึงอย่างนั้นการพยายามโน้มน้าวคนอื่นให้เชื่อนี่มันคนละเรื่องกัน
ลองคิดดูสิ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าจู่ๆมีคนประกาศว่า จะเกิดโรคระบาดใหญ่ที่หนักหนาที่สุดในประวัติศาสตร์ในสองเดือนข้างหน้าแถมประชากรอีกมากมายจะล้มตายกันทั่วทวีปเพราะโรคนั้น? ควรจะดีใจด้วยซ้ำที่คนที่พูดอย่างนั้นไม่ถูกจับเข้าคุกข้อหาก่อความวุ่นวาย ถ้าผมเป็นลาพิสเองก็คงไม่ให้ยืมเงินสักแดงหรอก
‘จนถึงตอนนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน’
ถ้าผมยอมปล่อยให้ข้อมูลนี้สูญเปล่า ผมคงเป็นไอ้โง่ในหมู่ไอ้โง่ทั้งหลายแล้วล่ะ
รอยยิ้มบางๆปรากฏที่ริมฝีปากของผม
“แล้วถ้าเป็นแบบนี้แทนล่ะ? ก็แค่ไปบอกบริษัทว่า ผมจะทำสัญญากู้ยืม แล้วเธอก็บอก แผนธุรกิจของผมไป โดยไม่ต้องสนใจว่า จะกู้มาได้หรือไม่ก็ตาม”
“ท่านว่าอะไรนะคะ?”
“ผมต้องการเงินกู้เพียงแค่ 1,000 โกลด์เท่านั้น เงินที่ผมยืมมาเพียงเพื่อต้องการแก้ไขปัญหาการเงินฉุกเฉิน”
“ท่านดันทาเลี่ยนคะ อัตราดอกเบี้ยของเงินกู้ฉุกเฉินนั้นค่อนข้างจะ……”
“ค่อนข้างสูงอย่างมากเลยใช่ไหม”
ไม่สำคัญหรอก
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าบริษัทจะไม่ให้ฉันยืมเงินในคราวนี้น่ะ แต่พอเกิดโรคระบาดขึ้น เดี๋ยวเขาก็จำผมได้เอง และเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว พอถึงเวลา ผม ดันทาเลี่ยนผู้นี้แหละ ที่ได้มอบแผนธุรกิจที่ยอดเยี่ยมให้ แล้วความสนใจในตัวผมก็จะเพิ่มเอง”
อาจจะเป็นโชคไม่ดีนัก แต่ผมอาจต้องยอมแพ้กับแผนการหาเงินก้อนใหญ่จากโรคระบาด
สิ่งที่ตอบแทนกลับมาคือ ผมจะได้รับความเชื่อใจจากบริษัทเคียนคุสก้า เขาอาจจะคิดก็ได้ว่า จอมมารอาจมีพรสวรค์หรืออบิลิตี้ในการเห็นอนาคต ให้เขาคิดไปว่า ‘หรือจอมมารดันทาเลี่ยนอาจมีมัน?’ ปล่อยให้ความคิดพวกนั้นแวบเข้ามาในหัวเขา แล้วหาประโยชน์จากความเชื่อความเข้าใจที่ผิด เพื่อจะคว้าโอกาสในภายหน้า เพื่อผลประโยชน์ที่ตามมาในปีที่ยากแค้นอย่างมากในภายหลัง
“ดิฉันไม่อาจทำความเข้าใจการกระทำของท่านค่ะ ท่านดันทาเลี่ยน น้ำเสียงของท่านมันเหมือนกับว่าท่าน⎯⎯⎯.”
ลาพิสพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย
“มันเหมือนกับว่า ท่านล่วงรู้ทุกอย่างว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคต แต่มันยากสำหรับดิฉันที่จะรู้แน่ชัดว่า ท่านนั้นเป็นนักทำนาย หรือเป็นเพียงนักพนันที่มีพลังพิเศษกันแน่”
ผมยิ้มกรุ้มกริ่ม ไม่มีเหตุผลที่ผมจะตอบคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ มันดีกว่าที่จะปล่อยให้ความเข้าใจผิดนั้นยังคงอยู่ หากคนอื่นประเมินตัวผมไว้สูง ผมก็เรียกร้องได้มากขึ้นได้จริงไหม? โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานที่เกี่ยวข้องกับการยืมเงิน
“…….”
