dungeon defense - ตอนที่ 41 ราตรีวัลเพอกีส(6)
“ดูเหมือนเราสามารถยุติการพิจารณาคดีตอนนี้ได้”
มาร์บาสพูดขึ้น
“เช่นดังประเพณีของพวกเรา พวกเราจะตัดสินผลของการพิจารณาคดีผ่านการโหวต ตัวข้าในฐานะคนกลางไกล่เกลี่ย,ไพมอนและดันทาเลี่ยน จะไม่มีสิทธิ์ในการโหวต ส่วนคนที่เหลือโหวตได้…….”
“ช้าก่อน!”
ไพมอนตะโกนขึ้นมากะทันหัน มาร์บาสเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น
“หืม,ดูเหมือนเจ้ามีอะไรอยากจะพูด?”
“มีอีกสิ่งหนึ่งที่ เลดี้ผู้นี้ปรารถนาที่จะถามดันทาเลี่ยน!”
“ไพมอน”
มาร์บาร์สถอดแว่นโมโนเคิ่ลออกมาแล้วเช็ดเลนด้วยผ้าไหม
“พวกเราอาจมิใช่เพื่อน แต่พวกเราก็ผ่านช่วงเวลาร้อยปีมาจนถึงตอนนี้ เช่นเดียวกับที่เจ้ารู้จักข้า ข้าก็รู้จักเจ้าดี ข้าไม่ควรพูดเช่นนี้ในฐานะคนกลางช่วยไกล่เกลี่ย แต่หากข้าจะต้องแสดงความเห็นตอนนี้…….”
มาร์บาสสวมแว่นกลับไป ดวงตาของเขาหรี่แคบลงขณะมองไพมอน มันเป็นแววตาของคนที่พบว่า สถานการณ์มันช่างน่าหน่าย
“ข้าไม่เชื่อว่า เจ้าได้แสดงเจตนาที่แท้จริง”
“คือ เลดี้ผู้นี้…….”
“ค่ำคืนนี้ คือ ราตรีวัลเพอกิส ไพมอน, คืนนี้ คือ ราตรีวัลเพอกีส แต่เดิมการนัดพบปะครั้งนี้เคยเป็นสิ่งที่บังคับให้กับเหล่าจอมมารมาแสดงตัว แต่ตอนนี้มันเสียความศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เช่นเดียวกับที่อย่างน้อยพวกเราพยายามให้จอมมารที่มาอยู่ที่นี่พอใจให้มากที่สุด
แล้วข้าเป็นใครกันหรือ!? ข้า คือ จอมมารลำดับ 5
บาอัล(Baal),อกาเรส (Agares),วิสซาโก้ (Vissago),กามิกิน(Gamigin)
ตอนนี้จอมมารตำแหน่งเหนือข้ากำลังทำอะไรกันอยู่?”
ไพมอนก้มหัวต่ำลง
“ตัวฉันทราบเรื่องนั้นดี……มาร์บาส เรื่องที่ท่านอุทิศตัวให้กับพวกเราอย่างมาก”
“ตัวข้าไม่ปรารถนาให้จอมมารที่ไม่ได้มาในวันนี้หัวเราะพวกเรา
หากคำถามที่เจ้าถามดันทาเลี่ยนนั้น ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญหรือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เมื่อนั้นข้าจะบังคับจบการพิจารณาคดีในทันที”
“ได้โปรดให้โอกาสเลดี้ผู้นี้เป็นครั้งสุดท้าย ตัวฉันนั้นยอมรับว่า ไม่ได้จริงใจต่อกรณีของอันโดรมาลิอุส ตัวฉันจึงขอโทษคุณด้วย ต่อดันทาเลี่ยนและทุกๆผู้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย”
ไพมอนนั้นจับจีบชายกระโปรงแล้วโค้งไปในสี่ทิศทาง มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากที่ได้เห็นจอมมารระดับสูงขอโทษอย่างจริงใจหลายๆครั้งจนทำให้จอมมารด้วยกันตกตะลึง
“อืม”
มาร์บาสผงกหัว เขาได้บอกให้พูดต่อไปได้ ไพมอนหายใจลึกๆ เธอไม่ได้พยายามจะฝืนยิ้มแล้วหากแต่มองผมด้วยแววตาที่เอาจริง
นี่น่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่เธอพยายามแกล้งทำเป็นสบายๆอย่างไร้สาระเสียอีก
‘ตอนนี้ เรามาถึงหัวข้อหลักกันแล้วสินะ’
