dungeon defense - ตอนที่ 5 นิวเกมที่เสียเปรียบ (4)
‘คราวนี้อะไรอีกล่ะ?’
ผมใช้สมองคิดอย่างเต็มกำลัง
ผมจะหนีจากเงื้อมือนักผจญภัยผู้ชั่วร้ายเหล่านี้ได้ยังไงกัน?
ดันทาเลี่ยนน่ะถูกกลุ่มนักผจญภัยจับตัวไว้ ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป มีหวังผมถูกลากตัวไปเมืองที่ใกล้ที่สุดแล้วประหารแน่
พวกนักผจญภัยคงพอใจแหละกับเงินล่าค่าหัว แล้วก็จะงานรื่นเริงฉลองขึ้นในเมืองในตลาด แล้วผู้คงก็ต่างสรรเสริญยินดีกับการกำจัดจอมมารลงได้
ทั้งพอจบเรื่องทั้งหมด หัวของผมก็คงจะไปโชว์หราบนหน้าจอ เสียบอยู่ที่ปลายหอก
แม่งเอ้ย
แม้จะมีสำนวนว่า จงทำใจให้สงบแม้จะเข้าถ้ำเสือ คงจะเป็นเรื่องจริง ผมหมายถึงการเพิ่มโอกาสในชีวิตรอดน่ะ
แต่นี่มันชีวิตคนเลยนะเว้ย ไม่ใช่กระต่ายที่ไหน! ไม่ว่าเจ้ากระต่ายจะพยายามทำใจให้สงบแค่ไหน แต่ถ้าเข้าถ้ำเสือไปแล้วมีแต่ตายสถานเดียว ไม่มีโอกาสแม้จะดิ้นรนเอาชีวิตรอดออกมาได้ น่าสิ้นหวังชะมัด……
‘นี่ถ้าผมได้อยู่สักอันดับ 32 แอสโมดีอุส ไม่ๆ เอาแค่ ระดับ 67 เบลิอัล ก็พอแล้ว’
ลิ้นสัมผัสรสขมปร่าในปาก
นักผจญภัยที่จับตัวผมนั้นไม่ใช่คนเก่งหรือยิ่งใหญ่มาจากไหน ดูจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวแล้ว อาจจะคิดว่าเป็นขอทานเลยด้วยซ้ำ
นักผจญภัยพวกนี้พยายามทำตัวเท่ แต่กิริยาท่าทางความต่ำช้าของมันก็รั่วไหลแสดงออกมาอย่างชัดเจน
คงจะเป็นพวกอันดับต่ำสุดในห่วงโซ่อย่างนักผจญภัยปาร์ตี้แร๊งFนั่นแหละ
นี่ถ้าผมมีก็อบลินสัก 20 ตัวในบัญชา คงจัดการปาร์ตี้ได้ในชั่วลมหายใจ ถึงจะเห็นอย่างนี้แต่ผมเป็นผู้ไปถึงจุดสูงสุดของDungeon Attack ยิ่งกว่านั้นผมยังรู้จุดอ่อนของนักผจญภัยดีกว่าใครๆด้วยซ้ำ
แต่ทั้งหมดที่ว่ามา ผมไม่มีก็อบลินเลยแม้แต่ตัวเดียว ดังนั้นผมจึงทำในสิ่งที่อยากทำไม่ได้
“เฮ่นี่ ถึงขาหมอนั่นจะเคล็ด แต่มันไม่ช้าไปหน่อยเหรอวะ?”
“ก็บอกแกแล้วไง ไอ้หมอนี่มันพยายามถ่วงเวลาเรา”
เสียงพูดคุยของเหล่านักผจญภัยซาลง อาจเป็นเพราะไม่มีอะไรให้คุยอีกแล้วมั้ง? แต่ดูพวกเขาจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร
หัวหน้านักผจญภัย ที่ชื่อริฟ หัวเราะหึ
“ฝ่าบาทจอมมาร สหายของข้านั้นไม่ค่อยจะอดทน”
ไอ้ห่านี่ พวกมันก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่รึไงว่า เท้าของผมมันพังยับขนาดไหน
“เอ้อ ผมขอโทษนะ! ขอโทษด้วย! ผมจะเดินให้เร็วขึ้น!”
