dungeon defense - ตอนที่ 20 การล่ามนุษย์(1)
หมู่บ้านถูกไฟไหม้ เงาขนาดใหญ่จนมองเห็นได้นั้นอยู่ระหว่างชั้นของควันไฟและเปลวเพลิง ตัวตนของมันเป็นปริศนา แน่ชัดว่ามันไม่ใช่มนุษย์ แน่ชัดยิ่งกว่าคือ มันได้เข่นฆ่าชาวบ้านไปอย่างไร้ปราณี
“พ่อ! แม่! เดซี่!”
“ไม่!”
เด็กชายเข้าใจทุกสิ่งที่พ่อของเขาพูดออกมาผ่านคำพูดคำเดียว คำว่า ‘ไม่’
เด็กชายถูกสั่งไม่ให้มายังที่ที่พวกเขาอยู่กัน ในตอนนี้ ให้หันหลังแล้วหนีไป
คำว่า ‘ไม่’ คำเดียวนั้นหมายความถึง การที่เขาต้องทิ้งพ่อ แม่และน้องสาวเพื่อหนีไป คำนั้นมันบอกเขาว่า หากเขาไม่หนีไปตอนนี้ เขาจะตายอย่างที่ไม่อาจช่วยได้
เสียงเดียวของคำนั้นมีความสามารถที่จะเปลี่ยนให้คนหนึ่งตายและอีกคนหนึ่งเป็น เด็กชายเรียนรู้ความจริงอันน่าหวาดกลัวนั้น แม้เขาจะยังกลัวเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับความตาย
มันเหมือนกับมีฝูงเงามอนสเตอร์มากมายกำลังจับจ้องที่เขา เด็กชายหันหลังกลับแล้วเริ่มวิ่งตรงไปที่ป่า คำพูดของพ่อยังคงวนซ้ำอยู่ในหัวของเขา
‘ไม่! ไม่! ไม่!…….’
นี่เขาวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว? เขารู้สึกปวดเสียดในท้อง เหมือนข้างในเขาปั่นป่วนไปหมดเพราะเขาวิ่งด้วยความลนลาน ตอนนั้นเองที่เคยคิดได้ว่า ไม่ควรจะวิ่งต่อไปอีกแล้ว เด็กชายเห็นชายคนหนึ่งอยู่ห่างออกไป
เขาอาจเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่จู่โจมหมู่บ้าน!
เด็กชายรีบซ่อนตัวเข้าไปในพงหญ้า และเขาก็โล่งใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายผู้นั้นตะโกนออกมา
“ทหารลาดตระเวณอยู่นี่แล้ว! มีผู้รอดชีวิตอยู่ไหม?!?ฉันคือ ทหารลาดตระเวณ! บ้าเอ้ย ผู้รอดชีวิต นี่มันไม่เหลือผู้รอดชีวิตกันเลยรึไง!?”
บางครั้งก็มีทหารเข้ามาฆ่าฟันและเผาหมู่บ้านภายใต้การแอบอ้างว่า ลาดตระเวณและจัดเก็บภาษี
ชาวบ้านที่ละทิ่งถิ่นฐานบ้านเกิดแล้วมาอยู่ที่นี่ เนื่องจากต้องการหลีกภาษีโดยปรกติก็อยากจะให้ทหารพวกนี้ตาย แต่สำหรับเด็กชาย ทหารพวกนี้ดูเหมือนเป็นนางฟ้าก็ไม่ผิดนัก เด็กชายผลุนผลันออกจากพุ่มไม้
“ผ-ผมอยู่นี่ครับ! คุณทหาร! ผมอยู่ตรงนี้!”
“โอ้, คำพูดนั่น! พระเจ้า, เธออยู่ตรงนั้นจริงๆ!”