ผมชนะไปแล้วในแมทช์แรก ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเธออยากแพ้อีก มันเป็นความจริงว่า เธอนั้นได้ดื้อดึงพยายามสนับสนุนอัลโดรมาลิอุส แต่แมทช์ที่สองนี่ต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญ
“ตัวฉันเชื่อว่าหลายคนคงรู้อยู่แล้วว่า เลดี้ผู้นี้มีที่ปรึกษาอยู่ในบริษัทเคียนคุสก้า ด้วยตำแหน่งของเลดี้ผู้นี้ บริษัทจึงได้มอบหมายให้ผู้บริหารมาเป็นที่ปรึกษาของเลดี้ผู้นี้ จึงได้ยินข่าวที่น่าตกใจมาจากผู้บริหารผู้นั้น เมื่อเร็วๆนี้”
ผมเริ่มสงสัย แต่ดูเหมือนผมจะเดาถูก ไพมอนพยายามที่จะดึงเข้าหัวข้อที่ผมคิดไว้แล้ว เธอมองไปยังจอมมารทั้งหลายแล้วจึงเริ่มพูดต่อ
“ตัวฉันค่อนข้างแน่ใจว่า พวกท่านทั้งหลายคงจะได้ตระหนักถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นแล้วกวาดล้างผู้คนไปในระยะเวลาสั้นๆ
กาฬโรคนั่นคือ คำสาปอันน่าหวาดกลัวที่เอาชีวิตไปโดยไม่แบ่งแยก ไม่ว่าจะชีวิตมนุษย์,มนุษย์สัตว์ และปีศาจ ลูกน้องของเลดี้ผู้นี้ก็ได้รับผลกระทบมากมายเช่นกัน”
จอมมารตนอื่นผงกหัวตอบรับ พวกเขายอมรับความจริงเรื่องโรคระบาดที่เกิดขึ้นราชอาณาจักรซาดิเนียเป็นเพียงภูมิภาคเดียวที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ความรู้ที่ส่งผ่านมาในราชอาณาจักรซาดิเนียนั้นทำให้สามารถแยกผู้ป่วยกักตัวได้รวดเร็วตั้ง โดยการเผาสถานที่ต่างๆเพื่อป้องกันมิให้โรคระบาดแพร่กระจายไป
พูดอีกอย่างหนึ่ง ก็เหมือนยุคกลางในโลกเดิมของผม โรคระบาดที่แพร่ไปยังชาติอื่นก็เป็นเพราะความเข้าใจผิดๆที่มีต่อวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ การฆ่าล้างแมวเพราะผู้คนยุคนั้นเชื่อว่าแมวเป็นพาหะนำพา เป็นแหล่งของโรค แต่ความจริงแล้วกลับเป็นหนู หลังจากนั้นมนุษย์ที่ได้ฆ่าแมวซึ่งเป็นนักล่าหนูเหล่านั้นไป พวกเขากลายเป็นฝ่ายที่ช่วยให้โรคระบาดนั้นแพร่กระจายได้รุนแรงยิ่งขึ้น
ถึงแม้จะเปิดเผยแล้วว่า มีสมุนไพรดำที่สามารถรักษาโรคดังกล่าวได้ แต่ผู้คนส่วนมากก็ไม่อาจหาซื้อมารักษาได้ เพราะเพียงรากเดียวก็เป็นเงินหลายโกลด์แล้ว สามัญชนก็ต้องไปเที่ยวยืมเงินมาจากท่านลอร์ดของตนโดยสัญญาว่า จะใช้คืนให้ในรอบการเก็บเกี่ยวปีหน้า ผู้คนที่ไม่ได้มีฟาร์มเป็นของตัวเอง ไม่มีทางที่จะมีทางสร้างรายได้
แม้จะเป็นช่วงวิกฤติระดับโลก ท่านลอร์ดและเหล่าคนปรุงยาทั้งหลายเป็นเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ได้รับโชค
ปีศาจนั้นมีภูมิคุ้มกันสูงกว่ามนุษย์โดยธรรมชาติ พวกเขาจึงมีผู้ประสบภัยน้อยกว่ามนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังคงมีผู้ป่วยอยู่ดี สำหรับจอมมารที่พักอยู่ในโลกมนุษย์ พวกเขาใส่ใจอย่างจริงจังเพราะโรคระบาดนั้นส่งกับกองกำลังของพวกเขาด้วยเช่นกัน
“ข่าวดีคือ มีการรักษาหายนะครั้งใหญ่ครั้งนี้ แต่พวกท่านรู้ไหมว่า ใครเป็นผู้ค้นพบว่า สมุนไพรดำสามารถรักษากาฬโรคได้?