ผมโค้งหัวลงและพูดขอโทษ มันเป็นความผิดของผมเองที่อ่อนแอเกินไป
ิริฟยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“อ่าฮ่า ดีแล้วที่ ท่านตอบสนองเรารวดเร็วอย่างนั้น นักผจญภัยอย่างเราๆเนี่ยค่อนข้างจะวิตกเลยล่ะกับอะไรแบบนั้น สหายของข้าน่ะเริ่มสงสัย ฝ่าบาทจอมมารว่า อาจจะล่อลวงเราอยู่ ด้วยการซื้อเวลาจนกว่าพวกลูกน้องของท่านจะมาถึง”
ผมแสดงสีหน้าเหมือนกับขนทานผู้ตกยากที่สุดในสถานีกรุงโซล
“ได้โปรดอย่าเข้าใจผิดอย่างนั้นเลย!”
จะดีแค่ไหนนะ ถ้าหากผมมีมอนสเตอร์พวกนั้นเป็นลูกน้อง?
ต้นขาของผมที่ก่อนหน้านั้นขูดเข้ากับหินคมๆกลับแสบขึ้นมา ผมจึงหลั่งน้ำตาออกมา
“ครั้งนึ่งผมเคยมีลูกน้อง ก็อบลิน อิ้มพ์ อ็อค ……อาจจะไม่ได้เก่งกาจนัก แต่ก็เป็นลูกน้องที่มีค่าสำหรับผม”
ผมปรุงแต่งเรื่องโกหกขึ้นมา พวกเขาคงไม่เชื่อหรอก ถ้าผมบอกว่าตัวเองไม่มีมอนสเตอร์อยู่เลย
“ก่อนที่กลุ่มของพวกนายจะมี ก็มีปาร์ตี้สามปาร์ตี้ก่อนหน้ามาโจมตีที่นี่ไม่หยุด! พวกนายน่ะเป็นกลุ่มที่สี่ที่มาที่นี่ ลูกน้องของผมตายกันไปหมดแล้ว……ฮึก เจ้าเด็กตัวน้อยทั้งหลายที่ใช้ชีวิตมากับผมเกือบ30ปีก็ด้วย……”
“นะ นี่?”
น้ำเสียงของริฟกลายเป็นตื่นตรกหนก
“อย่าบอกนะว่า แกกำลังร้องไห้?”
“ฮึก……ผมเปล่า……”
ผมพูดออกมาด้วยความเสียใจ ราวกับว่าผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล ก่อนที่น้ำตาจะอาบผ่านแก้มเย็นๆทั้งสองข้าง
คำพูดน่ะโกหก แต่ความเสียใจน่ะของจริง การที่ผมมีชีวิตเหมือนขยะอย่างนี้ ถ้ามีใครสักคนที่รักผม ผมคงจะมีชีวิตที่รักชีวิตตัวเองกว่านี้
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ได้ตายไปแล้วจากการถูกรถชน แล้วตื่นขึ้นมาขาก็เดี้ยงไปข้าง ธนูปักน่อง เหนืออื่นใด ผมต้องร้องขอชีวิตจากใครก็ไม่รู้ที่เพิ่งเจอกัน มันเป็นอะไรที่โคตรแย่
“ฮึก …….แม่…….”