ชายผู้นั้นยิ้มอย่างสดใส เขาดูมีความสุขมากจริง ใบหน้านั้นทำให้เด็กชายโล่งอก เด็กชายบอกได้ว่า ชายตรงหน้าเขานี้ยิ้มออกมาจากใจจริง ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่มีเวลามาสบายใจ เด็กชายมีครอบครัวที่ต้องกลับไปหา
“มอนสเตอร์ มีมอนสเตอร์บุก…… ไฟไหม้หมู่บ้าน! แม่กับพ่อของผม!”
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เจ้าหนูเป็นเด็กกล้าหาญมาก ใจเย็นลงก่อน สงบๆก่อน”
ชายคนนั้นเอนตัวหา แล้วปัดแก้มเด็กหนุ่ม
“กองกำลังพิพากษา(Punitive force)กำลังมาที่หมู่บ้านแล้ว ฉันสั่งการไปให้สำรวจหาผู้รอดชีวิตทื่อยู่รอบๆ”
“กองกำลังพิพากษา? จริงหรือครับ?”
เด็กชายกระโดดขึ้นลง
“แม่กับพ่อผมจะรอดใช่ไหมฮะ? น้องสาวผมด้วยใช่ไหม? คนในหมู่บ้านด้วยใช่ไหมฮะ?”
“แน่นอน ฉันขอสัญญากับเธอเลย เธอจะอยู่ด้วยกันกับคนในหมู่บ้านของเธอเร็วๆนี้แหละ”
เด็กชายรู้สึกได้ว่านั่นเป็นคำโกหก เขาสามารถรับรู้โดยสัญชาตญาณได้ในทันทีว่าคำไหนโกหก ซึ่งสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดนั้นต้องการจะให้เขาหายร้อนใจ
แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็อยากที่จะเชื่อคำพูดของชายคนนั้นจริงๆ มีบางสิ่งที่อยู่ในน้ำเสียงของเขานั้นทำให้เด็กชายอยากพึ่งพาเขา
“เย้!…… ฮึก,ฮืออ..….”
“โอ้ แหม ตอนนี้เธอคงหายกดดันแล้วสินะ เอาล่ะมานี่ มานี่.”
ชายคนนั้นกอดเด็กชายไว้
“น้องสาวของเธอ ชื่อ เดซี่ ใช่ไหม?”
“ฮึก ฮึก…… คุณรู้จักเดซี่ด้วยเหรอฮะ?”
“แน่นอน ฉันรู้จัก และชื่อของเธอ คือ ลุค”
เด็กชายผงกหัว ปลอกคอของชายคนนั้นชุ่มโชกด้วยน้ำตา
“ใช่แล้วล่ะ”
“ฉันน่ะรู้จักหมู่บ้านของเธอทะลุปรุโปร่งเลยล่ะ ฉันได้ยินเรื่องนี้มาด้วยนะ แม้แต่เรื่องที่เด็กสาวข้างบ้านมาสารภาพรักกับเธอตอนอายุ 7 ขวบน่ะ⎯⎯⎯.”
“เอ๋? อ๋า! นั่นคุณรู้ได้ยังไงกันล่ะ!?”
ความอับอายได้เข้ามาแทนที่ ความหวาดกลัวและความเศร้า
โอ้ พระเจ้า! ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าต้องเป็นพ่อของเขาแน่ๆที่ไปบอกเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่ลาดตระเวณ พ่อของเขาชอบโม้เรื่องเขาอยู่เสมอ
ชายผู้นั้นหัวเราะเบาๆ
“ดีมาก ตอนนี้สีหน้าดีขึ้นมากแล้ว เจ้าหนูผู้กล้าหาญ!”