ผู้นั้นคือ ดันทาเลี่ยน นี่คือ สิ่งที่ผู้บริหารของเคียนคุสก้าบอกตัวฉัน”
เหล่าจอมมารทั้งหลายถูกปลุกเร้า
ผมพยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำให้ตัวเองไร้อารมณ์
“แล้วดันทาเลี่ยนนั้นไปค้นพบวิธีการรักษาโรคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้อย่างไร แถมยังรวดเร็วด้วย? เลดี้ผู้นี้ยากที่จะทำความเข้าใจเรื่องนี้จริงๆ”
“มันเป็นไปด้วยโชคดีล้วนๆ”
ผมตอบกลับไป
“ข้าก็ไม่รู้ว่า ทำไมท่านถึงมาพูดเรื่องนี้ในสาธารณะทั้งที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดี โดยส่วนตัวข้าสนใจในพืชสมุนไพร เมื่อโรคระบาดครั้งแรก ข้าก็ได้เก็บเกี่ยวสมุนไพรทั้งหลายและทดสอบมันแล้ว สมุนไพรดำก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“อย่างนั้นแน่หรือ? แต่ดูเหมือนจะต่างจากที่เลดี้ผู้นี้ได้ยินมา”
ไพมอนมองตรงมาที่ผม
“จากสิ่งที่ ตัวฉันได้ยินมา เจ้านั้นได้กักตุนสมุนไพรดำ ‘ก่อน’กาฬโรคจะระบาดด้วยซ้ำ นี่เจ้าได้คาดการณ์อย่างแม่นยำได้ถึงการระบาดของกาฬโรค”
เหล่าจอมมารต่างวุ่นวายเอะอะขึ้นมาทันที
ไพมอนได้ชี้มาที่ผม ด้วยปลายพัดของเธอ
“ยิ่งไปกว่านั้น ดันทาเลี่ยน ไม่เพียงรู้ว่า กาฬโรคจะระบาด แต่เขายังรู้วิธีรักษามันด้วยความบังเอิญอีกด้วย แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรกัน? ดันทาเลี่ยน ทั้งหมดนี่ไม่มีทางที่เจ้าจะมิได้อยู่เบื้องหลัง กาฬโรคเอง!”
“…….”
ฮาฮา ช่างน่าขำ
ผมจ้องไปที่มุมเล็กๆมุมหนึ่งทางซ้ายของห้องบอลรูม ผู้มีตำแหน่งสูงสุดของบริษัทเคียนคุสก้า อิวาร์ ยืนอยู่ที่นั่น เขาแสดงสีหน้าหม่นหมองเป็นอย่างมาก
มันเป็นเรื่องปรกติที่จะต้องรักษาความลับของลูกค้า นั่นเป็นกฏพื้นฐานของพื้นฐานในการเป็นพ่อค้า ไพมอนอ้างว่าเธอได้รับข้อมูลมาจากผู้บริหารของเคียนคุสก้า สิ่งที่เธอพูดนั้นเหมือนกับกำลังพูดว่า เธอมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงข้อมูลลูกค้าของบริษัทได้ฟรีๆ มันไม่มีอะไรน่าอับอายไปกว่าสิ่งนี้อีกแล้ว
แต่ถึงอย่างไรเสีย สิ่งที่ผมข้อสงสัยเกี่ยวกับอิวาร์
‘ท่าทางของเขานั้นเป็นการแสดงหรือเปล่า…….”