ผมคิดถึงแม่ตัวเอง แม่ผู้ยังคงเชื่อสุดจิตสุดจนแม้ในช่วงสุดท้ายว่าลูกชายของเขานั้นยังคงตั้งใจเรียนอยู่
แม่จะตอบสนองยังไงตอนรู้ข่าวผมนะ? ลูกชายของเธอที่กำลังเรียนอย่างหนักในวันที่อากาศอบอ้าวถูกรถชนระหว่างทางกลับห้อง เธอคงจะมีภาพนั้นอยู่ในใจแน่ๆ
แม่เป็นคนที่แนะนำผมให้ไปอ่านหนังสือที่คาเฟ่เอง มีโอกาสที่เธอจะคิดว่า การตายของลูกชายเธอมันเป็นความผิดของเธอด้วย แม้มันจะไม่เกี่ยวกันเลยก็ตามที แม้ในวาระสุดท้าย ผมก็ยังทิ้งภาระไว้ในใจแม่ไปตลอดกาล ผมช่างเป็นลูกชายที่เลวทรามจริงๆ
“ฮึก……”
เสียงร้องไห้ที่น่าเศร้าสะท้อนก้องไปทั่วทั้งถ้ำ
พอมันเป็นอย่างนั้นนักผจญภัยทั้งหลายต่างหันกลับมาพร้อมกัน ริฟก็โกรธขึ้นมาทันที
“เฮ้ อะไรกันวะ ใครทำ เขาร้องไห้?”
“เอาน่าๆ ใครมันจะไปรู้อดีตน่าเศร้าของหมอนี่กันวะ?”
คนที่พยายามกล่าวหาผมรีบพูดแก้ตัวขึ้นทันที
“จะว่าไป ข้าก็สังเกตได้แหละว่า ไม่มีมอนสเตอร์เหลืออยู่เลยในดันเจี้ยน คงมีคนอื่นๆจัดการเคลียร์ไปก่อนแต่แรกแล้วนั่นแหละ”
“หมอนี่มันถังแตกนี่หว่า ชิ……”
“จอมมารเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันสินะ ก็คงเป็นปรกติแหละัที่จะมีแม่เหมือนกัน”
กระแสอารมณ์อ่อนโยนลง
ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงเอฟเฟ็คขึ้นมาในหัว ภาพโฮโลแกรมปรากฏอยู่ตรงหน้า
「ค่าความชอบของนักผจญภัยมือใหม่ริฟเพิ่มขึ้น 3 」
「ค่าความชอบของนักผจญภัยมือใหม่ดาเนฟเพิ่มขึ้น 1」
「ค่าความชอบของนักผจญภัยมือใหม่ลุคเพิ่มขึ้น 1」
น้ำตาหยุดไหล
เดี๋ยวก่อนสิ มันมีระบบแต้มความชอบให้ผู้ชายด้วยอย่างนั้นเหรอ?
ดูเหมือนโลกนี้จะซับซ้อนและอ่อนไหวกว่าที่ผมคิดไว้ เป็นไปได้ยังไงกันที่มนุษย์จะรู้สึกชอบจอมมาร ราชาแห่งเหล่ามอนสเตอร์ เพียงเพราะร้องไห้เสียใจเนี่ยนะ? ผมงุนงงจนลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะระหว่างที่กำลังมองหน้าต่างแจ้งเตือน
นักผจญภัยทั้งหลายต่างก็เข้าใจว่า ผมกำลังมองพวกเขาอยู่
“เฮ่อ ดูแววตานั่นสิ เหมือนเขาเสียโลกทั้งใบไปเลยว่ะ”
“ก็ถ้าดันเจี้ยนพังไป ชีวิตจอมมารก็พังเหมือนกันนี่”
“สงสัยว่า คงเพราะพวกเราเห็นแต่มอนสเตอร์มาเยอะนั่นแหละ แต่จอมมารตนนี้ดูเหมือนมนุษย์มากกว่าที่เราคิด”
คนพวกนี้ไร้เดียงสาอย่างมาก หรือเป็นเพราะพวกเขาอยู่ในช่วงยุคกลาง?