“อ่าา……พ่อผมนี่เหลือเกินจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราไปที่หมู่บ้านกันเถอะ กลับไปเจอพ่อของเธอกัน”
ผมอยากกลับไปหาพ่อตอนนี้เลย เด็กชายขณะที่ถอยจากอ้อมกอดของชายคนนั้น เด็กชายเดินตรงกลับไปยังหมู่บ้านโดยปราศจากความหนักอึ้งบนไหล่ ใบไม้รอบหมู่บ้านต่างเหี่ยวเฉา จึงเดินย่ำกันไปโดยไม่ลังเล
แล้วต่อจากนั้น⎯⎯⎯
* * *
ปัก!
ลูกดอกยิงเข้าเป้า ตรงขอบจากจุดกลางเป้าพอดี ผมพอใจที่เห็นว่าตัวเองยิงโดนกลางเป้า
“ฝีมือท่านพัฒนาขึ้นมาก”
ลาพิสคอยออกความเห็นอยู่ข้างๆผม
“ถ้าทำไม่ได้ขนาดนี้ ก็สมควรตายไปเสียดีกว่า”
ผมตอบขณะที่บรรจุลูกศรอีกดอก เร็วๆมานี้ผมฝึกการยิงด้วยหน้าไม้ ผมอยากจะมีสักวิธีหนึ่งในการป้องกันตัวเอง ธนูนั้นใช้เวลานานไปที่จะชำนาญ และผมก็ไม่อยากใช้หอกหรือธนู เหตุผลง่ายๆคือ เพราะมันเป็นอาวุธระยะประชิด การเผชิญหน้าตรงๆกับนักผจญภัยด้วยการใช้ดาบน่ะรึ!? แค่คิดก็สยองแล้ว
‘อาจดูขี้ขลาดนะ แต่ใครสนกันล่ะ?’
คนควรจะรู้ที่รู้ทางของตัวเอง หากคนๆหนึ่งไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลย เข้าสนามรบไปจะได้อะไรนอกจากความตายกันล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น การยิงด้วยหน้าไม้ก็ยังดูกล้าหาญกว่าการหมกตัวอยู่ในห้องจอมมาร
“ดิฉันนำสิ่งที่ท่านสั่งไปเมื่อวานมาให้แล้วค่ะ”
ลาพิสพูดขึ้นมา ผมสงสัยว่า ทำไมเธอถึงจงใจมาหาตอนที่ผมกำลังฝึกหน้าไม้อยู่ แต่ก็เป็นไปตามการคาดเดาของพ่อค้า เธอมาเพื่อทำธุรกิจดังนั้นเธอจึงเริ่มพยายามต่อรองกับผม
“ดิฉันได้มันมาในราคา 550 โกลด์ต่ออันค่ะ”
“ห้ะอะไรนะ, 550?”
ผมลืมเรื่องเติมกระสุนหน้าไม้แล้วหันหัวไปหาเธอ ลาพิสนั้นยังเฉยเมย ฮ่า ยัยปีศาจนี่พยายามรีดเลือดจากปูอย่างนั้นเรอะ
“เฮ่ย ล้อเล่นรึเปล่า? 300 โกลด์ต่ออัน”
“ 500 โกลด์ต่อชิ้นค่ะ ลดให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ก็ยังแพงไปอยู่ดี 350 โกลด์พอ”
ลาพิสตอบรับอย่างหนักแน่น
“450 โกลด์ค่ะ ต่อให้ซาตานจะลงมาหาพวกเราตอนนี้ ดิฉันก็ไม่ยอมขายในราคา 350 โกลด์ค่ะ”
นั่นคือ ความภูมิใจในฐานะพ่อค้าของเธอ เสียงของเธอบอกกลายๆว่าอย่างนั้น
ชิ ผมเดาะลิ้นและหันหน้าไปทางอื่น ผมพูดต่อพร้อมกับเติมกระสุนหน้าไม้
“ผมจะซื้อ 2 อัน 700 โกลด์”
“……3 อัน 1,200 โกลด์”
หืมมม 3 อันในราคา 1,200 โกลด์สินะ?