และสิ่งที่ผมคิดไว้ก็เกิดขึ้นจริง
บริษัทเคียนคุสก้าและผมเราต่างมีการเล่นสงครามจิตวิทยาต่อกันโดยผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอันโดรมาลิอุส ผมเป็นฝ่ายที่เริ่มซัดก่อน ผมข่มขู่พวกเขาว่า จะบอกคนอื่นๆว่า บริษัทนั้นปล่อยให้จอมมารตายต่อหน้าโดยไม่ทำอะไร
พอทำแบบนั้นเข้า ต่อมาบริษัทก็รีบเอาลูกสาวผู้มีอิทธิพลที่อยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขามาเป็นเมียน้อยผม พยายามดึงให้ผมเข้าร่วมฝั่งของบริษัทเพื่อจบการคุกคามของผม
ผมปฏิเสธข้อเสนอนั้น แต่ถึงอย่างนั้น ผมใช้วิธีการทำให้พนักงานของพวกเขา,ลาพิส มาร่วมงานเลี้ยงนี้แทน ผมสื่อเป็นนัยๆถึงพวกเขาว่า
‘ข้าไม่มีเจตนาจะคุมคามแล้ว’
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่พอที่จะทำให้บริษัทเคียนคุสก้ารู้สึกโล่งใจ ภัยคุกคามของผมยังคงดำเนินอยู่ พวกเขาได้เข้าหาไพมอนที่เป็นพวกรักมนุษย์ท่ามกลางหมู่จอมมารด้วยกัน พวกเขาบอกเธอเรื่องที่ ตัวผม ดันทาเลี่ยน เป็นผู้ต้องสงสัยเบื้องหลังกาฬโรค
เจ้าหน้าที่ผู้ทำการช่วยเหลือไพมอน คือ ทอร์เค่ล
เจ้าก็อบลินแก่นั่นและผมไม่ได้เป็นมิตรที่ดีต่อกัน เขาอาจจะพยายามหาทางสร้างสถานการณ์ให้ผมเครียดหนักด้วยความยินดี
ในฐานะที่กาฬโรคนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่มีผลกระทบต่อพวกรักมนุษย์แบบไพมอน ตอนนั้นเองที่โรคระบาดทำให้มนุษยชาติเกือบจะสูญพันธุ์ไป เธอก็ต้องฝังความแค้นต่อผมเนื่องจากเธอเชื่อว่า ผมเป็นผู้บงการเบื้องหลังการระบาดของโรค
บริษัทเคียนคุสก้าได้กระตุ้นไพมอนผ่านทางทอร์เค่ล
แล้วเผอิญ ผมก็กำลังวุ่นยุ่งกับเรื่องอันโดรมาลิอุสดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจให้ผมได้ลิ้มรสประสบการณ์ขมขื่นดูบ้าง
ผมเงียบลงทันทีด้วยความโกรธ
นี่พวกเขากล้ายืนกรานว่า ผมเป็นคนทำเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน? ถึงแม้อิวาร์ไม่ใช่คนที่ขายข้อมูล แต่ก็ยังแน่ชัดอยู่แล้วว่า บริษัทจะต้องเอาความรับผิดชอบนี้ไปด้วย
‘ไม่ว่า แกจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่ ผมจะทำให้แกต้องชดใช้สำหรับสิ่งที่เกิดนี่,อิวาร์’
แน่นอนว่า ผมไม่ได้มีกำลังมากพอจะให้เขาตอบแทนเลยในตอนนี้ แต่ถึงผมจะได้รับชัยชนะจากการพิจารณาคดี ผมก็เพียงแต่ได้รับการชดเชยเล็กน้อย ในทางกลับกัน ผมไม่มีวันลืมสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ วันนี้
เสียงเอะอะวุ่นวายเต็มบอลรูม จอมมารเริ่มที่จะปั่นป่วน หัวร้อนจากสิ่งที่ไพมอนเปิดเผย บางส่วนก็ตะโกนมาที่ผมเพื่อให้ยืนยันว่า ที่ไพมอนพูดเป็นความจริงหรือไม่
มาร์บาสยังคงสงวนท่าทีอยู่ตลอดเวลา
“ไพมอน เจ้ารู้ใช่ไหมว่า ที่นี่ไม่มีที่สำหรับข่าวลือ?”
“แน่นอนค่ะ เลดี้ผู้นี้ไม่ทำเรื่องไร้สาระค่ะ”
“แล้วพนักงานของบริษัทเคียนคุสก้ารู้ว่า ดันทาเลี่ยนนั้นทำนายการมาของกาฬโรคได้อย่างไร?”
“เช่นเดียวกับตัวฉัน ดันทาเลี่ยนเองก็มีคู่ค้าอยู่ในบริษัทเคียนคุสก้า ดันทาเลี่ยนนั้นได้ทำธุรกิจกับบริษัทโดยทำให้เขาได้รับกำไรถึง 20,000 โกลด์”
“อิวาร์”
มาร์บาสเรียกชื่อ อิวาร์
“เรื่องนั้นจริงไหม?”