ตามเซตติ้งท้องเรื่องของเกม นักผจญภัยส่วนใหญ่ต่างเป็นชาวนาทั้งนั้น เมื่อขุนนางเอารัดเอาเปรียบอย่างหนัก พวกเขาก็เลยตัดสินใจออกล่ามอนสเตอร์เพราะเชื่อว่า ไม่ว่าจะทำหรือไม่พวกเขาก็ต้องอดตายอยู่ดี
แม้ว่าจะมีทหารรับจ้างที่เก่งกาจอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ยังเลือกเป็นนักผจญภัยอยู่ดี เหล่านักผจญภัยส่วนมากจึงเป็นชาวนาที่เลือกที่จะเลิกทำฟาร์มแล้วหันมาจับหอกดาบแทนจอบ
ผู้คนในยุคกลางนั้นโหดร้ายอย่างไม่มีประมาณ แล้วยิ่งเมื่อเขาไม่มีความรู้เรื่องสิทธิมนุษย์ชน พลเมืองก็ยิ่งโหดร้าย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยอารมณ์ล้วนๆ
‘หืม?”
ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
‘ถ้าผมเล่นละครดีๆ อาจจะสามารถใช้งานพวกเขาได้’
หลังจากดีดลูกคิดในหัว ผมก็คิดไอเดียดีๆออก และจะขอย้ำอีกครั้ง ว่าผมนั้นรู้จุดอ่อนของนักผจญภัยเป็นอย่างดี ผมรู้ว่าพวกเขากลัวอะไรในสถานการณ์ตอนนี้
มีโอกาส50/50 ที่อาจสำเร็จหรืออาจล้มเหลว แต่ช่างมันปะไร ผมไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะใช้วิธีเซฟๆอีกต่อไป ถ้ายังปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ต่อไปมีหวังผมคงถูกลากไปประหารกลางเมือง หากจะต้องตายอย่างนั้น ผมขอลองพยายามดูสักหน่อยดีกว่า จริงไหม?
ผมเริ่มเล่นละครในทันที
“ถึงอย่างไร ผมดีใจมากที่ได้พบพวกคุณทั้งหลาย คุณสุภาพบุรุษ การที่พวกคุณไม่พยายามจะฆ่าผม ในทันทีที่เห็นว่าผมเป็นจอมมารนั้น”
รอยยิ้มขมขื่นเผยขึ้นบนริมฝีปาก
“คุณมีน้ำใจกับผม แม้ผมจะบาดเจ็บหนักอยู่ก็ตาม พวกคุณก็ยังให้การดูแลผมอย่างนี้ ……ฮึก
นี่เป็นครั้งแรกในรอบ200ปีที่ผ่านมาที่ผมได้พบกับ นักผจญภัยที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมอย่างนี้
ความจริงที่ว่า ผมถูกจิตวิญญาณที่แสนสุภาพอย่างพวกคุณจับกุมตัวไว้นั้นเหมือนประกายแสงในความมืดอันโชคร้ายของผมด้วยซ้ำ”
โกหกทั้งเพนั่นแหละ
ไอ้เจ้าพวกนี้มันยิงธนูใส่ทันทีที่เห็นผม เผลอๆอาจจะไม่ได้ไว้ชีวิตด้วยความสงสารหรอก แต่เป็นเพราะว่า พวกมันต้องการหยิบฉวยข้าวของไปจากดันเจี้ยน แต่ใครจะสนใจล่ะว่าความคิดจริงมันจะเป็นยังไง ในเมื่อผมต้องการเพิ่มค่าความชอบจากพวกเขาโดยไม่สนวิธีการ
‘มาดูกันหน่อยซิ ว่าพวกเขาจะตอบรับยังไง?’
ผมอดทนรอแทบไม่ไหว ผมไม่ค่อยได้ปั้นน้ำเป็นตัวปั้นแต่งสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผมเพิ่มการแปลความหมายจากการกระทำจากพวกเขา โดยปรกติแล้วผู้คนมักจะแปลความหมายการกระทำตัวเองไปในทางสว่างอยู่แล้ว
ในที่สุดพวกเขาก็ตอบสนอง
“ไม่หรอก พวกเราไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้น……”
“นายเองก็คงอยากทำงานร่วมกับเราด้วยใช่ไหม?”
