dungeon defense - ตอนที่ 22 การล่ามนุษย์(3)
“โอ้, กำลังมองหาอยู่พอดี”
ผมพบว่าตัวเองกำลังเลียริมฝีปากอยู่ ผมโต้ตอบคำพูดของแจ็คอย่างเหมาะสมโดยระวังมิให้ตัวเองแสดงอารมณ์ออกมา ตอนนี้เขาเมาเต็มที่แล้ว เขายังคงพร่ำพูดแต่คำเดมิๆ ดังนั้นการไหลตามจึงไม่ยากนัก
“พวกเราอยู่นี่แล้ว! ที่ที่นางฟ้ากำลังนอนหลับไหล! เรียกว่าทาสคงไม่เหมาะใช่ไหม เฮ้ยนี่! พวกนายน่ะกำลังดูแลอัญมณีนี่อย่างดีล่ะสิ จริงไหม?”
แจ็คพาผมไปยังที่จอดรถม้าคันใหญ่ มีทางรับจ้างสองคนเล่นไพ่กันอยู่ตรงหน้า พวกเขาแค่พยักหน้าไปลวกๆ ดูเหมือนจะรำคาญการมาอยู่ที่นี่ เพราะพวกเขาต้องอยู่เวรข้ามคืนเพื่อระวังภัยอยู่แล้ว พวกเขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากไพ่ในมือ
“เอาล่ะโว้ย มาเลย 1คู่”
“สองคู่ว่ะ แกแพ้แล้ว ไอ้งั่ง จ่ายมาซะ”
ผมแทบอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ไอ้งั่น จ่ายมา นั่นเป็นคำพูดที่พวกเขาพยายามจะบอกอ้อมๆกับแจ็ค อย่างที่คิดไว้สำหรับคนเมา แจ็คไม่รู้ด้วยซ้ำว่า กำลังโดนสบถใส่
“เธอคงกำลังหลับอยู่ ฮ่าๆ ผมจะค่อยๆเปิดนะ”
เขาเปิดประตูรถม้าออก
มีเด็กสาวนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้า มันมืด ดังนั้นผมจึงไม่เห็นใบของเธอ
ให้ตายเถอะ แจ็คบ่นก่อนจะหยิบคบไฟขึ้นมา คบไฟฉายแสงอยู่ด้านในรถม้าเป็นสีเหลืองอำพัน เด็กสาวตื่นขึ้นมาตั้งแต่ได้ยินเสียงประตูเปิด เธอจ้องมาที่พวกเรา
เธอมีกรามที่เรียวงาม เธออายุประมาณ 17ปีแล้วล่ะมั้ง? เธอกวาดตาสำรวจแจ็คชั่วครู่ก่อนจะมองผ่าน แล้วมาจ้องที่ผม คำว่า ‘จ้อง’ นั้นตรงตามตัวอักษร
การจ้องของผู้คนมีเจตนาซ่อนอยู่เบื้องหลังเสมอ อย่างในวันนี้ ตอนที่พ่อค้าคนนั้นมองเขามองด้วยความดูถูกผม ตอนที่แจ็คสบตากับผม มันเป็นความพยายามทำให้ผมชอบ ทั้งหมดทั้งมวล หลายต่อหลายครั้ง ผมใช้สายตามองหาอะไรที่อยากรู้ เพื่อจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ก็มีอะไรบางอย่างที่ไม่คาดคิด
ผมคิดว่า แมวป่าก็ใช้การมองแบบนั้นแหละ
เป็นเรื่องปกติที่ การจ้องมองของผู้คนนั้นจะเป็นการยั้งความต้องการ อาจจะเยาะเย้ยใครสักคน หรือต้องการขอความรัก หรือความปรารถนาที่ใกล้เคียงกัน ีมเพียงสองกรณีเท่านั้นที่คุณจะจ้องมองเข้าไปในดวงตาใครจริงๆ
หนึ่งคือ การที่คุณเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ไม่หวังจะเยาะเย้ยหรือให้ใครมาสนใจ
และสองคุณนั้นสมบูรณ์แบบที่จะไม่ต้องการแสดงความปรารถนาของตนให้คนอื่นรู้
การมองจ้องของเด็กสาวคนนี้สร้างความประทับใจให้ผมเป็นอย่างมาก
“เธอคือ สายเลือดชนชั้นสูง ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่(Laura De Farnese)! ลูกสาวของดยุคผู้น่าเคารพ แต่เอาเข้าจริงต้องบอกว่า เคยน่าเคารพสินะ รู้อะไรเกี่ยวกับ สงครามดอกไม้ไหม? เธอเป็นลูกคนที่สองของทายาทสายฟาร์เนเซ่ที่นำฝ่ายกองกำลังไฮเดรนเยีย ฮ่า ฮ่า เป็นบุคคลที่มีฐานะสูงส่งอย่างแท้จริง ไม่สิ เป็นบุคคลที่เคยมีฐานะสูงส่งนี่นะ…….”
