dungeon defense - ตอนที่ 14 ปูทาง 10 สายเพื่อรับเงินมากมาย(4)
‘ธรรมชาติของสรรพสิ่งนั้นเหมือนกัน หากไม่หายใจชั่วขณะหายนะก็บังเกิดทันที ในชั่วขณะที่ธรรมชาติหยุดหายใจชั่วครู่ ลมหายใจของโรคระบาดก็แพร่กระจายขยายทั่วทวีป ผมเรียกสิ่งนั้นว่า กาฬเมฆา (เมฆดำ)’
การพยากรณ์
เป็นที่รู้กันมาตั้งแต่โบราณว่า จอมมารคือ พวกเดียวที่มีความสามารถแบบนั้น
พวกเขาเคยถูกเรียกว่า เป็นนักทำนายแห่งพระเจ้า ตั้งแต่สมัยก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นไปได้ว่า อาจเพราะเวทย์มนตร์ทั้งหลายเริ่มเสื่อมไปจากโลก ผู้คนก็เลิกเชื่อในคำทำนายของจอมมาร
จำนวนจอมมารที่สาทารถใช้การทำนายได้ก็ลดจำนวนลงก่อนที่จะหมดไป นักวิชาการฝ่ายปีศาจได้มีความเห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์ว่า ‘จอมมารนั้นมีค่าสติปัญญาที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป ดังนั้นผู้คนจึงหลงเข้าใจผิดว่า การคาดเดาของพวกเขานั้นคือ คำทำนาย’
ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนก็มีความสามารถในการพยากรณ์ด้วยหรือ?
ไม่มีทางเป็นไปได้ ตรรกะและเหตุผลของลาพิสนั้นได้โต้แย้งทันใด ไม่ว่าจะพยายามทำนายอนาคตแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้
…….ถึงแม้ว่าเขาจะซ่อนความสามารถนี้มาโดยตลอดก็ตาม?
ลาพิสพบว่า มันยากเหลือเกินที่จะกลืนน้ำลายเข้าไปในลำคอ เสียงของจอมมารดันทาเลี่ยนกระแทกเธอราวกับฟ้าผ่า
‘เร็วๆนี้ เมฆจำนวนมากจะไหลเข้ามาปกคลุมโลก ถึงอย่างนั้นก็จะมีเมฆเพียงก้อนเดียวที่ปกคลุมทั้งผืนทวีป เมฆก้อนมหึมานั่น หายนะอันยิ่งใหญ่จะหัวร่อใส่ประวัติศาสตร์แห่งการล่มสลาย’
‘ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง’
ลาพิสพูดขึ้นมา วิธีการพูดของเธอนั้นเปลี่ยนไปเองโดยไม่ทันรู้ตัว จากการให้เกียรติตามมารยาทกลายเป็นการให้เกียรติอย่างสูง บุคคลที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นมิใช่ลูกค้าธรรมดา พวกเขาคือ ราชา
‘แล้วท่านคาดการณ์ไว้ว่า จะเกิดความเสียหายกับทวีป……มากเท่าไหร่?’
ดันทาเลี้ยนกรุ้มกริ่ม
‘ใจร้อนเหลือเกิน หรือเธอกำลังคิดว่า ผมใช้วิธีการอุปมาอุปมัยเพื่อสร้างความสับสนอยู่หรือ?
การทำนายนั้นเป็นการยืมพลังงานจากสปิริทที่เรียกเอาบางอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในปัจจุบัน
หากมีผู้หนึ่งที่คิดจะผลิตอนาคตใหม่ที่แน่นอนแม่นยำ โชคชะตาของโลกก็จะบิดเบี้ยวไปและนำมาซึ่งภัยพิบัติร้ายแรง’
‘ขอประทานอภัยให้แกดิฉันที่ไม่รู้ ทั้งยังไร้มารยาทอีกด้วย’
ลาพิสก้มหัวในทันที
‘ผมให้อภัยเธอ ในยุคนี้สมัยนี้ไม่มีจอมมารตนใดที่สามารถเฝ้าสังเกตห้วงเวลาได้อีกแล้ว แล้วจะมีใครรู้ถึง ข้อบังคับของการทำนายได้ล่ะ?