ลาพิสเลี่ยงการสบตากับผม
เห? นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่เธอไม่มองสบตา ลาพิสนั้นมีปรกติมองหน้าผมเสมอเวลาเธอพูด ผมสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขัดแย้ง
‘มีอะไรเหรอ?’
แม้ว่าผมนั้นจะเอ่อล้นไปด้วยความปรารถนาที่อยากจะเช็คว่า เธอคิดอะไรผ่านหน้าต่างสเตตัส แต่โชคไม่ดีที่ ค่าความชอบที่มีต่อผมนั้นยังไม่สูงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความคิดของเธอ
15 วันที่ผ่านมา ผมทำทุกอย่างเพื่อที่จะเพิ่มค่าความชอบของเธอ แต่ลาพิสนั้นเป็นเหมือนป้อมปราการที่เจาะไม่เข้า ถ้าให้เทียบกับความง่ายโง่ในการเพิ่มค่าความชอบของผู้ชายหมู่บ้านเจลเซ่ล ความยากภารกิจนี้มันเข้าขั้นระดับมหาหินเลยล่ะ ผมควรจะเรียกลาพิสว่าเป็นสาวสมัยใหม่แห่งทวีปปีศาจรึเปล่า?
“มีบางสิ่งที่ดิฉันยังไม่ได้บอกท่าน ท่านดันทาเลี่ยนคะ ความจริงแล้ว……สิทธิในการแสดงความเห็นในบริษัทของดิฉันนั้นไม่สูงเลยค่ะ ไม่สิ มันต่ำมากด้วยซ้ำ ดังนั้น ต่อให้ท่านดันทาเลี่ยนมีข้อเสนอทางธุรกิจที่ดีแค่ไหน ก็มีโอกาสน้อยมากที่หัวหน้าของดิฉันจะรับฟังสิ่งที่ดิฉันพูดออกไป”
“อ้า นั่นสินะ เธอบอกว่า เธอเป็นระดับ 5 นี่นะ”
เธออยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ดังนั้นความมีสิทธิ์มีเสียงก็เลยต่ำไปด้วย
ลาพิสผงกหัวรับ
“มันเป็นเรื่องปรกติอยู๋แล้วที่ระดับ 5 นั้นจะมีความสามารถในการตัดสินใจและสิทธิ์ในการพูดที่น้อย บริษัทเคียนคุสก้านั้นเป็นบริษัทที่สนับสนุนผู้มีความสามารถ พวกเขายังอนุญาตให้มีการตัดใจเพื่อทดสอบความสามารถ”
“โอ้ นี่เธอกำลังจะบอกว่า เธอมีความสามารถพอที่จะพิจารณาอนุมัติวงเงินด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ ตรงกันข้ามเลย”
เอ๋?
“มีเพียงดิฉันเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์การตัดสินใจที่ต่ำที่สุดเท่าที่มีในบริษัท ว่ากันตามตรงแล้วตัวดิฉันนั้นเป็นเหมือนสิ่งนอกรีตด้วยซ้ำ หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานไม่ได้ชื่นชอบดิฉันสักเท่าไหร่”
“ประหลาดใจเลยล่ะ เธออาจจะดูเย็นชา แต่ก็เต็มไปด้วยความสามารถ นี่เป็นเพราะขาดทักษะการเข้าสังคมรึเปล่า?”
ดวงตาของลาพิสดุขึ้นมาทันที ผมจึงรีบเปลี่ยนคำพูด
“ถ้าพวกเขาชื่นชมความสามารถ มันก็ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้สิ”
“อย่างที่ท่านทราบค่ะ ท่านดันทาเลี่ยน พวกเราปีศาจนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่โดดเดี่ยวโดยธรรมชาติ การเข้าสังคมไม่ใช่เกณฑ์ที่ส่งเสริม หากแต่เป็นความสามารถและผลลัพธ์”
ลาพิสยืนยัน มันเหมือนกับการที่เธอค่อนข้างภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเองตามประสาสาวคนเมืองผู้เย็นชา หลังจากที่ผมเดาะลิ้นในหัวผมก็ถามคำถาม
“เดี๋ยวก่อนสิ ไม่เข้าใจเลย ทำไมเธอถึงโดนกีดกันล่ะ?”
