dungeon defense - ตอนที่ 7 นิวเกมที่เสียเปรียบ (6)
แคร่ก!
ประตูไม้พังลงเป็นชิ้น ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ ประตูห้องจอมมารนั้นกลายเป็นขยะชิ้นใหญ่ไปแล้ว
ริฟใช้ขวานจามอย่างชำนิชำนาญ ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้น
“ก็ไม่เท่าไหร่นิ”
“เชื่อมือ ริฟได้เลย เขาคือ สุดยอดชายตัดไม้แห่งเจลเซ่น”
“พูดอะไรของแกน่ะ เด็กอมมือก็ทำได้”
ด้วยการนำของริฟ ทั้งปาร์ตี้ก็เข้าสู่ห้องจอมมารทีละคนสองคน
ห้องจอมมารนั้นสุดจะโทรม ห้องมันอาจจะดูใหญ่แต่ไม่ต่างจากถ้ำว่างๆ ที่มีเพียงพรมแดงคลุมปิดอยู่แค่มุมเดียวของห้อง
เตียงที่อยู่ในห้องนั้น เป็นเพียงของชิ้นเดียวที่แสดงถึงความหรูหรา มันแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับห้องจอมมารที่เคยระบุไว้ในเกม
‘อย่างที่คิดไว้เลยสำหรับ คลาสD……’
ผมถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง
ผมไม่ได้หมายถึง ตัวDในการจัดลำดับตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ แต่ผมหมายถึงตัวอักษรแรกนำหน้าชื่อของดันทาเลี่ยน
หลังจากช็อคไปจากการเห็นสเตตัสของเขาและหน้าต่างดันเจี้ยน ผมก็ตัดสินใจจะแบ่งคลาสแยกให้กับจอมมารคนนี้เอง หากจะให้ F Rankกับดันทาเลี่ยนออกจะเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ ยิ่งในฐานะแฟนตัวยงของเกมDungeon Attackนั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่เลย
ยังมีโชคอย่างหนึ่งที่ผมบอกกับปาร์ตี้นักผจญภัยว่า ผมไม่รู้วิธีเปิดประตู ริฟจึงทำลายประตูทิ้งซึ่งมันไม่ใช่ปัญหา นักผจญภัยยอมรับข้อแก้ที่ผมอ้างว่า ทำกุญแจหายไปแล้วระหว่างเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย
‘มันก็แค่ประตูไม้ ดังนั้นทำลายมันก็คงได้ใช่ไหม?’
หนึ่งในกลุ่มนักผจญภัยแนะนำขึ้นมา ดังนั้นหลังจากที่ริฟเหวี่ยงขวานไม่กี่ครั้ง ประตูก็พังลงมา
แต้มค่าความชอบของพวกเขาที่มีต่อผมก็ไม่เพิ่มขึ้นเป็นไปได้ว่าอาจจะรู้สึกรำคาญอยู่ก็ได้
หรือผมอาจจะคิดมากเกินไป แต่ผมก็ต้องการที่จะปรบมือให้ตัวเองจริงๆที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจนไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่อผม
“ในที่สุดเราก็มาถึงแล้ว”
ดวงตาของริฟนั้นเปล่งประกาย
“แล้วไหนล่ะ ห้องมาอิรันโดที่นายบอกก่อนหน้า?”
“ใช่ ผมรู้ว่ามันอยู่ไหน ……อั่ก!”
ผมร้องออกมาเมื่อลงจากหลังเจ้าเด็กใหม่ เท้าขวาของผมที่หักแตะพื้นห้อง ผมจึงล้มลง
นักผจญภัยทั้งหลายต่างตื่นตระหนก
“เป็นอะไรไหม?”
“เฮ้ย นี่ ก็บอกแล้วไงว่าให้ดูแลเขาให้ดีๆ!”
ผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลึกขึ้นมาด้วยตัวเองก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาช่วยผม อันนั้นเป็นกึ่งการแสดงกึ่งเรื่องจริง ผมบาดเจ็บหนักจริง และพยายามแสดงให้พวกเขาเห็นว่า แม้จะกำหมัดหันใส่พวกเขา ผมยังทำไม่ได้เลย
ในตอนนี้สิ่งสำคัญที่ต้องได้มาคือ ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ผมไม่ได้ต้องการจะทำให้เขารู้สึกรำคาญด้วยการบังคับให้อุ้มผมขึ้น ด้วยขาที่พิกลพิการ ผมยืนขึ้นด้วยตัวเอง แม่งเอ้ย เจ็บบรมเลย
“ตอนนี้โอเค ผมไม่เป็นไรแล้ว”
“เดินเองไหวแน่นะ?”
นักผจญภัยคนหนึ่งถามผมด้วยน้ำเสียงกังวล ผมยิ้มแห้งๆจากนั้นก็เดินโขยกเขยกเลียบกำแพง ผมรับรู้ได้เลยว่ามีคนแอบรู้สึกสงสารอยู่ด้านหลัง แต่แน่นอนว่าไม่มีใครเข้ามาช่วยผมนัก มันเป็นแบบนั้นแหละ
ผมวางมือแตะกำแพงไว้
“มันอยู่ตรงนี้นะทุกคน”
“เห ก็เห็นมีแต่กำแพงนี่”
“วงเวทย์มนตร์ที่จะทำงานก็ต่อเมื่อมีเจ้าของดันเจี้ยนเป็นผู้แตะเท่านั้น”
ผมจงใจพูดเสียงดังเพื่อหวังจะให้นักผจญภัยทั้งหลายได้ยิน
“เมื่อผมพูดบทร่ายออกมาขณะที่แตะวงเวทย์ ทองของดันเจี้ยนจะไหลออกมา”
“หือ เวทย์มนตร์อย่างงั้นเหรอ?”
เสียงที่เจือความกลัวดังมาจากนักผจญภัย พวกมือใหม่ไม่รู้จักเวทย์มนตร์ เดิมทีพวกเขาก็เป็นแค่เพียงไพร่ที่ใช้เวลาในชีวิตไปกับการเป็นชาวนาหรือไม่ก็คนตัดฟืน
มันไม่มีทางหรอกที่พวกเขาจะเคยเห็นเวทย์มนตร์มาตลอดชีวิตเขา ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะเชื่อว่า มันเป็นเวทย์มนตร์ก็ในเมื่อจอมมารเป็นคนพูดเอง
ผมทำทีเคร่งขรึม
“ทุกคนห่างจากผม 10 ก้าว”
“ทำไมล่ะ?”
“เวทย์มนตร์ถูกสร้างขึ้นเพื่อจอมมารเท่านั้น มันป้องกันการเปิดและการเข้ามาจากภายนอก ดังนั้นถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น พวกนายก็จะได้รับบาดเจ็บ”
ผมจงใจทำให้มันดูซีเรียส
“หรือถ้าเลวร้ายที่สุด สมบัติอาจถูกผนึก”
“……!”
ใบหน้าของนักผจญภัยต่างเคร่งเครียด อย่างที่ผมคิด คำพูดที่เกี่ยวกับสมบัตินั้นมีผลในทันที พวกเขาทั้งหมดเข้าใจสิ่งที่ผมพูดและถอยห่างออกไป 10 ก้าว
ผมเป็นประจักษ์พยานว่า……เหมือนเห็นฝูงนากยืนเรียงแถวกัน
“เดี๋ยวก่อน”
ริฟพูดด้วยท่าทางที่จริงจังที่สุดในโลก
“ตามที่นายบอก พวกเราถอยสิบก้าวแล้ว”
“…….”
ฟังดูเหมือนเขาอยากให้ผมชมในสิ่งที่เขาทำ
คนพวกนี้กล้าฟอกตัวเองเหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ยังไงกันนะ ทั้งที่ก่อนหน้าก็เป็นฝ่ายยิงธนูใส่ผม ชวนให้งงจริงๆนะ หรือผู้คนยุคกลางเป็นแบบนี้กันอยู่แล้ว? ผมยังคงจดจ้องเขาอย่างจริงจัง
“น่าประทับใจมาก สิบก้าวพอดีแบบไม่ขาดไม่เกิน จากระยะตรงนั้น ไม่มีทางที่พวกนายจะโดนผลของเวทย์มนตร์”
เหล่านักผจญภัยผงกหัว
“ดีแล้ว ฮี่ฮี่””
“พวกเรามันยอดเยี่ยมแบบนี้แหละ”
“……ตอนที่ผมร่ายเวทย์อยู่นั้น จงอยู่ในความเงียบ”
ผมหันหลังกลับไปแล้วเผชิญหน้ากับกำแพง มันมีผิวเรียบและธรรมดาดาดๆ
จากนั้นผมก็ตะโกนใส่กำแพงราวกับกำลังร่ายคำศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเดียวที่ผมมองเห็น มีเพียงกำแพงเท่านั้น
“ไอ้ระยำเอ๊ย!”