“……ขอประทานอภัย ฝ่าบาทมาร์บาส แต่พวกเราไม่อาจเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าพวกเรา”
“แสดงว่า จริงสินะ”
อย่างที่คาดไว้ มาร์บาสก็เป็นจอมมารเช่นกัน การที่จะมองเห็นคำโกหกของคนอื่นเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา ผมรับรู้ได้ทันทีว่า อิวาร์นั้นกลับกลอกแค่ไหน
มันไม่สำคัญว่า จอมมารจะอ่านเขาออกหรือไม่แต่อย่างน้อย เขาก็แสดงออกอย่างผิวเผินให้รู้ว่า การพูดคุยนั้นยังตั้งอยู่บนกฏรักษาความลับลูกค้า
มาร์บาสหันหน้ามาหาผม สีหน้าของเขาหม่นหมองแต่ผมบอกได้ชัดเลยว่า เขากำลังมองมาที่ผม
“ดันทาเลี่ยน เรื่องนั้นจริงไหม?”
“…….”
“ตัวข้าได้เพิ่มสิทธิ์ในการเงียบของเจ้า ระหว่างการพิพากษา จอมมารทุกตนต่างมีความเท่าเทียมกันในทุกระดับ เจ้าไม่มีข้อผูกมัดที่จะต้องตอบคำถามของไพมอน”
ผมมองเขากลับไป บอลรูมเต็มไปด้วยการเฝ้าของคำตอบจากผม
หากผมปฏิเสธคำตอบที่นี่ เมื่อการพิจารณาจบลง ข้อสงสัยที่มีต่อผมก็ยังคงมีอยู่ และนั่นคือ สิ่งที่บริษัทเคียนคุสก้าและไพมอนต้องการ ผมจะจบลงด้วยการถูกคนอื่นลากไปลากมาดังนั้นผมจึงตัดสินใจใช้ การกระทำที่ยอดเยี่ยมที่สุด
“ฝ่าบาท ก่อนที่ข้าจะขอตอบ ขอถามอะไรอิวาร์สักหน่อยได้ไหม?”
“ข้าอนุญาต”
“สิ่งที่ข้าจะถามนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว ดังนั้นโปรดอนุญาตให้ข้าได้กระซิบกับเขาเป็นการส่วนตัวด้วย”
“ข้าจะอนุญาตเรื่องนั้นเช่นกัน”
“ขอบคุณท่านมาก”
ผมโบกมือให้กับอิวาร์ให้มาหา เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็รีบก้าวเข้าใกล้
เขารีบขอโทษผมทันทีที่มาถึง
“เป็นความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ฝ่าบาท ดูเหมือนมีคนในฝั่งบริษัทเราที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง”
“โชคไม่ดีเลยนะ ที่การเจอกันครั้งแรกของเราเป็นแบบนี้”
“ทางเราจะเปิดเผยผู้กระทำความผิด ให้เขารับผิดชอบด้วยทุกอย่างและลงโทษ”
“อย่างนั้นเหรอ?”
ก็แค่ถอนเท้าออก เดี๋ยวคนที่ก่อเรื่องก็แสดงตัวออกมาเองนั่นแหละ
“แหม ได้ยินอย่างนั้นแล้วโล่งใจ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่ข้าจะพูดนี่เป็นเพราะข้าเป็นห่วง…….”
ผมยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะงอหลังเล็กน้อย เพื่อให้ปากของตัวเองอยู่ข้างหูและกระซิบอีวาร์
“ข้าล่ะเป็นห่วงจังว่า ร่างจริงของท่านจะยังอยู่ดีหรือไม่
”
“……!?”
ตกตะลึง
ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกช็อค
“ดะ-ได้อย่างไร……!”