แจ็คยังคนพร่ำเพ้อต่อไปข้างๆผม เด็กสาวและผมต่างมองกันและกันระหว่างที่เขาพูด ผมรู้สึกว่า ตัวเองจะแพ้ถ้าหลบสายตาเธอ ใช่แล้วล่ะ เด็กสาวคนนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมกัน แต่เธอกำลังทดสอบผมอยู่
‘ช่างหยิ่งยโสอะไรอย่างนี้’
ผมไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธการทดสอบของเธอ ผมไม่แน่ใจว่า มาตรฐานของเธอมันสูงแค่ไหน แต่เอาเลย ประเมินผมเลย ผมก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน ไม่ว่าเธอจะเป็นฮีโร่หรือไม่เข้าตาผมก็ตาม
‘สเตตัส’
ติ้ง โฮโลแกรมง่ายๆโผล่ขึ้นมา ค่าความชอบของเธอนั้นต่ำ ดังนั้นจึงแสดงแค่ข้อมูลที่น้อยมาก
อืม…….
ออกจะน่าผิดหวังไปหน่อย เธอนั้นแข็งแกร่งกว่านักผจญภัยแร๊งF เล็กน้อย แต่ก็นั่นแหละ ผมคิดว่า เธอจะอยู่ระหว่างนักผจญภัยแร๊งEกับแร๊งD
แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าประทับใจแหละที่เด็กสาวอายุเท่านี้จะมีความสามารถในการต่อสู้ เธอคงมีพรสวรรค์ที่จะกลายเป็น แอนตี้ฮีโร่ในอนาคต
มันออกจะโลภมากเกินไปหน่อยที่หวังว่า ความค่าแสตททุกค่าที่เป็นค่าความสามารถในการต่อสู้ของเธอนั้นจะเป็นเลขสองหลัก
‘หรือบางทีเธออาจเป็นพวกที่จะเติบโตผ่านความยากลำบาก และบททดสอบ แต่ไม่ใช่พวกที่มีสแตทสูงมาแต่แรก……?’
ลอร่านั้นเป็นNPC ยอดนิยมเนื่องจากปูมหลังอันโชคร้ายของเธอ แม้จะเกิดมาในตระกูลชนชั้นสูงที่น่านับถือ แต่ก็ร่วงหล่นกลายเป็นเพียงทาสกาม
ถูกข่มขืนมานานนับสิบปี เธอถึงได้พลิกชีวิตกลับมาด้วยแผนการชั่วร้ายราวกับปีศาจและการแทงข้างหลัง
ถ้าเธอไม่ได้เป็นอัจฉริยะ แถมยังเป็นบุคคลที่ต้องเติบโตด้วยประสบการณ์ ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นคือ การสอดส่องดูเธอตอนนี้ก็แทบไม่จำเป็น ผมรู้สึกว่า ความหวังที่เคยไหลพล่านอยูในอกกลับหายวับไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นแบบนั้นจนกระทั่งเด็กสาวเปิดปากพูด
“อะไรอยู่เบื้องหลังการมองแบบนั้น?”
ผมครุ่นคิดและไม่ตอบกลับไปในทันที มันไม่กี่วินาทีหรอกนับตั้งแต่ที่เธอถามคำถามนั้น ผมถึงได้สังเกตเห็นว่า เธอยังคงจ้องมองผมเงียบๆ รอผมตอบกลับไป
“ว่าอย่างไรนะ?”