แน่นอนว่า ผมพูดมันเป็นภาษาเกาหลี
“อีลูกกะหรี่ ไอ้พวกสันดานหนังจรเข้อย่างพวกแกสมควรโดนทึ้ง! ไอ้ขยะพวกเอ็งสมควรไปแดกหญ้าแดกยา จนท้องเสียไส้ไหลแล้วรูตูดระเบิดตายห่าไปซะ! จนกล้ามเนื้อหูรูดพังออกมาตอนที่เดินอยู่ สาระยำ――ลูกนังกะหรี่เอ้ย!”
พลังงานในตัวของผมมันฟื้นคืนมาแล้ว
ผมได้ยินเสียงนักผจญภัยที่อยู่ไกลออกไปกระซิบต่อกัน
“อืม แม้ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่……มันเต็มไปด้วยอารมณ์อยู่ในน้ำเสียงเขานะ”
“ไม่รู้ว่าทำไม แต่มันทำให้นึกถึงไอ้ขันทีแถวบ้านที่โดนกัดไอ้จ้อนโดยไอ้บ้าแถวบ้านเราเลยนะ มันก็กรีดร้องแบบนั้นแหละ แล้วข้าจะพูดแบบนั้นได้ยังไงกันวะ? ภาษาปีศาจที่ต่างออกไปจากที่คิดไว้เยอะเลย ทีแรกคิดว่ามันจะไพเราะหรือแปลกว่านี้ แต่ที่ได้ยินนี่ มันโคตรจะห้าวหาญเลย”
“มันมีจังหวะ ซัน ออบ บีช อืม ซัน ออบ บีชเชส มันติดอยู่ในหัว จนอยากพูดแล้วพูดอีก”
ผมก็แค่ตะโกนสิ่งที่อยู่ในหัวที่แวบเข้ามาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
พอทำอย่างนั้นผมก็เหลือบมองไปที่ ‘การเงินของดันเจี้ยน’ และคิดอยู่ว่า ควรถอนออกมามากน้อยแค่ไหนกัน
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
การถอนเงินจากดันเจี้ยน
ถ้าหากคุณถอนเงินมากเกินไป คุณจะล้มละลาย
เงินที่ถอน : 489โกลด์
เงินคงเหลือ: 511 โกลด์
※หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าจะถอนเท่าไหร่ กรุณาคิดถึงคำว่า ‘ยืนยัน’
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
ผมตัดสินใจถอนเงินออกมาครึ่งนึงของทั้งหมด ดูเหมือนจะเป็นเงินที่เยอะพอสมควร ผมคิดว่า นักผจญภัยอาจจะสงสัยบางอย่างถ้าหาก ผมถอนมันออกมา พอดี 500 โกลด์ ผมจึงเปลี่ยนยอดการถอนเป็นจำนวนที่ดูสมเหตุสมผลกว่า เขาจะไม่คิดว่าแปลกหรือไง หากจำนวนมันที่โผล่ออกมานั้นมัน500โกลด์พอดีไม่ขาดไม่เกิน
ผมกางแขนทั้งสองข้างออกและตะโกนอย่างยิ่งใหญ่
“――แล้วเจอกัน อีลูกกะหรี่ทั้งหลาย!”
ตอนนั้นเองที่ทองคำก็ปรากฏขึ้นมาในอากาศ
ทันทีที่ฝนทองหลั่งไหลลงมา ผมได้ยินเสียงนักผจญภัย ส่งเสียงประหลาดอยู่ข้างหลังผม
“ทอง นั่นทองล่ะ!”
“แม่งเอ้ย นี่มันเท่าไหร่กันวะนั่น!?”
