dungeon defense - ตอนที่ 38 ราตรีวัลเพอกีส(3)
มันเป็นช่วงเย็นของหนึ่งวันหลังจากเราไปที่ร้านเสื้อผ้า
เราเดินทางไปกันด้วยรถม้า ผมมองหน้าต่างอย่างเงียบๆ รถม้ายังคงสั่นรัวเพราะทางเท้าที่เป็นกรวดหิน ผมจึงไม่สามารถมีความสุขกับการชมวิวข้างทางได้ ผมตัดสินใจหลับตาแทน ลาพิสเองก็เงียบเช่นเดียวกัน พอเป็นอย่างนั้นพวกเราจึงอยู่ในความเงียบจนกระทั่งถึงวังเนฟเฮม
เมื่อพวกเราลงจากรถม้า ตรงหน้าประตูวัง มีหญิงแก่มาคอยต้อนรับ เธอเป็นแม่มดและโค้งต่ำจนหน้าเธอแทบจะแตะกับหัวเข่าด้วยซ้ำ หมวกแม่มดใหญ่เกินไป แม้จะมิได้คลุมจนถึงจมูกตะขอของเธอ แต่มันก็คลุมทั้งหัว
เสียงของเธอนั้นเล็กแหลมเป็นอย่างมากอย่างกับเสียงหนู
“ฝ่าบาทลำดับที่ 71 ดันทาเลี่ยน?”
“ถูกแล้ว”
“อืมมม ดันทาเลี่ยน……ดันทาเลี่ยน……โอ้ ท่านอยู่นี่เอง”
แม่มดเขียนบางอย่างลงในคัมภีร์ด้วยนิ้ว
“ชื่อของท่านอยู่ท้ายสุด ทำให้ง่ายต่อการหา ตำแหน่งของฝ่าบาทนั้นดีกว่า ผู้ที่อยู่เลขกลางๆอย่าง 32 หรือ 46
ตำแหน่งนั้นทำให้หาได้ง่ายๆเลย ฮิฮิ ต่อจากนี้ขอให้ฝ่าบาทติดเด็กคนนี้ไป”
แม่มดชี้ไปที่แมวดำ แมวดำก็เหยียดขาหลังและทำท่าโค้งคำนับในทันทีที่พวกเรามอง แมวที่สวมเสื้อผ้าสีแดงแบบทหารแต่งตัวเหมือนตุ๊กตาไม่มีผิด นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเอ็นดูถึงเพียงนี้
ผมรู้สึกติดใจก็เลย โค้งกลับไป ลาพิสถองสีข้างผมด้วยศอกทันที เธอบอกผมอยู่เสมอว่าให้ทำตัวให้สมศักดิ์ศรีจอมมาร
“เจ้าหนู ตั้งใจฟังให้ดีนะ ฮิฮิ”
แม่มดเกาคางแมวอย่างถี่ๆ
“จากซอยตรงนั้น ลงไปถนนทางขึ้นเขา ขึ้นไปบนทางลงเขา เลี้ยวและเลี้ยว ทางขวาสามครั้ง ทางซ้ายสามครั้ง และจากนั้นก็หมุน และหมุนจนครบ 9 รอบ เดินไปทางแคบถ้ามันกว้าง เดินไปทางกว้างถ้ามันแคบ เร่ง แล้วจงลืมที่จะเร่ง ในท้ายที่สุด พอเจ้าเร่งถึงจุดที่ต้องเต้น ถึงจุดที่ข้าให้เร่งแล้วเจ้าจะลืมว่าเจ้ากำลังเดิน เจ้าก็จะถึงที่ปลายซอย พาพวกเขาไปให้ถึงที่สุด”
แมวตัวนั้นคำนับเพื่อแสดงให้ทราบว่า เขาเข้าใจ
“……มันต้องพูดอะไรไร้สาระยาวขนาดนั้นเลยหรือ?”
“คาถาชั้นสูงค่ะ”
ลาพิสกระซิบตอบกลับมา
“มันเป็นคาถาที่จะอนุญาตให้ผู้ต้อนรับได้เข้าสู่เขาวงกตโดยไม่มีทางหลง แต่ผู้ที่ไม่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าวแล้วเข้าไปในวงกตจะหลงทางและติดอยู่ในนั้น”
“หืม แต่ดูไม่เหมือนเธอร่ายเวทย์เลย”
“นั่นหมายความว่า เธอเป็นนักเวทย์ที่ยอดเยี่ยมที่สามารถร่ายคาถาได้โดยไม่ต้องใช้เวทย์มนตร์ใดๆ”
หญิงแก่คนนี้น่ะหรือ?