“ฉันถามคุณ เรื่องที่คุณมองฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกมองแบบนั้น”
เด็กสาวใช้มือขวาบิดปอยผม อ่า มันเป็นนิสัยของลอร่าที่มักทำบ่อยครั้งเมื่อเธอใช้ความคิดเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ในเกมเธอก็ทำแบบนั้น
นั่นเป็นสิ่งที่ผมอึ้งเสมอกับรายละเอียดของโลกใบนี้ ผมตอบเธอกลับไป อาจเพราะเธอใช้คำพูดเป็นกันเอง ผมจึงใช้คำพูดที่ไม่เป็นทางการตอบกลับไป
“แล้วมีปัญหาอะไรกับการมองของฉัน?”
“ทีแรกคุณมองฉันอย่างเต็มไปด้วยความหวัง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
มีคนมากมายที่มักคาดหวังกับตัวฉัน แต่หลังจากนั้นอยู่ๆ การแสดงสีหน้าของคุณก็เปลี่ยนไปทันที ความคาดหวังของคุณก็พังทลายไป เหมือนฉันไม่ดีพอต่อความคาดหวังของคุณ”
“โอ้?”
ความหวังได้ค่อยๆผลิบานกลับมาใหม่ในน้ำเสียงของผม มันเหมือนยังมีประกายไฟอยู่บนถ่านที่กลับมาติดใหม่ทั้งที่คิดว่าดับไปแล้ว ผมขออนุญาตแจ็คให้ผมคุยกับเธอตามลำพัง
“อย่างที่ท่านแจ็คบอกจริงๆ เธอเป็นรางวัลที่ควรค่าแก่การเอามาอวด”
“ถูกไหมล่ะ? ฮ่าฮ่า เธอสวยมากๆเลย?ขนาดผมยังไม่เคยเจอเด็กสาวคนไหนสวยเท่าเธอมาก่อน”
“ฉันเห็นด้วยนะ ขอให้ฉันพูดกับทาสของคุณตามลำพังได้ไหม? แค่ไม่นาน อยากจะประเมินด้วยว่า รางวัลของท่านแจ็คนี่ มีค่ามากแค่ไหน ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
แจ็คดีใจที่ได้ตอบรับคำขอของผม ผมเข้าไปในรถม้าและปิดประตูลง ระหว่างที่พูดคุยกัน เด็กสาวมองมาที่ผมตลอด
ผมนั่งลงตรงข้ามกับเธอ
“ท่านหญิงฟาร์เนเซ่ ดูเหมือนมาสเตอร์ของเธอจะให้คะแนนแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก”
“พูดถึงชื่อของฉัน ตระกูลฉันนั้นล่มสลายไปแล้ว”
โอ้ นี่เธอไม่ยึดติดกับชื่อเสียงตระกูล แม้เธอจะใช้ชีวิตตลอดชีวิตมาด้วยความภูมิใจ ในฐานะชนชั้นสูงระดับบนๆ แทนที่จะจมอยู่ในความรุ่งเรืองในอดีต แต่กลับมองที่ปัจจุบันอย่างนั้นรึ? ความหวังของผมค่อยๆเพิ่มขึ้น
‘จริงนั่นแหละ แม้เธอจะเป็นพวกยิ่งเติบโตยิ่งเก่งกาจ แต่บางทีอัจฉริยะนั้นก็แสดงตัวออกมาตั้งแต่วัยเด็ก’
แต่ก็นั่นแหละหาก สภาวะจิตใจของเธอไม่โดดเด่นอย่างนี้ เธอคงไม่ได้รับสมญานามว่า เป็น ตุลาการหญิงเหล็ก หรอก
เด็กสาวยังคงพูดต่อ
“ชื่อเรียกว่าเป็น มาสเตอร์ นั้นไม่คู่ควรกับชายคนนั้น”
“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ? เธอเป็นทาส ส่วนเขาก็เป็นพ่อค้าทาสนี่”
“หน้าที่ของเขาคือ การพาฉันไปที่ไหนสักที่ แล้วก็ขายฉันให้ใครสักคน”
“ตรรกะแปลกดีนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ตอนนี้เธอก็เป็นทาสของแจ็คนะ แม้เธอจะถูกขายไปให้ใคร แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าเธอจะถูกขายไปตอนไหน”
“คุณพูดถูก ไม่ว่าพวกเขาครอบครองฉันนานแค่ไหน มันก็ไม่ทำให้เขากลายเป็นมาสเตอร์ของฉันได้อยู่ดี”
ผมจึงถามต่ออย่างอารมณ์ดี
“แล้วจะทำยังไงเพื่อให้ข้าเป็นมาสเตอร์ของเธอได้ล่ะ?”