ผมดึงศรหน้าไม้ให้ตึงด้วยตัวดึง จากนั้นก็ยกหน้าไม้ขึ้นเล็งอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้หุนหัน ผมกลั้นหายใจชั่วครู่ก่อนจะลั่นไก สายสะบัด แล้วกระสุนหน้าไม้ก็ตัดผ่านอากาศ
ตั่ก!
มันปักลงที่เป้า ผมผงกหัวด้วยความพอใจ แม้นาทีนึงผมจะยิงได้เพียงสองนัด แต่ด้วยแรงขนาดนี้ ผมสามารถจัดการนักผจญภัยไปได้แล้วหนึ่งคน ผมวางหน้าไม้อย่างระมัดระวังใกล้ๆเท้าและยื่นมือขวาไปให้ลาพิส
“รับข้อเสนอ”
“ยอดเยี่ยมค่ะ”
ราพิสจับมือตอบ
“ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนคงจะเป็นพ่อค้าที่ยอดเยี่ยมได้เช่นกัน”
“อืมม ผมไม่แน่ใจว่า นั่นใช่คำชมหรือเปล่า?”
“นั่นเป็นคำชมอย่างแน่นอนค่ะ”
ลาพิสตอบกลับในโทนเสียงสงสัยว่า ทำไมผมถึงถามอะไรที่เห็นได้ชัดเจนขนาดนั้น ผมคิดว่า การที่เหมือนทหารชมว่า พวกเขาสมกับเป็นทหารนั้นเป็นคำชม เช่นเดียวกับที่พ่อค้าย่อมจะยกย่องชมเชยด้วยการพูดว่า สมเป็นพ่อค้า ซึ่งนั่นเป็นคำชมสูงสุดที่พวกเขาสามารถที่จะมอบให้
─ เครุก! เครุรุก!
─ เคียวรุรุ!
ก็อบลินและแฟรี่ของผมนั้นแสดงความยินดีรอบๆตัวพวกเรา บรรยากาศมันเหมือนสองประเทศตกลงเป็นพันธมิตรกันหลังจากเจรจาติดต่อกันสี่วัน
ก็อบลินส่งบางอย่างมาให้ในจังหวะที่ยอดเยี่ยม เขาส่งผ้าขนหนูให้ผมเพื่อที่จะได้เช็ดเหงื่อ
─ เครูรุ
ฮ่าฮ่า ผมชักสงสัยแล้วว่า คงเป็นเพราะผมนั้นเอาอกเอาใจแต่แฟรี่เกินไปในช่วงนี้ เจ้าบลิ้งกี้เลยรู้สึกว่า จุดยืนตัวอยู่กำลังตกอยู่ในอันตรายเลยพยายามดูแลผมแบบนี้
แหม ช่างน่ารักเสียจริง เจ้าตัวน้อย เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยิ้มด้วยความยินดีเหมือนพ่อแม่ที่ได้ดูลูกๆตัวเองออกไปซื้อของเป็นครั้งแรก
“ขอบใจมากนะ เจ้าตัวน้อย”
ผมจุมพิตบลิ้งกี้เบาๆที่หน้าผากทีหนึ่ง
─ เครุ! เครุรุ!