ผมก็เริ่มสงสัย ว่ากันตามตรงผมยังไม่เจอใครเก่งๆมาก่อนเลย ถ้าลาพิสพูดถูกว่า ยายแก่นี่เป็นสุดยอดแม่มด ถ้าอย่างนั้นก็คงจะแสดงสแตทที่เหนือกว่าทุกคนให้ผมเห็น
‘สเตตัส’
เสียงเอฟเฟ็คดังขึ้น พร้อมกับหน้าจอในเวลาเดียวกัน
“…….”
ผมขอโทษ ผมดันไม่รับรู้การมีอยู่ของตัวละครโคตรทรงพลังนี่เลย
(TTL : โคตรทรงพลัง = OP/OverPower)
ไม่สิถ้าคนๆนี้บุกเข้าดันเจี้ยนผม ก็คงจะกำจัดทุกอย่างสิ้นในทันที เธอสามารถเป่าโกเลม ไม่สิ ทั้งหน่วยโกเลมให้ปลิวหายไปได้ภายในเวทย์บทเดียว
ตัวละครที่ทำตัวเป็นผู้ดูแลต้อนรับจอมมารที่ดูไม่มีอะไร มันทำให้ผมเข้าใจแล้วว่า ผมนั้นต่ำต้อยเพียงไหน จอมมารระดับ F ที่อยู่ในดันเจี้ยนระดับ F
“ฮิฮิ ได้โปรดให้แน่ใจว่าตามหลังเด็กคนนี้ ถ้าหลุดไปจากนอกเส้นทาง จะมีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น”
“ข้าขอถามด้วยความอยากรู้ล้วนๆ สิ่งที่น่าสนใจที่ว่าคืออะไร?”
“สิ่งที่น่าสนใจที่แขนจะถูกพ่นออกมาทางปากของท่าน ฮิฮิฮิ”
ผมมั่นใจว่า มันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลย แม้แต่น้อยนิด
แมวดำนำทางไปและเดินสองขาอย่างมั่นคงเหมือนตุ๊กตาทหารนัทแคร็กเกอร์
ผมตามหลังแมวไปอย่างระแวดระวัง เพื่อให้แน่ใจว่า ก้าวย่างทุกก้าวตามน้องแมวเสมอ บอกได้เลยว่า ลาพิสมองผมด้วยแววตาสมเพชอยู่ข้างๆ
เอ้า ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ผมไม่ได้อยากมีสามแขนสักหน่อย แถมอยากจะหลีกเลี่ยงการที่จู่ๆก็มีมือที่สามพ่นออกมาทางปากผมด้วย
เป็นอย่างนั้น พวกเราก็มาถึงทางเข้าวังที่แสนหรูหราฟุ่มเฟือย สวนที่ดำมืด และทางเข้าห้องโถงห้องบอลรูม
ตั่บ!
แมวโค้งคำนับให้กับบันไดที่นำไปสู่ห้องบอลรูม เพื่อแสดงให้พวกเรารู้ว่า ได้มาถึงแล้ว ผมทนความน่ารักของมันต่อไปไม่ไหวจึงน้วยเกาคางมันอย่างเต็มที่ เจ้าแมวก็ครางฟู่ๆออกมาด้วยความพอใจ
พระเจ้า เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้มันอะไรกัน? ทำไมเจ้ามอนสเตอร์แมวมันน่ารักได้ขนาดนี้กันเนี่ย? มันน่ารักขนาดที่ว่า ผมจะไม่แปลกใจเลย หากมันจะผิดกฏหมาย มันถูกโดนลงโทษตามกฏหมายแน่ๆ
ก่อนอื่น ผมจะขังมันไว้ในห้องจอมมาร ที่ผมทำนี่ไม่ใช่เพราะความปรารถนาส่วนตัวหรอกนะ แต่เป็นเพราะผมอยากจะปกป้องกฏของโลกใบนี้ต่างหาก
“ท่านดันทาเลี่ยนคะ”
“อั่ก เข้าใจแล้ว”
ผมบ่นลาพิสและขึ้นบันไดไปยังห้องบอลรูม ไม่มีผู้รักษาการณ์หรือผู้ต้อนรับแม้แต่คนเดียว พอเราไปถึง ประตูหินอ่อนที่ทั้งใหญ่และงดงามก็เปิดออก มีเสียงดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
— ลำดับที่ 71 ฝ่าบาท ดันทาเลี่ยน มาถึงแล้ว!