“คุณทำไม่ได้”
เธอพูดด้วยโทนเสียงเดียวกับที่พูดถึงว่า อากาศวันนี้หนาวแค่ไหน
“ฉันเป็นลูกสาวตระกูลฟาร์เนเซ่มา 15 ปี นั่นหมายความว่าชีวิตของฉันจะถูกนิยามด้วยคำว่า ฟาร์เนเซ่หรือเปล่า? ไม่ใช่
ฉันเป็นทาสของแจ็คมาตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ชีวิตของฉันจะถูกนิยามว่าเป็นทาสของแจ็คหรือเปล่า? ไม่ใช่
ฉันอาจเป็นทาสของใครสักคนที่มาเจอ แต่นั่นมิได้หมายความว่า บุคคลนั้นจะเป็นมาสเตอร์ จะเป็นเจ้านายของชีวิตฉัน
ยิ่งกว่านั้น ไม่สำคัญว่า ฉันจะสังกัดฝ่ายไหนหรือตกเป็นทาสใคร ทั้งหมดนั้นไม่ต่างไปจากเรื่องบังเอิญเท่านั้น”
มุมปากของผมยิ้มขึ้น
“……แล้วอะไรไม่ใช่เรื่องบังเอิญล่ะ?”
“ความตาย!”
เด็กสาวยิ้มออกมาเช่นกัน
“สำหรับฉันแล้ว ความจริงที่ว่า วันใดวันหนึ่งต้องตายเป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้และเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด
แม้ชีวิตของฉันนั้นจะถูกบงการโดยผู้อื่น แต่มีเพียงความตาย และความตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นของฉัน มีใครตายแทนฉันได้ไหม? ไม่ ทุกคนล้วนต้องตาย ทุกคนต่างก็ต้องตายโดยลำพังทั้งนั้น”
“…….”
ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ ผมนึกได้ถึงการตายของเธอ เธอสบถใส่คำขอให้ยอมแพ้ของฮีโร่แล้วทิ้งตัวจากกำแพงป้อมโดยไม่ลังเล หลักการดังกล่าวที่ว่านี้มันติดอยู่ในหัวเธอตั้งแต่ตอนนี้สินะ? การที่เธอยอมได้ทุกอย่างยกเว้นความตาย
ผมขยับตัวเงียบๆ มันเป็นอารมณ์เหมือนได้พบกับบุคคลที่พิสูจน์หลักการของตัวเองไปแล้ว เด็กสาวคงคิดว่า ผมมาที่นี่เพื่อซื้อเธอ
แม้จะซื้อตัวฉันไปอย่างนั้น ฉันก็ไม่ยอมรับหรอก เธอประกาศอ้อมๆกับผมแบบนั้น
ในฐานะที่ไม่เคยใช้ชีวิตด้วยหลักการของตัวเอง เธอจึงตาบอดต่อมัน
「สกิล การแสดง เปิดใช้งาน」
「โชคดีจังไม่หลุดมือไป! โอกาสที่ผู้อื่นจะสงสัยในคำพูดของคุณลดลง’เล็กน้อย’」
ถึงอย่างนั้นผมก็ใช้ ‘การแสดง’
“ลอร่า นั่นช่างเป็นปรัชญาที่น่าประทับใจมาก ถ้าเธอเชื่ออย่างนั้นนั่นหมายความว่า เธอนั้นไม่ใช่แค่คนเดียวที่ไม่ควรมีมาสเตอร์ ไม่มีใครสมควรมีทั้งนั้น ไม่ว่าจะขุนนาง ราชา หรือนักบุญ พวกเขาแทบไม่ต่างกับชาวนา เมื่อถึงคราวต้องเจอความพินาศ ถูกไหม?”