แม่สาวน้อย สลักคำพูดของผมไว้ในใจนะ
ถ้ามีลูกธนูสามดอกในทวีป กาฬเมฆาจะหักทิ้งหนึ่ง
ถ้ามีลูกธนูเก้าดอกในทวีป สามดอกนั้นจะเน่าเปื่อย
‘……!’
นั่นหมายความว่า หนึ่งในสามของทวีปจะถูกกำจัดออก
ความเย็นเยียบวาบเข้ากระดูกสันหลังของลาพิส คำพูดของเขาที่หมายถึงหนึ่งในสาม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ สิบล้านคน ไม่สิ ถ้ารวมเผ่าอื่นเข้าไปด้วย อาจจะร้อยล้านคนเลยที่ต้องตาย แม้จะเป็นเรื่องตลก แต่ระดับการตายนั้นมันมากเกินไป
ลาพิสตั้งคำถามว่า ถ้าหากดันทาเลี่ยนนั้นมีความสามารถในการทำนายโรคระบาดได้จริง ต่อให้เป็นอย่างนั้น ต่อให้เขาล่วงรู้คำทำนาย เป็นไปได้ไหมว่า เขาจะหมายถึง โรคระบาดที่ไม่ใหญ่มากนัก
โรคระบาดนั้นเกิดขึ้นเป็นปรกติอยู่ทุกที่ แม้แต่ตอนนี้การติดโรคก็ยังเป็นเหตุหลักที่ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในบางส่วนของทวีป
ถ้าเขาระบุการทำนายอย่างนั้น เขาคงโกหกไม่ได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นล่ะในเมื่อประชากรหายไปถึงหนึ่งในสาม? ภายในสองเดือนด้วย
ความเสี่ยงมันมากเกินกว่าที่จะอ้างว่าโกหก
เพราะหากสองเดือนข้างหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดันทาเลี่ยนก็จะสูญเสียความเชื่อถือจากเธอ ไม่มีโอกาสให้แก้ตัว การสูญเสียความเชื่อจากเจ้าหน้าที่ของบริษัท หมายถึงว่า คุณเสียความเชื่อใจจากทั้งบริษัทเคียนคุสก้า
แต่ถ้าหากเขาพูดความจริงล่ะ?
‘ไม่จำเป็นต้องกลัวขนาดนั้น ทุกสิ่งในโลกนี้มีศัตรูทางธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้น กาฬเมฆาก็เช่นกัน มันอาจเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากแต่มันก็มีศัตรแก้ทางด้วยเช่นกัน มันเป็นสิ่งตัวน้อยที่ไร้ความสำคัญ สมุนไพรเล็กๆที่โตในเขตภูเขาแต่กลับมีความสามารถในการระงับยับยั้งโรคกาฬเมฆา ผมตั้งใจจะรวบรวมสมุนไพรพวกนั้นไว้ก่อน’
ลาพิสเข้าใจเจตนาของจอมมารในทันที การผูกขาดนั่นเอง จอมมารผู้นี้ต้องการที่จะกระโดดเข้าไปทำในสิ่งที่พ่อค้าทุกคนถวิลหา เขาตั้งใจที่จะกู้ยืมเงินจากบริษัทเพื่อจะสร้างการผูกขาด
‘สองเดือนต่อจากนี้ ราชสกุลของพวกมนุษย์จะกรีดร้องกับการที่ได้หญ้าดาดๆมา ผมตั้งใจจะขายสมุนไพรพวกนั้นในเวลานั้น และสร้างกำไรได้มากมาย
ลาพิส ลาซูลิ พิจารณาข้อเสนอของผมให้ดี’
ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งถ้ำ
‘…….’