“ผมบลอนด์ของท่านเนี่ยช่างงดงามจริงๆเลย ต่อจากนี้ก็ทำตามดุลพินิจตัวเองนะ”
ผมพูดอย่างนั้นก่อนจะดึงหลังให้ตรง
อิวาร์กลับแสดงความฉงนสงสัยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ผมเห็นว่า เขาแสดงความไม่เชื่อออกมา
อิวาร์ ล็อดบรอค(Ivar Lodbrok)
มันไม่มีทางที่ผมจะไม่รู้จัก ตัวตนที่แท้จริงของบุคคลผู้นี้ เขาเป็นปีศาจเพียงตัวเดียวที่ทรยศจอมมารแล้วไปเข้าพวกกับฝ่ายฮีโร่ใน
ถึงแม้อิวาร์จะเคยรับใช้จอมมารในอดีต แต่เมื่อพวกเขาพบว่า จอมมารคิดกับพวกเขาเป็นเพียงเครื่องมือ นั่นก็ทำให้เริ่มมีการต่อต้านเหล่าจอมมาร ด้วยการใช้ตุ๊กตาและการเคลื่อนย้ายวิญญาณที่พวกเขาถนัด
อิวาร์จึงเป็นบุคคลเดียวที่สามารถสร้างร่างโคลนตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสามารถแก้แค้นจอมมารได้สำเร็จ
แถมอีวาร์ยังมีบทบาทสำคัญในการทรยศหักหลังกองทัพจอมมารในศึกชี้ชะตา นั่นทำให้ตัวเอก ฮีโร่ ได้รับชัยชนะ
และนี่คือ เหตุผลที่ผมประหลาดใจตอนที่ผมพบว่า ชายแก่ผู้นี้คือ อิวาร์
เพราะอิวาร์ที่ผมรู้จักนั้นไม่ใช่ตาปู่มารยาทดี⎯⎯⎯หากแต่ภายนอกดูเหมือนสาวน้อยอายุ 12 ปี
คุณซ่อนมันจากผมไม่ได้หรอก ผมรู้อีเว้นท์ทั้งหมดของคุณดี ผมเล่นแม้กระทั่งรูทของคุณ และได้ฉากจบของคุณ ผมรู้แม้กระทั่งว่า ร่างกายที่แท้จริงคุณซ่อนอยู่ในทุ่งน้ำแข็งของราชอาณาจักรมอสโคว แม้ผมจะไม่รู้ตำแหน่งชัดก็ตาม
(TTL : พรี่ดัน นี่ไม่เคยพลาดที่จะเก็บโลลิเลยสินะ)
แต่อิวาร์น่ะ จะมีทางรู้เรื่องนี้ไหมนะ?
่ว่าทำไมจอมมารระดับต่ำสุดถึงได้รู้ความลับที่คนอื่นเขาไม่รู้กัน
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นจอมมารที่มีความสามารถในการคาดการณ์การระบาดของกาฬโรคด้วย
ผมมั่นใจ อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตอนนี้ผมเป็นจอมมารที่น่าหวาดกลัวที่สุดสำหรับอีวาร์ เธอควรจะจดจำคำพูดผมนี้ในฐานะการขู่ คำพูดที่ว่าผมสามารถกำจัดร่างจริงของเธอเมื่อไหร่ก็ได้
“…….”
แล้วความเงียบก็ตามหลังมา
เสียงบ่นก่นด่าของจอมมารทั้งหลายต่างสะท้อนก้องในบอลรูม พวกเขาจะต้องรำคาญมากแน่ที่ยังคงเงียบกันอยู่ ทั้งๆที่ผู้อยู่เบื้องหลังโรคระบาดอาจจะอยู่ตรงหน้าแล้ว
ในทื่สุดอิวาร์ก็เปิดปากออกมา
“คำพูดของฝ่าบาทไพมอนนั้นเป็นเรื่องโกหก”
คำพูดของอิวาร์เป็นเหตุให้ไพมอนเปิดริมฝีปากนุ่มๆออกมาด้วยความตกใจและทำให้ทั้งบอลรูมเต็มไปด้วยด้วยโทสะของเธอที่ระเบิดออกมา
“ไอ้เลวนั่นมันโกหก!”
“ไอ้ค้างคาวระยำ นี่แกคิดว่า เจ้ากำลังโกหกใครกันอยู่วะ!?”
เหล่าจอมมารต่างตะโกนแสดงความเห็นของตนและสาปแช่ง ในกลุ่มนั้นมีสองสามคนที่เหมือนอยากพุ่งเข้าไปทำร้ายอิวาร์ แต่ถึงอย่างนั้นอิวาร์ก็ยังคงยังรักษาท่าทีสงบด้วยการหลับตาลง
ความวุ่นวายไม่ได้เป็นเหมือนก่อนหน้า เนื่องจากมาร์บาสยกมือขึ้นและขอให้ทุกคนเงียบในทันที แต่จอมมารตนอื่นๆก็ยังคงตะโกนต่อ
“หืม.”