“……ดิฉันนั้นเป็นลูกผสมค่ะ ระหว่างปีศาจกับมนุษย์”
ผมรอให้เธอพูดต่อ แต่ปากของลาพิสก็หุบแน่นหลังจบประโยคนั้น เป็นไปได้ว่า เธอคิดว่าเพียงประโยคเดียวกับเพียงพอจะอธิบายทุกอย่าง
ผมรู้สึกรำคาญจึงถามเธอกลับ
“แล้วมัน ยังไงล่ะ?”
“……อะไรนะคะ?”
“อ้อ อย่างนั้นเองเหรอ? เธอเป็นลูกครึ่งปีศาจกับมนุษย์ เอ้อ ก็น่าสนใจดีนะ”
ในเกมDungeon Attack มีนางเอกที่เป็นลูกครึ่งเลือดผสมปีศาจกับมนุษย์ นักเวทย์ผู้ทรงพลังรู้จักกันในชื่อ โรเม(Romei)ที่ถูกสังคมมนุษย์รังเกียจ หากคุณเป็นลูกครึ่งเลือดผสมดูเหมือนจะถูกเหยียดหยามได้ง่ายๆเลย
ความเกลียดชังที่ต่อปีศาจจะพุ่งขึ้นสูงสุดหลังกาฬโรคเริ่มระบาด ดังนั้นตอนนี้ยุคสมัยนี้ยังไม่มีความเคียดแค้นชิงชังเกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับปีศาจเลย
ลาพิสอาจไม่ได้ถูกแกล้งหนักขนาดนั้น
ผมกลับพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจ
“แล้วมันยังไงกับการที่เธอเป็นเลือดผสมล่ะ? มนุษย์และปีศาจเองต่างก็กลั่นแกล้งทำร้ายผู้อื่นเสมอมา เมื่อพบว่า มีอะไรบางอย่างที่ต่างกัน ซึ่งการกระทำอย่างนั้นมันเป็นพฤติกรรมของเด็ก อย่าไปใส่ใจกับเรื่องเช่นนั้นเลย”
ลาพิสมองผมด้วยแววตาที่ว่างเปล่า นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอมองผมอย่างนั้น มันเหมือนกับผมได้พบด้านต่างๆมากมายของลาพิสในวันนี้
“……ดิฉันเข้าใจแล้ว ดิฉันจะกลับไปยังออฟฟิศแล้วเตรียมเงินกู้ฉุกเฉินสำหรับท่านค่ะ ท่านดันทาเลี่ยน”
“ดี ดีเลย อย่าลืมบอก หัวหน้าสำหรับแผนธุรกิจของผมล่ะ”
“ให้เป็นธุระของดิฉันเถอะค่ะ”
ลาพิสโค้งหัวให้อย่างเคารพ วงเวทย์สีชมพูส่องประกายขึ้นมาใต้เท้าของเธอ
แสงพวกนั้นโอบล้อมเอวเธอเหมือนเป็นหมอกก่อนจะจางหายไปในทันตา เธอคงกลับไปสู่ทวีปปีศาจแล้วล่ะมั้ง ก่อนจะหายตัวไปโดยสมบูรณ์เธอยังอยู่ในท่าโค้งหัวให้ตลอด
อืมม น่าเชื่อถือแหละ แม้เธอจะไม่ค่อยยืดหยุ่นเท่าไหร่นักแต่เธอเป็นคนที่สุภาพนอบน้อมและเป็นเด็กดีคนนึง
ผมผงกหัวด้วยความพออกพอใจ แล้วก็มีเสียงเอฟเฟ็คดังขึ้นมาในหูตอนที่ผมลุกยืนขึ้นและพยายามจะหยิบอีเต้อ
「ค่าความชอบของ ซาคิวบัสระดับล่าง ลาพิส ลาซูลิ เพิ่มขึ้น 15」
“เอ๋…!?”