สัญชาติญาณของลาพิส ร้องเตือนบอกเธอว่า จอมมารไม่ได้โกหก
ภัยพิบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กำลังจะเกิด คุณสามารถเปลี่ยนวิกฤตินั้นให้กลายเป็นโอกาสได้ โอกาสที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจะถือกำเนิดเกิดได้จากวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนั่นเอง
เหตุผลของลาพิสนั้นกำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง สัญชาตญาณหรือเหตุผล ลาพิสยืนเงียบราวกับกำลังเผชิญอยู่บนทางแยก
เธอต้องให้คำตอบบางอย่าง
“ดิฉันต้องขอประทานอภัยค่ะ แต่ดิฉันไม่สามารถทำได้ค่ะ”
‘อย่างนั้นเองหรือ?’
เขาไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจ ไม่เลย เขาเพียงแต่รู้สึกสนอกสนใจ
‘บอกทีว่า ทำไมล่ะ?’
ลาพิสรู้สึกเหมือนตัวเองเดินเข้าไปในปากอสูรบัลร็อก จริงอยู่ที่การปฏิเสธของเธออาจได้รับการยกโทษให้ แต่ถึงอย่างนั้น การที่เธอกล้าปฏิเสธคำขอของจอมมารด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เธออาจต้องชดใช้ด้วยชีวิต
นั่นคือ สิ่งที่ดวงตาจอมมารกล่าวกับเธอ
ลาพิสครุ่นคิดอย่างหนักเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเชื่อก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงฟังชัด โดยไม่ถูกกดดันด้วยออร่าของจอมมาร
‘ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า โรคระบาดจะเกิดขึ้นค่ะ ท่านดันทาเลี่ยน ท่านประกาศว่าโรคระบาดจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้และจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปทำให้ผู้คนล้มตายไปเกือบหนึ่งในสาม’
‘ถึงอย่างนั้น’
ลาพิสพูดต่อ
มันก็ไม่ใช่ข้อตกลง ไม่ใช่หลักการพื้นฐาน บริษัทไม่ลงทุนกับคำทำนายหรอกค่ะ’
พ่อค้านั้นต้องใช้เหตุผลเสมอ นั่นเป็นสิ่งที่ลาพิสเชื่อ
แม้ความเชื่อที่ว่าจะทำให้ดันทาเลี่ยนฆ่าเธอ มันก็ช่วยไม่ได้ แต่สำหรับปีศาจแล้ว ความตายไม่ใช่อนาคตอันห่างไกล มันเป็นเพียงเงาที่คุกคามพวกเขาจากด้านหลัง ลาพิสเตรียมใจที่จะตายไว้แล้ว
แต่กระนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ออร่าจริงจังของจอมมารก็ได้หายไปในทันที ดันทาเลี่ยนกลับกลายเป็นคนปกติอีกครั้ง
เขายิ้มกรุ่มกริ่ม
“แล้วถ้าเป็นแบบนี้แทนล่ะ? ก็แค่ไปบอกบริษัทว่า ผมจะทำสัญญากู้ยืม แล้วเธอก็บอก แผนธุรกิจของผมไป โดยไม่ต้องสนใจว่า จะกู้มาได้หรือไม่ก็ตาม”
คำพูดที่ตามมาเป้นสิ่งที่คาดไม่ถึง ดูเหมือนดันทาเลี่ยนรู้แต่แรกแล้วว่า เธอจะปฏิเสธเขา เขาเข้าใจจุดยืนของบริษัทดี เขาพยายามที่จะหาโอกาสเก็บเกี่ยวความเชื่อใจจากบริษัท ลาพิสรู้สึกเหมือนตัวเองโดนทุบด้วยค้อนปอน
นั่นสมเหตุสมผลดี หากเขามีพลังในการทำนายจริงๆ เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปยึดติดกับเรื่อง โรคระบาดตอนนี้