“เฮ้ย เวทย์มนตร์ของจริง!”
พวกเขาส่งเสียงเหมือนอยากกระโจนเข้าใส่ทองคำในทันที ผมจึงตะโกนกลับไปอย่างดุร้าย
“ต้องไม่เข้าใจมันตอนนี้! ไม่อย่างนั้นจะถูกคำสาป!”
ทันทีที่ได้ยินคำว่าคำสาป เท้าของนักผจญภัยพวกนั้นก็หยุดกึกลงทันที
อันที่จริงผมไม่มีเหตุผลจำเป็นใดที่ต้องหยุดพวกเขาหรอก เพียงแต่ผมแค่ต้องการให้แน่ใจว่า ผมจะสามารถเพิ่มค่าความชอบที่มีต่อผมได้อีก
ผมต้องการความไว้เนื้อเชื่อใจอีกหน่อยเพื่อแผนข้างหน้าที่ผมจะดำเนินการต่อไป อาจเพื่อแสดงให้เห็นว่า ผมนั้นเป็นนักแสดงมืออาชีพขนาดไหน
เงินเหรียญทองน้อยๆกองอยู่บนพื้นถ้ำ
นักผจญภัยเลียริมฝีปากตัวเองอยู่ห่างๆ
“โอ้ว ทั้งหมดนั่นมันเท่าไหร่กันน่ะ?”
“สุภาพบุรุษทั้งหลาย อย่าลืมสิว่า พวกเขาต้องแบ่งเท่ากันเข้าใจไหม?”
“แน่นอน ถ้าใครคิดเปลี่ยนใจไม่แบ่งเท่านั้นนี่ เราจะกุดหัวมัน!”
เสียงของพวกเขานั้นเจือไปด้วยความโลภ
‘เอ้า ตอนนี้แหละเข้ามาได้’
ผมกำลังรอช่วงเวลาที่แสนเพอเฟ็คอยู่ อีกทั้งเงินเกือบ 500โกลด์ไหลลงมาเกือบหมดแล้ว จนกระทั่งเหรียญทองเหรียญสุดท้ายกระแทกดังเคร้งเข้ากับพื้นแล้วกลิ้งไหลลงจากยอดทอง ก็ไม่มีเงินโผล่มาจากอากาศอีก
‘หนึ่ง,สอง,สาม……’
แน่นอนแหละว่า เหล่านักผจญภัยทั้งหลายที่ไม่รู้จักอดทนมาก่อนจนถึงตอนนี้ก็เริ่มก้าวเข้ามาแล้ว พวกเขาทำเสียงเหมือนอดรนทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว
“นี่ ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้วใช่ไหม?”
ตอนนี้แหละ
ผมแกล้งทรุดตัวลงในทันที
“อ๊ากกกกกกก!”
ผมกลิ้งดิ้นทุรนทุรายอย่างรุนแรง น้ำลายไหลออกมาเต็มปาก ผมพยายามทำสีหน้าบิดเบี้ยวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมพยายามทำการแสดงว่าเจ็บปวดอย่างสมจริงด้วยการถูเท้าขวาไปกับพื้นโดยที่พวกเขาไม่มีทางจับได้
“เฮ้ย อะไรน่ะ!?”
“เกิดอะไรขึ้น!? ทำไมเขาเป็นแบบนั้น!?”
“มนตร์ดำ! คำสาปจากมนตร์ดำแน่ๆ!”
เปิดการแสดงสุดเล่นใหญ่
“หยะ หยุด……แม่งเอ้ย! เย็นไว้……ตา ……ตาผม ……แอ้กกกกก!”
ผมเอามือป้องตาทั้งสองข้างแล้วร้องออกมา นักผจญภัยถอยหลังไปอย่างเชื่องช้าฃ
“ท่านจอมมาร นี่มันเลวร้ายมาก”
“อู่ว”
ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงมีคนใจกล้าที่เดินเข้าใกล้ผม
“เฮ่ นี่เกิดอะไรขึ้นน่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“อย่าเข้ามาใกล้! สิ่งนี้น่ะ……อั่ก! สิ่งนี้คือ ราคาที่ต้องจ่ายจากการใช้ศาสตร์มืด ……! ถ้าแกเข้ามากใกล้ แกอาจจะ……! ถอย ถอยออกไปเดี๋ยวนี้!”