ผมหลุดร้องออกมา
ทำไมค่าความชอบเนี่ย ทั้งที่พยายามาตั้งครึ่งเดือนก็ไม่เพิ่ม แต่กลับมาเพิ่มตอนนี้เนี่ยนะ? ผมมาย้อนคิดดูว่า ผมได้พูดอะไรไปบ้าง ก็คิดไม่ออกเลยว่า ประโยคไหนที่จะเพิ่มค่าความชอบของเธอได้
ผมพักสมองไปแปปนึง ก่อนจะกลับไปหยิบอีเต้อขุดแร่ต่อ
“ช่างมันเถอะ ไปขุดแร่ต่อดีกว่า”
ช่างมันปะไร
มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนี่ ผมฮัมเพลงกับตัวเองระหว่างที่เดินผ่านดันเจี้ยน
จากข้อมูลที่ว่า ลาพิสเป็นซาคิวบัสเหรอ หืม ผมไม่รู้มาก่อนเลยเพราะหน้าต่างสเตตัสไม่แสดงเผ่าของเธอ
* * *
แสงสีชมพูห้อมล้อมตัวลาพิสก่อนจะหายไปในระยะเวลาสั้นสั้น
ลาพิสคิดกับตัวเอง แสงของวงเวทย์ปีศาจนั้นระบุตามเผ่า เซนทอร์เป็นสีเทา แวมไพร์เป็นสีแดงคริมสัน และซัคคิวบิเหมือนอย่างแม่ของเธอนั้นจะเป็นสีแดงสการ์เล็ท แต่ถึงอย่างไรก็ดี สีของเธอนั้นมัน……
‘สีชมพูซีดนี่น่าสมเพช’
เธอเงยหัวขึ้น
ห้องของเธอนั้นโทรม หากแต่เรียบร้อยและสะอาด ไม่มีสิ่งใดประดับในห้องนั้นเลย สิ่งเดียวที่อยู่กลางห้องคงเป็นสิ่งเดียวที่เรียกได้ว่า เป็นข้าวของที่หรูหรา
ที่แห่งนี้คือ ออฟฟิษที่ได้รับมอบหมายมาจากสำนักงานสาขาของบริษัท การเริ่มต้นด้วยระดับ5 นั้นจะต้องมีการมอบออฟฟิศทำงานส่วนตัวให้พนักงาน ลาพิสนั้นดิ้นรนมาสิบปีจากฐานะผู้ถูกคุมประพฤติเพื่อให้ได้ห้องเล็กๆห้องนี้
ลาพิสนั่งลงบนเก้าอี้ มีเอกสารจำนวนมากกองพะเนินสูงบนโต๊ะทำงานของเธอ
จอมมารดันทาเลี่ยนไม่ใช่ลูกคนคนเดียวที่เธอต้องจัดการด้วย เธอมักถูกลูกค้าถล่มด้วยคำสั่งนู่นนี่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นคำสั่งพวกนั้นไม่อยู่ในหัวของเธอเลยตอนนี้
‘นี่คือ……สิ่งที่เรียกว่าจอมมารน่ะ ใช่จอมมารแน่เหรอ?’
Rank 71st Demon Lord Dantalian.
ลำดับ 71 จอมมารดันทาเลี่ยน
ความประทับใจแรกที่มีต่อเขานั้น คือ การที่เป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้เอาเสียเลย
‘ตะ แต่…..แต่ผมไม่มีเงินเลยนะ’
‘อย่างนั้นเหรอคะ? ขอประทานอภัยนะคะ แต่ตอนนี้ท่านมีเงินอยู่เท่าไหร่คะ ท่านดันทาเลี่ยน?’
‘406 โกลด์’
จอมมารไม่ใช่ผู้ที่แค่แข็งแกร่งกว่าผู้อื่นเล็กน้อยเสียที่ไหน
พวกเขานั้นคือ สิ่งเดียวในหมู่ปีศาจที่ครอบครองกองทัพ ด้วยการมีอำนาจเหนือและสามารถอ่านจิตของมอนสเตอร์ได้ พวกเขาจึงเป็นกำลังสำคัญของทวีปปีศาจอันเป็นสถานที่ที่สงครามและการทรยศไม่มีวันยุติลง จอมมารจึงต้องมีคุณสมบัติเฉพาะตนที่ไม่เหมือนใครทั้งนั้น
ถ้าตามมาตรฐานแล้ว ดันทาเลี่ยนเป็นจอมมารขี้ขลาดอย่างที่ไม่ต้องสงสัย
‘ท่านดันทาเลี่ยนคะ ขออนุญาตถามนะคะว่า ท่านมีมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนเท่าไหร่?’