「ค่าความชอบของนักผจญภัยมือใหม่ริฟเพิ่มขึ้น 6 」
「ค่าความชอบของนักผจญภัยมือใหม่ดาเนฟเพิ่มขึ้น 4 」
「ค่าความชอบของนักผจญภัยมือใหม่ลุคเพิ่มขึ้น 6 」
นอกจากสามคนนั่น ค่าความชอบของนักผจญภัยคนอื่นๆก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
‘สมบูรณ์แบบ!’
ผมแอบกำหมัดแน่นอยู่ในใจ เทียบกับแต้มความชอบที่เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนหน้า แต่คราวนี้มันขึ้นมาเยอะพอสมควรเลย
ตอนนี้ผมจับหลักได้แล้ว
“ผมขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกท่านเดินทางช้า แต่ต่อจากนี้ ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย เรารีบไปยังสมบัติกันเถิด”
ผมพยายามที่จะพูดอย่างเริงร่างแต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้นหรอก เพียงแค่จงใจพูดให้ดูเหมือนผมพยายามจะฝืนให้ตัวเองปรับอารมณ์ให้ตัวเองสดใสขึ้น
นักผจญภัยทั้งหลายแอบกระแอมไอออกมา
“อะแฮ่ม แฮ่มๆ จะว่าไปพวกเราไม่ต้องรีบเร่งขนาดนั้นหรอกจริงไหม?”
“อื้มมม นั่นน่ะสิ สมบัติมันไม่ได้มีขางอกแล้ววิ่งหนีเราไปไหนสักหน่อย”
“เท้าของแกก็คงจะเจ็บน่าดู ก็ค่อยๆเดินไปก็แล้วกัน ไม่มีปัญหาหรอก ยังไงก็ไม่มีมอนสเตอร์เหลืออยู่แล้วนี่”
พวกเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัว หรือพูดอีกนัยหนึ่ง พวกเขาเป็นสัตว์ร้ายที่มีเหตุมีผลพอควร
ยิ่งไปกว่านั้น ผมรู้จักเจ้าสัตว์ร้ายที่ชื่อ นักผจญภัยดี ว่า พวกมันอ่อนแอเหลือเกิน
“อื้ม แต่ว่า……”
ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยเสียงเหมือนกำลังเจอปัญหา
“ถ้าหากเราใช้เวลานานเกินไป อาจมีนักผจญภัยปาร์ตี้อื่นบุกเข้ามาด้วย พวกเขาอาจไปถึงห้องจอมมารก่อนเพราะไม่เหลือมอนสเตอร์แล้ว มันจะไม่เป็นปัญหากับพวกท่านหรือ ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย?”
“อะไรนะ!?”
นักผจญภัยเริ่มแตกตื่น
มอนสเตอร์ของดันเจี้ยนนั้นไม่สามารถทำร้ายจอมมารได้ ตราบใดที่ปาร์ตี้นี้ยังจับผมเป็นตัวประกัน พวกเขาก็ปลอดภัยจากการโจมตีของมอนสเตอร์ แต่ถึงอย่างนั้น หากเป็นมนุษย์คนอื่นๆที่ไม่ใช่มอนสเตอร์ ก็เป็นคนละเรื่องกัน
ในบางครั้งปาร์ตี้ทั้งหลายก็ร่วมมือกันเพื่อพิชิตดันเจี้ยน แต่ในบางครั้งพวกเขาก็แข่งกันเอง หัวของจอมมารนั้นเป็นดั่งทองคำและเงินรางวัลสำหรับพวกเขา ……ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นอะไรไปมากเกินไปกว่า เกมการละเล่นและอาหารอันโอชะสำหรับนักผจญภัย
คนพวกนี้ก็เ้ป็นแค่คนกลุ่มหนึ่งที่ทิ้งบ้านเกิดตัวเองแล้วออกเดินทางไปยังประเทศต่างๆเพื่อหาวิธีการทำเงิน
ไม่สำคัญหรอกว่า ไอ้ตัวที่มีเงินนั้นจะเป็นมนุษย์หรือมอนสเตอร์ จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะอย่างนั้น พวกเขาจึงพร้อมที่กลายเป็นกลุ่มโจรได้เพียงชั่วพริบตา นั่นคือ สิ่งที่เรียกว่า นักผจญภัย
อาชีพที่ชื่อเสียงเหม็นโฉ่วที่สุดในโลก ที่ชื่อว่า นักผจญภัย
‘เจ้าพวกนี้ก็แค่กลุ่มโจรที่พยายามหาเงินเฉยๆไม่ใช่รึไงกัน?’