ช่างเป็นความสามารถที่น่ากลัวจริงๆ
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าความสามารถนั่นคือ ตัวจอมมารเองนั่นแหละ
แม้จะมีความสามารถในการทำนายแต่เขาก็ไม่ได้โอ่อวด เขาใช้มันเพื่อปลูกฝังความกลัวและสร้างความเชื่อใจให้เกิดกับเธอ
ยิ่งไปกว่านั้นพอเขาทำตามเป้าได้สำเร็จเขาก็กลับเป็นตัวตนเดิมในทันที ไม่สิ หรือความจริงแล้วตัวตนนั้นคือ ตัวตนแท้ของเขากันแน่ สิ่งที่แสดงให้เธอเห็นมาจนถึงบัดนี้ อะไรคือ ความเป็นปกติของเขา⎯⎯⎯หรือการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมานั้น เป็นไปเพื่อ ณ เวลานี้เท่านั้น
ลาพิสประณามตนเอง เธอถูกกระหน่ำตีด้วยความผิดหวังเสียใจ
นี่เธอประมาทเพียงเพราะเขาเป็นจอมมารลำดับ 71 ได้อย่างไรกัน?! จอมมารนั้นคือ จอมมารแม้จะเป็นวาระสุดท้าย
จอมมารท่านนี้เป็นคนจริงจัง เขาลับคมดาบตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อมาจัดการกับเธอ ดาบที่จะฟาดฟันในครั้งเดียว
ลาพิสรู้สึกอับอาย เธอกังวลมากว่าจอมมารจะประเมินเธอสูงเกินไป อำนาจที่เธอมีในบริษัทเคียนคุสก้านั้นช่างน่าสังเวช เธอไม่มั่นใจแม้แต่จะตอบรับความคาดหวังของจอมมาร เธอจึงพบว่าตัวเองกำลังหลบสายตาจอมมาร
‘……มีบางสิ่งที่ดิฉันยังไม่ได้บอกท่านค่ะ ท่านดันทาเลี่ยน’
ลาพิสอธิบายถึงชาติกำเนิดอันต่ำต้อย
จอมมารอาจจะดูถูกเธอ แต่มันช่วยไม่ได้ ไม่ว่าเธอจะบอกเขาเรื่องนี้หรือไม่ วันหนึ่งเขาก็ต้องรู้จนได้อยู่ดี อีกทั้งหากจอมมารคาดหวังกับเธอ มันก็จะดีกว่าที่จะบอกให้เขารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ดีกว่าไปถูกดูถูกทีหลัง……มันดีกว่าที่ต้องเริ่มต้นด้วยการอดตอนนี้แทนที่ความสัมพันธ์พัฒนาไปมากกว่านี้
แต่ถึงอย่างนั้น
‘แล้วมัน ยังไงล่ะ?’
⎯⎯ดันทาเลี่ยนนั้นต่างออกไป
‘การที่เธอเป็นเลือดผสมแล้วมันยังไงเหรอ?’
แม้ตัวเขานั้นจะเป็นปีศาจชั้นสูงและจอมมารเลือดบริสุทธิ์ ที่ควรจะขยะแขยงกับการที่สายเลือดปนเปื้อนมากที่สุด
‘อย่าห่วงเรื่องพรรค์นั้นเลยน่า’
เขาประกาศว่า เรื่องพวกนั้นมันไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรเลย
ลาพิสมองจอมมารอย่างเหม่อลอย
มีใครเคยพูดอย่างนี้กับเธอมาก่อนหรือเปล่า? นี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ
แม้แต่คนที่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีต่อเธอ ยามที่ต้องอยู่ใกล้เธอก็ยังคงทำหน้าบูดบึ้งและพยายามถอยห่าง โดยไม่มีข้อยกเว้น
นับร้อยกว่าปีแล้วที่สิ่งนี้เกิดขึ้นเสมอ เธอมีชีวิตที่ต้องระลึกถึงการถูกทอดทิ้งก่อนที่จะได้พบเจอใครในครั้งแรก
เธอได้ทิ้งสิ่งที่เธออยากได้ยินได้ฟังไปแล้ว ก่อนที่จะปล่อยให้จิตใต้สำนึกจมอยู่กับความบิดเบี้ยว และคำพูดพวกนั้นก็ได้มอบให้แก่เธอ จากตัวตนที่สูงสุดในโลกปีศาจ
อ่า⎯⎯⎯.