‘……หนึ่ง.’
อาการเขาหนักขนาดที่พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงสุภาพ จอมมารที่เปี่ยมไปด้วยความน่าหวาดกลัวกับทำตัวไม่รู้คิดแบบนั้นกับซาคิวบัสดาดๆ ถ้าปีศาจอื่นรู้เรื่องนี้เข้ามีหวังลงไปขำกลิ้งกับพื้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้มีหลายครั้งที่ปีศาจทั่วไปอาจแข็งแกร่งกว่าจอมมารระดับต่ำ แต่ถึงอย่างนั้นปีศาจก็ยังแสดงความเคารพเพราะมีแต่จอมมารเท่านั้นที่จะสามารถปกครองและเอาชัยเหนือทวีปปีศาจได้
เมื่อสำนักงานใหญ่สั่งการให้ลาพิสไปจัดการกับจอมมารดันทาเลี่ยน เธอคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสทอง เพราะเธอไม่คิดจะแช่อยู่กับตำแหน่งระดับ 5 ไปตลอดกาล
‘ดิฉันจะทำให้จอมมารเป็นลูกค้าของฉันให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม’
เหตุผลที่ลาพิสนั้นเฉยชานั้นเกิดมาจากโศกนาฏกรรมและประสบการณ์การถูกกลั่นแกล้งในสมัยเด็ก
ภายใต้รูปลักษณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เธอซ่อนความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีอำนาจและการแก้แค้นซึ่งรุนแรงยิ่งกว่าใครๆเอาไว้
ความจริงที่ว่า เธอมีสายเลือดมนุษย์อยู่ในตัวขณะที่อยู่ในทวีปปีศาจนั้นเป็นความผิดพลาดสำหรับตัวเธอ ปีศาจต่างเชื่อในพละกำลังและกลอุบาย แต่การมีป้ายแปะบนหัวว่า เด็กนี่เกิดจากแม่ที่ถูกมนุษย์ที่อ่อนแอทำให้ท้อง เป็นเหมือนจุดตาย
ความอับอายของเหล่าปีศาจ
ตลอดร้อยกว่าปีของชีวิตเธอที่ได้ยินมาโดยตลอด ปมด้อยพวกพวกนั้นมันพอกหน้าเหมือนหน้ากากโคลน
‘ดิฉันขอประทานอภัย ท่านดันทาเลี่ยนคะ อาจเป็นการแสดงความไม่สุภาพของดิฉัน แต่ดิฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดสิ่งนี้’
‘เอาเลย…….’
‘นี่เป็นครั้งแรกในช่วงชีวิตปีศาจอันแสนสั้นของดิฉันที่ได้เห็นดันเจี้ยนร้าง ’
เธอรู้สึกผิดหวังเมื่อเธอได้รับรู้ถึงความจริงของจอมมารดันทาเลี่ยน อันที่จริงมันไม่น่าประหลาดใจด้วยซ้ำ มันไม่มีทางอยู่แล้วที่บริษัทจะจัดหางานใหญ่ๆโอกาสดีๆให้กับเลือดผสมอย่างเธอ เธอมันโง่เขลาเองที่คาดหวังไว้สูง
หลังจากได้พบกับดันทาเลี่ยน เธอก็ข่มตัวเองแล้วตั้งสติ
‘ลูกค้าก็ยังเป็นลูกค้าอยู่ดี’
ลาพิสสะท้อนตัวเองถึงการมองลูกค้าเป็นเพียงเครื่องมือในการยกระดับสถานะตัวเอง ลึกลงไปแล้ว ลาพิสนั้นเป็นบุคคลที่เอาจริงเอาจัง เธอวางเรื่องส่วนตัวไว้แล้วรับฟังคำขอของดันทาเลี่ยน เธอไปพบจอมมารในทุกวันเพื่อคำสั่งซื้อเพื่อที่จะซื้ออะไรจิปาถะอย่างแร่เหล็กเจือเวทย์มนตร์
ค่าเฉลี่ยอายุขัยหลายร้อยปี ถ้าเธออดทนสถานการณ์ในตอนนี้ได้ เธอจะเป็นใหญ่ได้ในอนาคต
ลาพิสระงับความใจร้อนด่วนได้และความเร่งรีบของตน เป็นไปอย่างช้าๆ ถ้าเธอทำมันอย่างต่อเนื่องช้าๆ……แล้ววันหนึ่งเธอก็จะกลายเป็นผู้บริหารในบริษัทเคียนคุสก้าในวันหนึ่งแน่