นั่นเป็นความเห็นที่ผู้คนส่วนมากมีต่อนักผจญภัย ถ้าคุณเป็นมนุษย์ยุคกลาง ก็เป็นปรกติที่จะเป็นชาวนาในถิ่นที่เกิดและเติบโต
ส่วนพวกคนเร่ร่อนพเนจรนั้นจะถูกปฏิบัติอย่างเลวร้าย แต่ก็อย่างว่าแหละ ทุกอย่างมันสมเหตุสมผลในตัวของมันอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นปาร์ตี้นักผจญภัยปล้นกันเอง
กลุ่มนักผจญภัยเริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วปรึกษากัน
“บ้าเอ้ย ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย”
“ไม่แน่ว่าจะมีปาร์ตี้อื่นเข้ามานี่ ไม่ต้องเป็นห่วงก็ได้มั้ง”
“เจ้าโง่! เขาก็บอกอยู่ว่า ก่อนหน้านี้มีอีก3 ปาร์ตี้เคยเข้ามาที่นี่เร็วๆนี้ ดังนั้นมันมีโอกาสที่จะมีไอ้ระยำสักคนนึงได้ยินข่าวแล้วอาจเข้ามาโจมตีที่นี่”
สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมจริงจังขึ้น
“มุ่งเป้าไปที่ดันเจี้ยนที่อ่อนแอ……อะไรประมาณนั้นเหรอ ฟังดูน่าเชื่อแฮะ”
“ก็อย่างที่จอมมารบอกไง ตอนนี้ไม่มีมอนสเตอร์เหลือแล้ว ถ้าเรายังอยู่ต่อ เราก็อาจเสี่ยงชีวิตกับพวกปาร์ตี้นักผจญภัยที่พร้อมกว่า”
“บ้าเอ้ย! ชิบหาย พวกเราเกือบจะเอาสมบัติยัดใส่มือพวกมันแล้ว!”
พวกนักผจญภัยที่แก่กว่าพยายามทำให้พรรคพวกสงบลง การร้อนใจในดันเจี้ยนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
แต่ถึงอย่างไรก็ดี เหล่าชาวนาชาวไร่ที่จู่ๆก็ดำดิ่งลงดันเจี้ยนไม่สามารถที่จะตั้งสติได้ในทันที
“ทุกคน มันมีโอกาสที่ปาร์ตี้อื่นนอกจากพวกเราจะเข้ามาใกล้แล้ว”
ผมพูดออกมาด้วยความห่วงใย
“เราควรรีบไปหาสมบัติตอนนี้เลยดีไหม? ระหว่างนั้นก็เดินไปคุยไปด้วย”
“เขาพูดถูก”
“ไปหาทองคำกันเถอะ เย้!”
คนอื่นๆต่างเห็นด้วย
「ปาร์ตี้นักผจญภัยมือใหม่ ‘ผู้คนแห่งเจลเซ่น’ ได้ลดความหวาดระแวงที่มีต่อคุณเป็นอย่างมาก」
“ไปกันเถอะ ไปๆ อย่ามัวเสียเวลานาน แม้ไอ้จ้อนแกจะยาวก็เหอะ!”
“ชาวเจลเซ่นไม่ง่ายดายขนาดที่จะปล่อยให้แย่งรางวัลไปหรอกโว้ย!”
นักผจญภัยทั้งหลายต่างเปล่งเสียงโห่ร้อง ขณะที่เดินทางต่อ