ฮะๆ เขาชอบมันมากๆเลยสินะ เห? อะไรนะ ผมควรแตะตัวเขาให้บ่อยกว่านี้เหรอ
ผมนั่งลงใกล้ๆกับหินก้อนใหญ่ แล้วเริ่มออกกำลังกายเล็กน้อย เพียงแต่ผมายใจไม่ทัน ไม่ว่าจะในโลกเดิมหรือโลกนี้ ความอึดทนของผมก็ยังคงห่วยไม่เปลี่ยน
ผมถูหน้าผากและคอด้วยผ้าขนหนู และสังเกตเห็นว่า แฟรี่ทั้งหลายต่างพยายามเข้ามาใกล้ในขณะที่หิ้วอะไรที่หนักๆมาหา
“ว้าว”
พวกเธอกำลังเอาน้ำในชามมาให้ผม มันต้องหนักมากเลยล่ะถึงต้องใช้แฟรี่ถึง 4 ตน ในการหิ้วมา พวกเธอต่างทำงานด้วยกันในการเติมมันลงด้วยเวทย์มนตร์ธาตุน้ำ ขออวยพรแด่นางฟ้าตัวน้อยเหล่านี้
ผมกระดกน้ำลงไป น้ำนั้นสดชื่นมากเหมือนน้ำใต้ดินที่ไหลเข้าสู่ลำคอ
“อ่าช”
ถ้าเป็นตามปกติแล้ว ผมควรที่จะให้ทิปตอบแทนการบริการของพวกเธอด้วย
ผมแสดงความรักให้แฟรี่ทีละตัว ปัดแก้มตัวนึงด้วยนิ้ว แล้วจั้กจี้ที่ท้อง พวกแฟรี่ร้องออกมาพลางหัวเราะ
นี่แหละคือ โมเม้นท์แห่งความสุข จะดีแค่ไหนหากช่วงเวลานี้อยู่ไปตลอด?
“……ท่านดันทาเลี่ยนคะ”
“หืม?”
“ท่านช่างเมตตาต่อมอนสเตอร์อย่างน่าเหลือเชื่อ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ดูความน่ารักของพวกเขาสิ”
ผมถูหัวแฟรี่ด้วยปลายนิ้ว เคียวรูรุ! แฟรี่จับนิ้วของผมแล้วขยับร่างกายคล้ายกับกำลังยืดตัว ดูเหมือนมือผมจะเป็นสนามเล่นขนาดย่อมๆสำหรับสาวๆนะ
แหม สาวๆ ผมน่ะค่าตัวแพงนะ แต่เรื่องนี้จะยอมให้หน่อยก็ได้
“ท่านดันทาเลี่ยนคะ”
หืม? ผมหันหน้ากลับมา
ลาพิสถือขวดที่ใส่ของเหลวสีแดงบรรจุไว้ภายใน
“หา? นี่อะไรน่ะ?”
“มันคือ โพชั่นค่ะ ใช้เพื่อรักษาบาดแผลของท่านได้”
“แล้วจะให้ผมเหรอ?”
“ใช่ค่ะ โปรดคิดว่านี่เป็นบริการก็แล้วกันนคะ”
ตามมารยาทแล้วไม่ควรปฏิเสธสิ่งใดที่ได้มาฟรี ผมจึงรีบรับโพชั่นขวดนั้น
โพชั่นนั้นเป็นสินค้าราคาแพง ราคามันเกิน 10 โกลด์ต่อขวด ดังนั้นผมจึงคิดแล้วคิดอีกว่า ควรซื้อมันหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นการได้มันมาในจังหวะที่ดีแบบนี้ทำให้ผมมีความสุข
อย่างที่คิดจริงๆ พวกเคียนคุสก้านี่! พวกเขารู้จักการทำให้ลูกค้าพึงพอใจ
“ขอบคุณนะ ลาพิส”
“อย่าคิดมากเลยค่ะ”
“ว้าว ผมล่ะสงสัยจริงว่า มันทำงานยังไงนะ เคลือบด้วยเวทย์มนตร์ หรือว่า?”
“…….”
“ถ้าหากบอกว่า ผสานเข้ากับแร่เวทย์มนตร์ที่อยู่ใต้ดิน ทำให้วัตถุดิบเก็บกักเวทย์ไว้ได้ ก็พอจะเดาได้ประมาณนี้แหละ”
“…….”
หืม?
ลาพิสยังคงจ้องผม
“อะไร?มีอะไรเหรอ?”
“โพชั่น”
เธอชี้ไปที่โพชั่น
“มันค่อนข้างแพงนะคะ”
“อื้มม ผมก็รู้แหละ นั่นแหละทำไมผมถึงรู้สึกขอบคุณมากๆ”
“…….”