นี่เธอพอใจกับแค่นั้นเองเหรอ? คำถามนี้ผุดขึ้นมาจากในมุมหนึ่งเบื้องลึกสุดของหัวใจ แต่เธอต้องกดข่มมันลง
“……วันนี้มันต่างไปโดยสิ้นเชิง”
ลาพิสเงยหน้าขึ้นมองเพดานคล้ายกับกำลังพูดกับตัวเธอเอง เธอนึกย้อนถึงบทสนทนาที่พูดคุยกัน
ทีแรกมันไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมเลย เธอไปปราสาทจอมมาร ดันทาเลี่ยนเล่นกับก็อบลินของเขา
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คำว่า ศักดิ์ศรีคืออะไร? เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนจอมมารจอมมารจะเอ็นดูก็อบลินขนาดนั้น
แม้เธอจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ ลำดับ 12 จอมมารสิตรีที่มีรสนิยมทางเพศที่ไม่เหมือนใครนั้นใช้ก็อบลินหลายตัวเป็นของเล่น
‘ท่านสนใจที่จะกู้ยืมเงินหรือคะ?’
‘ถูกต้อง’
’
ยิ่งไปกว่านั้น เขาพูดอะไรที่ดูโง่เง่ามาก อย่างการกู้ยืมเงิน
จริงอยู่ที่การขุดแร่แบบไม่มีวันสิ้นสุดนั้นจะไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกได้ แต่ถึงอย่างนั้นการกู้ยืมเงินมันเป็นอะไรที่โง่เง่าโดยไม่ต้องสงสัย
ลาพิสนั้น มีความประทับใจอันน่าประหลาดต่อจอมมารเอาแต่ใจที่ทำตัวดีแม้แต่กับก็อบลิน เธอพยายามที่จะโน้มน้าวเขาให้ไม่กู้เงิน เธออธิบายว่า บริษํทเคียนคุสก้านั้นชั่วร้ายแค่ไหน โชคดีที่จอมมารนั้นเข้าใจ
‘โรคระบาดใหญ่’
ตอนนั้นเองที่บรรยากาศเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน
ลาพิสรู้สึกได้เลยว่า อากาศในถ้ำเปลี่ยนไป จากที่เคยสงบนิ่งกลับกลายเป็นคลื่นที่โหมกระหน่ำตามปกติในยามค่ำคืนที่สงัด ความตึงเครียดยึดเกาะสันหลัง เธอไม่ใช่ลาพิสที่นิ่งสงบอีกต่อไป เธอกำลังตื่นตระหนก
‘……โรคระบาดอย่างนั้นหรือคะ?’
แม้จะเป็นลาพิสผู้นี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากพูดให้ช้าลง เธอรู้สึกหนักที่อก การที่เสียงของเธอไม่สั่นก็นับว่า น่าชื่นชมแล้ว ไม่ว่าเธอจะรู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
แต่จอมมารตรงหน้าเธอก็ยังคงยิ้มอย่างกล้าหาญ
‘อย่าดูแคลนคำทำนายของผมเชียวนะ แม่ปีศาจสาวตัวน้อย’
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป เธอไม่เคยเห็นฝ่าบาทดันทาเลี่ยนพูดด้วยความสุขุมอย่างนั้นมาก่อน
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด มันเป็นราวกับว่า นั่นเป็นน้ำเสียงที่แท้จริงของเขา ลาพิสนั้นไม่คิดจะถามอะไรกลับไป เธอยังคงปิดปากเงียบอยู่
จอมมารผู้นั้นประกาศออกมา
‘เมฆมืดมัวจะปกคลุมทั้งผืนทวีป ภายในสองเดือน มนุษย์ทุกผู้ทุกนามในทวีปนี้จะตกอยู่ในความสิ้นหวังและทุกข์ทรมาน นี่คือ คำทำนายของจอมมาร!’
ลาพิสรู้สึกว่า ใจของเธอจมดิ่งลง