อารมณ์ของลาพิสนั้นแปรปรวนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา เธอไม่ปรารถนาให้อีกฝ่ายได้สังเกตเห็นว่า เธออยู่ในอารมณ์นี้ มันเป็นจุดจบหากใครสักคนหนึ่งเจอจุดอ่อนของพ่อค้า นั่นจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมเธอจึงรีบออกจากดันเจี้ยนโดยเร็ว
เธอแทบจำไม้ได้ด้วยซ้ำว่า เธอได้ขอโทษขอโพยท่าไหน ก่อนจะจากออกมา
หลังกลับมาอยู๋ในออฟฟิศ เธอยังคงจดจ้องไปที่เพดาน เธอไม่สามารถสะกดข่มอารมณ์ได้เหมือนทุกที
มันเป็นสิ่งที่ยอดมาก หากจอมมารดันทาเลี่ยนมีพรสวรรค์เช่นนั้นจริง มันจะเพิ่มโอกาสที่จะทำให้เธอเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว นั่นคือ สิ่งที่เธอพยายามบอกกับตัวเอง แต่ทว่า……ไม่มีอะไรสามารถดับอารมณ์ตอนนี้ของเธอได้
สุดท้าย ลาพิสจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากพึมพัมกับตัวเอง
“ช่างเป็นจอมมารที่แปลกเสียจริง”
ถึงอย่างนั้น อารมณ์ของเธอก็ไม่ยอมสงบลงอยู๋ดี
ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ลาพิสนั้นเอียงหัวราวกับจะยืนยันว่า วันนี้เป็นวันประหลาด
จากนั้นเธอก็เตรียมรายงานที่เธอจะส่งไปให้กับหัวหน้า เอกสารเริ่มต้นด้วยข้อความที่บอกว่า มีความเป็นไปได้ที่จอมมารดันทาเลี่ยนจะมีความสามารถในการพยากรณ์
「คุณได้สกัดแร่เหล็ก 2 ก้อน 」
“เยี่ยมเลย สองก้อนในครั้งเดียว!”
ขณะเดียวกันนั้นเอง จอมมารยังคงเหวี่ยงอีเต้ออย่างสนุกสนาน โดยไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกถ้ำ
* * *
เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่ผมแอบขู่ลาพิส
พวกนักผจญภัยบุกเข้ามาในดันเจี้ยนสัปดาห์ละครั้ง
อาจเป็นเพราะช่วงต้นของเกมนั่นแหละ ปาร์ตี้ที่บุกเข้ามาจึงมีเพียง 15 คน พวกเขาต่างเป็น F แร๊งด้วยทุกคน หากเป็นดันเจี้ยนปกติที่ควรจะเป็น ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊งFพวกนี้จะถูกกวาดล้างทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในดันเจี้ยน
แน่นอนที่นี่คือ ปราสาทของจอมมาร ผมไม่อาจพูดได้อย่างภูมิใจว่าดันเจี้ยนของผมเป็นดันเจี้ยนปกติอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นพวกนักผจญภัยแร๊งFทั้งหลายจึงเป็นภัยคุกคามในชีวิตผม
ตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่บนพื้น
“เฮ้ย? มีคนล้มอยู่ตรงนั้น”
“เออว่ะ เฮ้ย ตื่นๆ!”