มาร์บาสยกเท้าขวาขึ้นช้าๆ
— ตุบ
ทั้งบอลรูมสั่นสะเทือน มันให้ความรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหว
จอมมารทั้งหลายต่างปิดปากในทันที พวกเขาไม่โง่ที่จะไม่เข้าใจการเตือนของมาร์บาส จอมมารลำดับ 5 ที่แข็งแกร่งพอที่จะส่งพวกเขาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งตรงไปหาฮาเดส*
“จงเงียบ นับแต่นี้ต่อไป ผู้ใดหากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า จะไม่มีสิทธิพูด”
มาร์บาสหันมองไปยังอิวาร์
“หัวหน้าเคียนคุสก้า ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”
“ฝ่าบาท ผมต้องขอประทานอภัย แต่ผมไม่ได้พูดคำโกหกแม้แต่คำเดียว นับตั้งแต่ก้าวเท้ามาอยู่ที่บอลรูมแห่งนี้”
“มันโกหก!”
ไพมอนตะโกนขึ้น
“ชายคนนั้นโกหก ,มาร์บาส”
“ฝ่าบาทไพม่อน แม้ความสามารถของจอมมารนั้นจะช่างงดงามน่าอัศจรรย์ ตัวผมรู้ดีว่า ไม่สามารถที่จะควบคุมความสลับซับซ้อนของอารมณ์ได้
มันเป็นเรื่องจริงที่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนได้นำสมุนไพรมามาเตรียมไว้สำหรับรับมือกับกาฬโรค แต่ถึงกระนั้น การพูดว่า ท่านนั้นเป็นต้นเหตุของกาฬโรคมันออกจะ……เป็นสิ่งที่ผู้น้อยนี้ไม่อาจจะล่วงรู้ได้ ถ้าหากเขาไม่ใช่ปีศาจร้ายตัวจริง แล้วใครจะทำสำเร็จเช่นนั้นได้?”
มาร์บาสลูบหนวดราวกับกำลังครุ่นคิด มันเกิดขึ้นจากการที่เขาสัมผัสได้ว่า อิวาร์ไม่ได้โกหกเลย
ผมแอบหัวเราะอยู่ในใจ อิวาร์นั้นได้เล่นลิ้นบิดคำพูดอย่างปราณีต
‘แต่ถึงกระนั้น การพูดว่า ท่านนั้นเป็นต้นเหตุของกาฬโรคมันเป็นสิ่งที่ผู้น้อยนี้ไม่อาจจะล่วงรู้ได้
คำตอบนี้ออกจะกำกวมอย่างมาก ซึ่งแสดงว่า อิวาร์ได้สงสัยว่า ผมอาจเป็นเหตุให้เกิดกาฬโรค แต่เขาก็ไม่ได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ว่าผมได้แพร่ไปจริงหรือไม่ นั่นก็ไม่ผิดเลยกับการที่เขาพูดว่า เขาไม่รู้อะไรเลยเรื่องนั้น
โดยพื้นฐานจอมมารนั้นเชื่อในความสามารถของตน ดังนั้นเขาจึงสามารถอ่านอารมณ์อีกฝ่ายได้โดยตรง อิวาร์จึงเลี่ยงการถูกสงสัยด้วยการขุดลึกลงในความจริงที่ว่า ช่างน่าประทับใจซะจริง
มาร์บาสพูดราวกับกำลังคร่ำครวญ
“อิวาร์มิได้โกหก นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“……นี่มัน ไม่ใช่สิ่งที่เลดี้ผู้นี้อยากจะบอก”
ไพมอนเป็นฝ่ายตอบ
“ตัวฉันจะขอให้พยานก้าวออกมาข้างหน้านี้ ขอให้ทอร์เค่ล ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทเคียนคุสก้า ก้าวออกมาในฐานะพยานของฉัน!”
———————
*ฮาเดส : เทพเจ้าโอลิมปัส ในเทพนิยายของกรีก เป็นน้องชายของซุส และเป็นผู้ปกครองดูแลนรก อุ้มหลานสาวมาเป็นเมีย(เพอซิโฟเน่)และมีน้องหมาสามหัวตัวหนึ่ง(เคลเบรอส)