“……?”
แววตาที่เชือดเฉือนจากดวงตาสีฟ้าจับจ้องมาที่ผม
มีปัญหาอะไร?เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่า!
“นี่เธอกำลังจะขอของตอบแทนที่แพงพอๆกันใช่ไหม!?”
“……ช่างมันเถอะค่ะ”
เธอถอนหายใจเล็กๆออกมา
“หาาา โอเค? ถ้าอย่างนั้นอันนี้เป็นของผมใช่ไหม?”
“ค่ะ”
ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่า? สีหน้าที่ปกติจะนิ่งๆของเธอนั้นคราวนี้มันยิ่งเฉยชายิ่งกว่าเดิม เธอจะรู้สึกว่ามันเสียของรึเปล่าที่เอามาให้ผมเป็นการบริการหลังการขาย?
……แหมะ แหม ลาพิส เธออาจจะรู้วิธีการที่จะให้ของเพื่อให้เขาดีใจ แต่เธอก็ต้องใจกว้างด้วยนะ มันอาจจะเร็วเกินไปที่เธอจะกลายเป็นแม่ค้าผู้ยอดเยี่ยม
ลาพิสเปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อเปลี่ยนอารมณ์
“ทำไมท่านถึงซื้อคัมภีร์เทเลพอร์ทระดับกลางคะ? จริงอยู่ที่ดิฉันดีใจที่ผลงานเพิ่ม ตามราคาสินค้าที่ขายได้”
“อืม”
คัมภีร์เทเลพอร์ทระดับกลาง(Medium-scale teleportation scroll)
มันเป็นอุปกรณ์เวทย์ที่จะทำให้ คน 20 คนเคลื่อนย้ายไปที่ไหนก็ได้ในทันที
บ่อยครั้งที่มักใช้เพื่อพิชิตป้อมปราการที่ไม่มีเวทย์บาเรียป้องกันหรือพวกปีศาจชั้นสูงต้องการไปที่ไหนสักแห่งพร้อมองค์รักษ์ของตน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นของที่แพง โดยปกติแล้วปีศาจระดับสูงจะมีลูกน้องที่สามารถใช้เวทย์มนตร์เทเลพอร์ทได้
สำหรับปีศาจที่ไม่ได้มีนักเวทย์ประเภทนั้นเป็นลูกน้อง ราคาของมันก็แพงเกินไป มันจึงเป็นไอเทมที่ผู้คนต่างรู้สึกกับมันในหลายๆทาง
‘มันสำคัญสุดๆสำหรับผมตอนนี้เลยล่ะ’
“แล้วคำขอก่อนหน้าของผมล่ะ?”
“……ท่านจงใจจะไม่ตอบคำถามของดิฉันนะคะ ”
ลาพิสพยักหน้าเบาๆ
“เอ้อ อย่าเข้าใจผิดไปล่ะ แค่เดาว่า เธอน่าจะคิดออกเองน่ะ”
“ดิฉันเข้าใจค่ะ ตอนนี้ ขอมอบรายงานคำขอที่ท่านต้องการ ตลาดค้าทาสมีจำนวนทั้งสิ้น 35 แห่งทางภาคเหนือของราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย”
เธอส่งเอกสารพวกนั้นให้ผม รายชื่อเจ้าของของตลาดค้าทาส สถานที่ตั้งและขนาดของตลาด ทั้งหมดเขียนไว้ในเอกสารอย่างสั้นกระชับ
“มีสามแห่งที่ใหญ่พอที่จะค้าทาสกามชั้นสูง ดิฉันระบุได้สามแห่ง ผลคือ ดิฉันสามารถระบุตัวทาสที่ ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนต้องการได้แล้วค่ะ”
“ดีมาก!”