“ถูกต้อง”
เด็กสาวพยักหน้าอย่างเชื่อมั่นในความจริงนั่น การเห็นด้วยกับเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดที่จะทำได้
การหมิ่นประมาท การทรยศ และการดูแคลนศาสนา
เธอยอมรับการก่ออาชญากรรมทั้งสามในคราวเดียว การยอมรับอันใดอันหนึ่งก็ต้องโทษด้วยการตัดแขนตัดขาแล้ว
ผมเข้าใจแล้วว่า เธอนั้นตกไปสู่จุดต่ำสุดจากการเป็นทายาทลำดับ 2 ได้ยังไง เธอคงเป็นทายาทแต่ในนามนั่นแหละแล้วถูกขับออกจากตระกูล เนื่องจากมีความคิดที่เป็นอันตรายต่อยุคสมัยและวัยเท่านี้
“ถึงเธอจะบอกว่า ไม่มีใครสามารถเป็นนายใครได้ แต่ถ้าหากคนๆหนึ่งจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หรือจะอยู่ๆฆ่าตัวตายขึ้นมาโดยไร้เหตุผล แสดงว่า เธอกำลังจะบอกว่า สองสิ่งนี้มันไม่ต่างกันอย่างนั้นหรือ?หืม”
ผมแสดงสีหน้าอยากรู้อยากเห็นตามที่รู้สึก
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็มีคำถาม……. แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมเธอไม่ฆ่าตัวตายไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ?”
ใบหน้าของเด็กสาวแข็งทื่อ
“…….”
“…….”
เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ รถม้านั้นมืดสนิท เราสองคนต่างใช้แสงจากดวงจันทร์เพื่อให้สามารถจ้องมองกันได้ ผมได้ยินเสียงแจ็คบ่นกับทหารรับจ้างเพราะความเมา ณ เวลานั้นเอง ลอร่าได้เปิดปาก หายใจเข้าลึกๆ
โถ ที่รัก ผมไม่ปล่อยให้เธอทำแบบนั้นหรอกน่า
ผมแหย่นิ้วเข้าไปในปากของเธอทันที
“อุ่บ! ……อับ!”
ความเจ็บทิ่มแทงไปที่นิ้วของผม ลอร่ากัดนิ้วผมด้วยฟันของเธอ เธอจงใจที่จะกัดลิ้นตัวเอง แต่กลายเป็นว่าเธอกัดลงไปแรงจนเลือดไหลออกจากนิ้วผมแทน
หากผมไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์นี้และปกป้องลิ้นเธอด้วยนิ้วชี้ไว้ก่อน มีหวังเรื่องมันต้องแย่แน่
“เธอเนี่ย คิดก่อนจะกัดลงไปใช่ไหม? เห็นว่า นิ่งไปหลายนาทีเลย”
“…….”
เด็กสาวมองมาที่ผมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ เลือดไหลจากนิ้วผมผ่านปาก ไหลตามแนวกรามก่อนจะหยดลงพื้น
“มันเป็นหลายนาทีแห่งการครุ่นคิด มีบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยปรัชญาของคุณ ฉันเรียกมันว่า เจตจำนงที่จะอยากให้มีชีวิตต่อ มันช่างเป็นสิ่งน่าอนาถที่ไม่ยอมให้ฉันตายอย่างรวดเร็วในโลกต้องสาปใบนี้ และยังบังคับให้ฉันมีชีวิตต่อด้วย”
“…….”
“ลอร่า ข้าถูกใจเธอเข้าให้แล้วล่ะ เธอขายตัวเองให้ข้าเถอะ”
ผมยิ้มยิงฟัน
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากยืนยัน การสัมภาษณ์พูดคุยเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด อืมม จะว่าไปแล้วเธอมีความแค้นฝันลึกส่วนตัวกับพวกปีศาจไหม?
ความชั่วร้ายในดวงตาของลอร่าที่เริ่มมืดมนลงกลับถูกแทนที่ด้วยความงุนงงสับสน