ผมควรจะเรียกมันว่า บอลรูมดีไหมนะ? มันตรงข้ามกับที่เคยเห็นในหนังและหนังสือในโลกก่อน ห้องบอลรูมมืดอย่างไม่น่าเชื่อ แหล่งกำเนิดแสงมีเพียงจากเทียนไขที่สูงเท่าคนวางอยู่ตรงนี้ตรงโน้นในห้อง ใบหน้าของผู้คนต่างถูกส่องฉายด้วยแสงจากเปลวเทียน
พวกเขาทั้งหมดมองทันทีที่ผมมาถึง มันเป็นฉากที่ประหลาด ผมรู้สึกว่า แววตาที่มองมันมากมายจนท่วมท้นราวกับที่เห็นภาพหลอน
‘แต่ผมจะมาแสดงความอ่อนแอที่นี่ไม่ได้’
ผมสั่งใช้งาน สกิล การแสดงทันที
「สกิลแสดง เปิดการใช้งาน」
「โบนัสเอฟเฟ็คจะขึ้นอยู่กับค่าความฉลาดและค่าเสน่ห์」
แต่ขณะนั้นเองกลับมีสิ่งที่ชวนให้ประหลาดใจเป็นอย่างมากเกิดขึ้น เสียงเหล็กที่ไม่น่าฟังดังขึ้นอยู่ในหูผม
「มัลติเพิ่ล สกิล ได้บล็อคการทำงาน สกิลของคุณ!」
「คุณโยนเหรียญชี้เป็นชี้ตาย, แต่อีกาที่บินผ่านมาคาบเหรียญไป คุณล้มเหลวในการเปิดการใช้งานสกิล!」
ห้ะ-อะไรวะเนี่ย?
คำที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนเปิดขึ้นมาพร้อมกับเสียงเอฟเฟ็คเสียงเหล็กดัง
「คุณล้มเหลวในการเปิดใช้งานสกิล เนื่องจาก ความแตกต่างทางสเตตัส อัน ‘มหาศาล’
คุณจะได้รับบทลงโทษ
คุณไม่สามารถใช้สกิลใดๆได้เป็นเวลา 3 ชั่วโมง」
「ผลจากการลงโทษ ค่าความฉลาดของคุณลดลง 5」
「ผลจากการลงโทษ ค่าเสน่ห์ของคุณลดลง 5」
ผมอ้าปากค้า นี่มันห่าอะไรกันวะเนี่ย?
ผมกลับมาอยู่ท่าเดิมได้ ก็ต้องขอบคุณลาพิสที่เหยียบเท้าผมโดยไม่มีใครรู้ ผมพยายามกระแอมเคลียร์คอตัวเอง เช่นเดียวกับที่ตื่นจากการเหม่อแล้วเดินต่อไป ผมเลือกที่ยืนตัวเองใกล้กับเสา
ผมได้ยินเสียงผู้คนคุยกัน
“เขาเองน่ะรึนี่ฆ่าอันโดรมาลิอุส? ท่าทางโง่น่าดูเลยนะ”
“ข้าล่ะสงสัยจริง จอมมารวิปริตประเภทไหนกันที่จะฆ่าจอมมารตนอื่น แต่ดูเขาจะดาดๆอย่างน่าเหลือเชื่อ”
“ข้าคิดไว้แล้ว วันหนึ่งเจ้านั่นต้องตาย หึหึหึ เจ้าโง่เร่ร่อนนั่น”
“เหมือนมีอะไรบางอย่างจะเกิดเมื่อกี้นะ…….”