นักผจญภัยเข้ามาใกล้แล้วตบที่แก้มผม
ผมครางออกมา
“หนะ หนะ น้ำ…… ขอ ……น้ำ”
“แย่ละ หมอนี่มีอาการขาดน้ำว่ะ”
น้ำรินใส่หน้าผม ดูเหมือนจะมีหนึ่งในพวกเขาเทน้ำจากถุงน้ำให้ผม น้ำที่ไหลผ่านช่องว่างระหว่างหมวกเหล็กราคาถูกที่ผมสวม ผมกลืนน้ำอย่างกระหายเหมือนหมาในหน้าร้อน
“อึก อ่าาาา ขะ ขอบคุณ”
“คนเราควรที่จะช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ แล้วว่าแต่ นายมาอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ยังไงกันเนี่ย?”
“เอ่อ”
ผมสั่งใช้สกิลในหัว
「สกิล การแสดง เปิดใช้งาน」
「โชคดีจังไม่หลุดมือไป! โอกาสที่ผู้อื่นจะสงสัยในคำพูดของคุณลดลง’เล็กน้อย’」
“ผ่านมาสามวันแล้วนับตั้งแต่ที่ผมเข้ามาในดันเจี้ยนนี้”
แล้วผมก็เริ่มเล่าเรื่องนี่สงสารของผมให้พวกเขาฟัง
ผมชื่อ ฮานเซ่น มาจากหมู่บ้านเจลเซ่น ผมเดินทางไปสำรวจดันเจี้ยนกับคนในหมู่บ้านของผม แต่พวกเราถูกมอนสเตอร์จู่โจม แล้วก็ต้องแยกย้ายไปคนละทางกัน คนนำทางของพวกเราตายไปก่อน ดังนั้นพวกเราจึงหลงอยู่ในดันเจี้ยน
ผมเดินสำรวจอยู่สามวัน แล้วร่างกายก็ทนไม่ไหวล้มลงไป……แม้แต่ตัวผมยังรู้สึกเลยว่า ทักษะการแสดงของผมนี่มันยอดจริงๆ
เจ้าคนพวกนี้ก็ไร้เดียงสาเกินกว่าที่ผมคาดไว้เสียอีก
“ฮึก นายต้องลำบากมากแน่ๆ!”
“นี่เป็นครั้งแรกเลย ที่ข้าได้ยินเรื่องโชคร้ายขนาดนั้น”
“อ่า เจ้าหนุ่มเอ๋ย อย่าได้สิ้นหวังไปเลย จงมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่าโลกนี้จะเลวร้ายบแค่ไหน ดวงดาวจะอยู่ข้างเจ้าในวันหนึ่ง จงเชื่อในอนาคตเถอะ เราต้องเชื่อในอนาคต”
ในถ้ำนั้นเต็มไปด้วยน้ำหูน้ำตา
ใบหน้าของนักผจญภัยที่หยาบกร้านเพราะใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการสู้แดด น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาจากใบหน้าที่ถูกแดดเผา พวกเขาแตะบ่าให้กำลังใจทั้งที่พึ่งใช้มือเช็ดตาเช็ดจมูก
อี๋ ขยะแขยงชะมัด
‘พวกเขาหลงกลบทบาทการแสดงง่ายๆจริงแฮะ’
พวกปาร์ตี้จากหมู่บ้านเจลเซ่นยังไม่อ่อนเท่านี้เลย
การที่ผมสวมหมวกเหล็กอยู่ เขาของผมที่เป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่ระบุว่า ผมเป็นจอมมาร ถูกปิดไว้ ความ
การปฏิบัติต่อจอมมารกับมนุษย์ธรรมดานั้นต่างกันมากโข เมื่อผมรู้อย่างนั้นจึงสังเกตหน้าต่างที่เด้งขึ้นมาและบอกว่า ผมสามารถเพิ่มแต้มค่าความชอบของพวกเขาได้
“เจ้าหนุ่ม ไม่สิ สหายวัยเยาว์ ขอถามสักคำถามเกี่ยวกับดันเจี้ยนนี้หน่อยได้ไหม?”