ผมกำหมัดขวาแล้วกระโดดขึ้นกระโดดลงสองสามที
“ดีมาก! ลาพิส เธอนี่ช่างเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถมาก! ชัดเจนเลยว่า เจ้าพวกผู้บริหารเคียนคุสก้าน่ะ มันตาถั่วชัดๆ นี่เธอยังอยู่ในระดับ 5 ได้ยังไงกันเนี่ย!?”
เธอคงพอใจกับรีแอคชั่นของผมจึงยิ้มบางๆออกมา หากผมสามารถแสดงวิธีจัดการปัญหาให้เธอเห็นได้ ลาพิสก็มักจะยิ้มแบบนี้บ่อยๆ เธออาจจะดูไร้อารมณ์ถ้าเทืยบกับบุคคลทั่วไป แต่ผมสามารถระบุความต่างนั้นได้
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีเสน่มากล้นแล้วล่ะ
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ที่นั่นมียามและการรักษาความปลอดภัยที่ทั่วถึงและเข้มงวดค่ะ”
โอ้ นี่เธอพยายามจะแหย่หาข้อมูลก่อนที่จะให้ข้อมูลผมเหรอ?
เท้ผมขยับด้วยความตื่นเต้นไม่หยุด และตะโกนออกมา
“ผมจะให้โบนัสเธออีก 10 โกลด์”
“ต้องใช้จำนวนที่มากพอ เพื่อที่จะติดสินบนยามและคนข้างใน”
“……ผมจะให้เพิ่มเติมไปอีก 10 โกลด์”
“ขอขอบคุณที่ทำธุรกิจกับบริษัทเคียนคุสก้าอีกครั้งค่ะ”
“เฮ่อ”
ผมล่ะรำคาญจริงๆ
“เฮ่อ เธอนี่มันช่างเป็นพ่อค้าสุดๆไปเลย”
“นั่นเป็นคำชมสูงสุดแล้วค่ะ”
ลาพิสก้มหัวลง ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่นักแต่กลับรู้สึกพึงพอใจกับเธอมากหรือผมอาจจะแค่หวั่นไหวไปเองเฉยๆ? เพราะเหมือนเธอกำลังแผ่ออร่าออกมาเพื่อโอ่อวดว่า เธอนั้นสามารถจัดการผมได้อยู่หมัด
“เฮอะ”
ผมจ่ายไปเจ็บเกินกว่าที่คิดไว้เพียงแค่ข้อมูลชิ้นส่วนเดียว การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเราก็เป็นแบบแลกหมัดกันนั่นแหละ อย่างที่คิดไว้จริงเชียว ลูกจ้างบริษัทเคียนคุสก้าที่ไร้หัวใจ ไร้น้ำตา แบบเธอก็คงจะไม่นั่งเฉยๆรอรับหมัดฝ่ายเดียว
“นี่คือ ข้อมูลของท่านหญิงฟาร์เนเช่ค่ะ”
ลาพิสถึงเอกสารที่เหลือออกมาจากที่ซ่อนแล้วส่งให้ผม ผมเผลอเดาะลิ้นให้กับความปราณีตของเธอ แต่ผมก็พอใจนั่นแหละที่ได้ข้อมูลตามต้องการ ในรูปแบบกระดาษจากเธอ
ข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กสาวคนหนึ่งถูกเขียนลงไปในเอกสาร เด็กสาวที่ถูกพ่อค้าทาสกลุ่มย่อยจับตัวไว้
และยังมีข้อมูลแผนของพ่อค้าทาสที่จะตามเมืองต่างๆเพื่อร่วมตลาดค้าทาสขนาดใหญ่ไม่กี่วันนับจากตอนนี้
‘ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่’
‘Laura De Farnese.’