คำพูดนินทาทั้งหลายเกี่ยวกับผมก็ยังคงยกเป็นประเด็น แต่ถึงอย่างนั้น ผมไม่ว่างพอมานั่งห่วงเรื่องพวกนั้น
สกิลการแสดงของผมไม่อาจใช้งานได้ มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมพึ่งพา
คลื่นแห่งความไม่สบายใจคงซัดผมปลิวไปไกลแล้ว หากลาพิสไม่ได้มั่นคง และเยือกเย็นอยู่ข้างๆผม ตอนนั้นเองที่ผมพบว่า ตัวเองเกือบจะทำเรื่องขายขี้หน้าตัวเองในงาน
สิ่งเดียวที่ป้องกันไม่ให้ผมก้มหน้างุดนั่นคือ การไม่อยากทำให้ลาพิสผิดหวัง โชคยังดีที่ผู้คนสนใจผมไม่นานก่อนจะหันกลับไปสนใจกลับกลุ่มก๊วนของตนเองต่อ ไม่มีใครเข้ามาใกล้ผม
* * *
จอมมารที่เข้ามาหลังจากผม พวกเขานั้นมีชื่อที่คุ้นตาอย่างดีในหลังจากจอมมารคนสุดท้ายมาถึง ประตูใหญ่ก็ปิดลง
บุคคลหนึ่งที่เดินเข้ามากลางห้องบอลรูม เป็นชายแก่ที่สวมชุดทักซิโด้ขาวสะอาด
ชายแก่โค้งให้ด้วยความเคารพก่อนจะพูดด้วยโทนเสียงเอื่อยๆ
“ตัวผมนั้นขอต้อนรับ ผู้เป็นเลิศทุกท่านในวันนี้ ด้วยค่ำคืนวัลเพอกิสอันทรงเกียรติ ชื่อของผมนั้น คือ อิวาร์ ลอดบล็อค หนึ่งในเจ็ดผู้บริหารบริษัทเคียนคุสก้า และผมได้รับหน้าที่ให้มารับผิดชอบค่ำคืนนี้ ซึ่งเป็นเกียรติแก่ตัวผม”
เสียงปรบมือช่วงสั้นๆตามมา ผมรู้สึกเหมือนมีคนแค่6คนเท่านั้นที่ปรบมือให้ นี่มันคงจะเล็กน้อยเกินกว่าคำว่า ต้อนรับอย่างอบอุ่นสำหรับเจ้าภาพแล้วล่ะ แต่อิวาร์ก็ยังคงโค้งให้ครั้งหนึ่งราวกับได้รับเกียรติอย่างสูงสุด
ผมเลิกคิ้วตัวเอง อิวาร์ ลอตบร็อคที่เป็นตัวละครปรากฏตัวในช่วง กลาง-ท้ายของ แต่ถึงอย่างนั้นบุคคลๆนี้แตกต่างไปจากอิวาร์ที่ผมรู้จักจากในเกม
‘อิวาร์ไม่น่าจะเป็นชายแก่สิ’
ผมอยากจะถามลาพิสเรื่องนี้เหมือนกัน ในฐานะที่เธอเองก็ทำงานในบริษัทเคียนคุสก้า แต่ผมกลับไม่อาจรวบรวมพลังเปิดปากออกมา ผมประหม่ามาก หรือบางทีมันอาจจะสายเกินที่จะถามเธอแล้วก็ได้
“ผมจะขอเริ่มกำหนดการณ์ในวันนี้ อย่างแรก เรื่องการต่อสู้กันระหว่างผู้สืบทอดที่จะจัดขึ้นในนรกอินเฟอร์โน่…….”
“ช้าก่อน”
เสียงแหลมของผู้หญิงดังขึ้นมาขัด
(TTL : เว้ยเส้าเทียนคือพ่อของเจ้า #ผิดๆ)
“ข้าน่ะ ไม่ได้ต้องการจะมาโต้เถียงกันเรื่องข้อดีข้อเสียของไอ้สิ่งที่เกิดขึ้นในทวีปปีศาจ ทิ้งไว้อย่างนั้นสักสี่วัน เดี๋ยวปัญหาเน่าๆก็คลี่คลายไปเอง ข้าแค่อยากจะกินกับดื่มที่นี่วันนี้โว้ย”
สีหน้าบิดเบี้ยวของอิวาร์แสดงถึงความกังวล แต่มันเป็นใบหน้าที่เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่พูดไม่ออก
ชายที่ยืนตรงข้ามกับผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น
“สมแล้วกับเป็นหญิงไร้การศึกษา ช่างหยาบคายเหลือเกิน มันมีสิ่งที่เรียกว่า ขั้นตอนอยู่”
“หยุดทำเป็นยั่วโมโหดีกว่าน่า ไอ้หนู คนเขาจะคิดว่า เอ็งน่ะ ช่างมีไฟมีแพสชั่นในการประชุมเสียเหลือเกิน คิคิคิ ข้ายังเห็นเอ็งแอบหลับอยู่เลย เมื่อประชุมครั้งที่แล้วน่ะ”
“ใส่ร้ายกันเห็นๆ”
แม้ไฟจะไม่สว่างนัก แต่ผมก็เห็นใบหน้าของผู้คนที่กำลังพูดคุยกัน มันดูเหมือนปากของพวกเขาเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด อีกบุคคลหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามผมก็พูดขึ้น
“เจ้าสองคนทะเลาะกันอีกแล้วหรือ? หืม ? เลดี้ผู้นี้สงสัยเหลือเกินว่า เมื่อไหร่กันพวกเราจึงจะได้มีการนัดหมายเยี่ยงอารยชนเสียที การจัดงานเลี้ยงที่คู่ควรกับจอมมาร นั่นเป็นจุดประสงค์ที่พวกเราเสนอที่จะจ้างให้สายเลือดแท้แห่งบริษัทเคียนคุสก้ามาเป็นเจ้าภาพงานในวันนี้มิใช่หรือ?”