“อ่า”
เด็กหนุ่มคนนั้นหยุดทันที ผมจึงซัดไปอีกดอก
“อย่างน้อยสิบ……ไม่สิ ไม่ควรอยู่ต่ำกว่า 9 ก้าว อยู่ให้ห่างจากผมไว้ ……ไม่อย่างนั้นคำสาปจะทำร้ายแกด้วย!”
ในขณะที่ผมจิกพื้นก็แอบสังเกตนักผจญภัยพวกนั้นไปด้วยอย่างลับ พวกเขาหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เพราะก่อนหน้าพวกเขาได้เป็นทองคำไหลออกมาตรงหน้าเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว พวกเขาที่ไม่รู้จักกับเวทย์มนตร์มาก่อนจึงตกลงปลงใจเชื่อผม ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญมากกว่า
‘แต่ทำไมมันถึงไม่ใช่การตอบสนองที่ผมต้องการนะ ทำไมพวกเขาทำเหมือนผมกำลังทำตัวน่าอับดาย’
‘อย่าบอกนะว่า พวกเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมเพิ่งบอกไปน่ะ?’
ผมกรีดร้องอย่างทรมาน โชคดีมากที่ในกลุ่มพวกนั้นมีคนที่มีสมองอยู่บ้าง มีใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาราวกับนึกบางอย่างออก
“อย่างบอกนะว่า ……เขาบอกให้พวกเราถอยสิบก้าวเพื่อช่วยพวกเรางั้นเหรอ?”
ช่าย น่านแหล้ะ นั่นแหละ รีแอคชั่นที่ผมต้องการ
แทนที่จะตอบกลับไป ผมกลับกรีดร้องให้ดังขึ้นกว่าก่อนหน้าแทน นักผจญภัยพวกนั้นก็ได้ยินเสียงร้องของผมแทนคำตอบ แล้วก็เริ่มพร่ำบ่นหลังจากหลุดพ้นจากอาการตกใจ
“ฉันพยายามจะฆ่าเขาด้วยซ้ำ”
“จริงๆเขามีโอกาสที่จะฆ่าพวกเราได้ แต่เขากลับ……”
“เดี๋ยวก่อนสิ ตอนนี้เขาดูเหมือนจะเจ็บปวดมากเลย ทำไมเราไม่ช่วยเขาหน่อยล่ะ?””
ณ ขณะนั้น ผมคือ นักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ
เพียงแค่ผมออกแรงกดที่ต้นขาแล้วกรีดร้องออกมาไม่มีทางที่พวกเขาจะรู้หรอก
“เจ้าโง่! เขาบอกเองว่า มันเป็นศาสตร์มืด ไม่ได้ยินเรื่องราวของคนที่ตายหลังจากถูกศาสตร์มืดทำร้ายเข้าอย่างงั้นเรอะ? อดทนรอไปก่อนเถอะ”
“ดาเนฟพูดถูกแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่เราทำได้นั่นคือ ……อาจฟังดูแย่ไปหน่อย แต่มีเพียงแค่ รอจริงๆ”
“แม่ง”
เวลานั้นเองที่เสียงเอฟเฟคดนตรีดังขึ้นราวกับคณะดนตรีประโคมบรรเลง
「ค่าความชอบของนักผจญภับมือใหม่ ดาเนฟ เพิ่มขึ้น 15 」
「ค่าความชอบของนักผจญภับมือใหม่ รีฟ เพิ่มขึ้น 16」
「ค่าความชอบของนักผจญภับมือใหม่ ลุค เพิ่มขึ้น 20 」
‘ดี ดีมากๆ!’
ผมได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว
ถึงแม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ ผมต้องการ……!
แต่ผมก็แอบร้องไห้อยู่ข้างใน การที่ผมได้รับความสุขจากค่าความชอบของกลุ่มผู้ชาย ผมก็นึกถึงหน้าแม่ตัวเองขึ้นมา
ขอโทษนะแม่ ผมยังคงใช้ชีวิตต่ำทรามแม้จะเป็นหลังจากตายไปแล้ว……