เป็นที่รู้จักกันในนาม 「ตุลาการหญิงเหล็ก」
「Female Iron Chancellor」
เธอเป็นเด็กสาวที่ทรมานผมไม่จบไม่สิ้นในชีวิตที่แล้ว พูดให้ตรงกว่านั้น เธอคือ ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังอุปสรรคมากมายของตัวละครที่ผมเล่นในDungeon Attack ที่ต้องฝ่าไปให้ได้
ถ้าจอมมาร คือ ผู้ที่เผชิญหน้ากับเพลเย่อในฐานะศัตรูของมนุษยชาติ ลอร่าก็เผชอญหน้ากับผู้เล่นในทุกโอกาสที่ทำได้ในฐานะฝ่ายมนุษย์เสียเอง
คุณจะพูดว่า จำนวนผู้เล่นตายจนเกลื่อนจากจอมมาร กับที่ตายจากฝ่ายลอร่านั้นแทบจะเท่ากันด้วยซ้ำ
โพสท์บ่นด่าเกี่ยวกับการที่ลอร่าโผล่ออกมาทุกวันใน เว็บแฟนๆของ Dungeon Attack
ศัตรูของศัตรูก็คือ มิตร
‘ผมจะเอาเธอเนี่ยแหละมาเป็นพวก’
ผมนั้นล่วงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ ดังนั้นผมถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ว่า ไม่ดีกว่าหรือไงถ้าหากผมจะสร้างพันธมิตรขึ้นมาแทนที่จะเอาแต่หาเงินจากสิ่งที่ผมรู้?
ใน Dungeon Attack เองก็มีศัตรูมากมายที่เป็นพันธมิตรกัน
แม้ส่วนใหญ่จะถูกล่อลวงไปโดยเสน่ของฮีโร่ก็ตาม แต่ก็มีบางพวกที่ยังคงเป็นศัตรูกันถึงจุดจบอันแสนขมขื่น หากผมรวบรวมเขาเข้าไว้ด้วยกัน ผมก็จะสามารถป้องกันดันเจี้ยนได้ง่ายดายขึ้น
ลอร่านั้นเป็นตัวเลือกในรายชื่อของผม ไม่มีใครสามารถดูหมิ่นฮีโร่ได้เท่ากับที่เธอทำแล้ว แม้ในช่วงสุดท้ายที่เป็นสุดยอดซีนน่าจดจำที่สุดของเกม ตอนที่ฮีโร่ตะโกนให้เธอยอมแพ้ซะ เธอเพียงตะโกนกลับไปหาเขาอย่างสบายๆว่า
‘โถ เจ้านักผจญภัยผู้มีใจอันตื้นเขิน ร่างกายนี้มีไว้เพื่อความเกลียดชัง และความเกลียดชังเท่านั้น’
จากนั้นเธอก็ฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงมาจากแนวกำแพงป้อมที่เธอยืนอยู่
เป็นจุดจบที่สวยสดงดงาม
คุณจะได้เรียนรู้เรื่องของเธอหลังจากนั้น แต่ยังอาจรู้ได้จนกว่า ไปถึงฉากจบที่พบว่า หนทางในชีวิตของเธอนั้นต่างจากศัตรูตัวอื่นๆ พูดอีกอย่างก็คือ เธอนั้นทั้งมีความสามารถ และยังดูถูกกองกำลังฝ่ายฮีโร่ เธอไม่อายด้วยซ้ำที่คิดจะร่วมมือกับปีศาจ ถ้าในฐานะจอมมารแล้วจะเป็นอะไรที่แปลกมาก หากไม่ต้องการตัวเธอ
ลาพิสตั้งคำถาม ขณะที่ผมกำลังอ่านเอกสารอย่างถี่ถ้วน
“ดิฉันสงสัยว่า เหตุใดท่านถึงสนใจในมนุษย์ธรรมดา”
“มนุษย์ธรรมดา อย่างนั้นเหรอ?”
ผมรู้ได้ทันทีว่า ปากตัวเองกำลังยกยิ้มขึ้น
“สงสัยอย่างนั้นหรือ? เธอก็แค่รอแล้วจะรู้เอง”