“อุแหวะ หยุดพูดชวนอ้วกแบบนั้นเหอะ”
เสียงผู้หญิงอีกคนพูดราวกับทนไม่ได้กับการพูดของผู้หญิงคนก่อนหน้า
“ถ้าไอ้วิถีอารยชนที่ว่า มันเป็นการพูดประมาณว่า ‘อุ แหม ที่รัก อุ้ แหม ที่รัก’ ด้วยท่าท่างและน้ำเสียงตอแหล ช้ากลับไปเป็นคนป่าในหมู่บ้านก็อบลินดีกว่าว่ะ นี่แกคิดจริงๆเหรอว่า ข้าไม่รู้ว่าแกน่ะไปเล่นป่าเถื่อนกับมิโนทอร์ตอนกลางคืนห้ะ นังร่าน?
อีกะหรี่เอ๋ย แกควรจะสลับปากบนเป็นปากล่าง หรือไม่อย่างนั้นก็ทำปากล่างให้เป็นเลดี้เหมือนปากบนของแกดีกว่า”
“แล้วตัวฉันนี้ควรจะพูดอะไรกับผู้หญิงที่ปากพล่อยเหมือนน้ำไหลจากปากควายดีล่ะ? เหล่าจอมมารที่รักทั้งหลาย”
ผู้หญิงที่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นทางการก้าวออกมาตรงกลางห้องบอลรูม ตอนนั้นเองที่ผมเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน ผมจำเธอได้ทันที
เธอ คือ ไพมอนจาก ผู้อยู่อันดับ 9 ของเหล่าจอมมาร
บุคคลเดียวที่เข่นฆ่าผู้เล่นไปมากมายด้วยคำหวานหู ในฐานะราชินีซัคคิวบัสผู้มีผมสีแดง งดงาม แม้แต่ผมก็ยังต้องเจอกับ Game Over หากโดนจอมมารตนนี้จับได้ มันเป็นความรู้สึกแปลกๆที่ผมมีต่อใครสักคนที่ได้เจอตัวจริงหลังจากที่ผ่านมาได้เห็นแต่จากงานภาพอย่างเดียว
“ตัวฉันเชื่อว่า การพูดคุยกันในเรื่องน่าเบื่อในงานเลี้ยงนี้ตั้งแต่คืนแรกของการสังสรรค์อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม
แต่มันจะมิดีกว่าหรือหากเราจะมาทำอะไรร่วมกันก่อน?
ช่วงเวลาที่ผู้คนทั้งหลายได้แค้นต่อกันและกัน หรืออาจจะให้ความร่วมมือกัน น่าจะเป็นสิ่งจำเป็นกว่ามิใช่หรือ?”
เธอมองไปรอบตัวเธอ ณ ตอนนั้นเองลางสังหรณ์ของผมกลับบอกว่า เธอกำลังมองมาทางผม
“อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่พวกเราจะต้องจัดการก่อน มีฆาตกรผู้ฆ่าเพื่อนเราอยู่ ณ ที่นี้ด้วย ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่พวกเราจะมีความจริงใจให้กับบุคคลผู้นั้นได้”
ลางสังหรณ์ของผมถูกต้อง เธอมองมาทางผมจริงๆ
“ถึงแม้เขานั้นจะยังขาดคุณสมบัติและเป็นที่น่าละอายไปบ้าง อันโดรมาลิอุสก็ยังเป็นญาติเรา หนึ่งใน 72 จอมมารที่ยังมีตัวตนอยู่ ตัวฉันเชื่อว่า ท่านทั้งหลายคงรู้ดีว่า การสังหารจอมมารนั้น เป็นสิ่งที่ร้ายแรงเพียงใด”
แววตาจำนวนมาก มองตามสายตาของเธอ จับจ้องมาที่ผม
ผมเผลอกลืนน้ำลาย
“ตัวฉันนั้นเชื่อว่า พวกเราต้องเรียก จอมมารลำดับ 71 ดันทาเลี่ยนมาเพื่อจัดการก่อนจะเริ่มงานประชุมและงานเลี้ยง
ด้วยเหตุนี้ ตัวฉัน จอมมารลำดับที่ 9 ไพมอน จะขอไต่สวนอย่างเป็นทางการที่นี่ ณ บัดนี้”
—