dungeon defense - ตอนที่ 42 ราตรีวัลเพอกีส(7)
มาร์บาสพูดพลางลูบหนวดตน
“เขาจะมาอยู่ที่นี่ทันทีได้ไหม??”
“ค่ะ ทอร์เคลกำลังรออยู่ด้านนอกบอลรูมค่ะ ถ้าเรียก เขาก็จะมาทันที……!”
“ข้าอนุญาต แต่ข้าจะสิ้นสุดการพิจารณาทันทีที่พยานมาไม่ทันใน 5 นาที ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะตัดสินให้เป็นชัยชนะของดันทาเลี่ยน”
ไพมอนก้มหัวอย่างพอใจก่อนที่จะรีบวิ่งไปยังหน้าประตูห้องบอลรูมเพื่อหาพนักงานที่รับใช้ส่วนตัวผู้ที่น่าจะรออยู่ที่ใดสักแห่ง จอมมารตนอื่นยังคงซุบซิบกันขณะทื่เธอออกไป การพิจารณาคดีขึ้นหยุดลงชั่วคราว
ผมพบว่า ในอกตัวเองนั้นสงบลงแล้ว
‘ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้’
ไพมอนเลือกตัวเลือกที่เลวร้ายที่สุด ลองคิดดูให้ดีสิ ทอร์เค่ลได้ละทิ้งหน้าที่ในฐานะพ่อค้าและให้ข้อมูลความลับลูกค้าแก่ไพมอน พูดง่ายๆคือ ทอร์เค่ลนั้นเป็นสปายของไพมอน
หากคุณเพิ่มชื่อว่า ‘ทอร์เค่ล’ แทนในชื่อที่เคยคลุมเครืออย่าง ‘ผู้บริหารของบริษัทคนหนึ่งได้ให้ข้อมูลนั้นกับเธอ’
เพียงแค่นั้น เพียงเท่านั้นความผิดที่ทั้งบริษัทต้องรับผิดชอบก็กลายเป็นของทอร์เค่ลเพียงผู้เดียว
การระบุชื่อของเขานั้น ไม่ต่างอะไรจากการจบชีวิตพ่อค้าของทอร์เค่ลอย่างไร้ความปราณี
หญิงสาวผู้เป็นห่วงกังวลการอยู่รอดของมนุษชาติเป็นอย่างมากแต่ไม่สนใจแม้แต่ปีศาจผู้ที่เป็นพันธมิตรจริงของตน นั่นแหละคือ อันดับ 9 ไพมอน
มันก็จะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในเช่นกัน
ตอนที่ฮีโร่ได้รับอันตราย ไพมอนก็จะรีบโผล่ออกมาพร้อมกับกองทัพ แล้วทำลายกับดักที่วางไว้โดยจอมมารตนอื่น ทำให้ฮีโร่สามารถและปาร์ตี้ของเขาหนีรอดไปได้ หากมองในมุมมของผู้เล่นมันเป็นซีนที่พวกเราตะโกนว่า
‘สมแล้วกับที่เป็นไพมอน! สาวจิตใจงดงามบริสุทธิ์!’
แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับคิดต่างออกไป
หากมองในมุมปีศาจ ฮีโร่นั้นเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจเทียบได้กับกาฬโรคด้วยซ้ำ จอมมารทั้ง72ตน ถูกฆ่าล้างทั้งหมดด้วยมือของมนุษย์เพียงคนเดียว นี่ยังไม่นับว่าเป็น มหันตภัยร้ายแรงอีกหรือ?
หลังจากที่ตัวละครหลักและปาร์ตี้ได้กำจัดจอมมาร ลำดับที่ 30 ไป ความยากของเกมก็สูงขึ้นมาก
ตามเนื้อเรื่องนั้นปีศาจทั้งหลายต่างรับรู้ถึงวิกฤติอย่างจริงจังแล้ว พวกเขาจึงขนกองกำลังจำนวนมากบุกโจมตีโลกมนุษย์ และก็นั่นแหละ ไพมอน,ผู้เป็นลำดับที่ 9 ร่วมกับจอมมารบางส่วน ร่วมกันขัดขวางฝ่ายเธอเอง
แม้ปีศาจจะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์แต่การที่ไพมอนพยายามแบ่งแยกให้ปีศาจแตกเป็นก๊กเป็นเล่า นั้นทำให้ กองกำลังฝ่ายมนุษย์-มนุษย์สัตว์สามารถเอาชนะพวกเขาได้
เมื่อปีศาจทั้งหลายเสียฐานที่มั่นบนผิวโลกและจบลงตรงที่ต้องหนีกลับโลกปีศาจ แถมยังสูญเสียตัวตนอันเป็นผู้นำอย่างจอมมารแล้ว พวกเขาก็สูญเสียความหวังที่จะกลับมาเป็นหนึ่ง และสันติสุขได้จบชีวิตลงด้วยการถูกคุมขังอยู่ในวงจรแห่งการเอาชีวิตรอดไปตราบชั่วกาลนาน
ความโกลาหลอันเกิดจากการที่ผู้แข็งแกร่งจะแย่งชิง และไม่มีความเห็นอกเห็นใจอีกต่อไป
หญิงสาวจิตใจงดงามบริสุทธิ์ในสายตาของผู้เล่นอย่างนั้นหรือ?
‘ผู้ทรยศต่อประเทศตัวเอง ไม่สิ เธอยิ่งไปกว่านั้นอีก เธอเป็นผู้ทรยศต่อเผ่าตัวเอง’
หากจะยืมคำพูดของ ลำดับ 8 จอมมารบาร์บาทอส ถ้าเช่นนั้น ไพมอน เป็นนังชั่วที่เลวกว่ากะหรี่เสียอีก
มันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ หากเธอเป็นเหมือนอิวาร์ที่มาจากบริษัทเคียนคุสก้าที่มีเหตุผลในการทรยศฝ่ายจอมมาร;แต่ถึงอย่างนั้น ไพมอนนั้นใช้พรรคพวกฝ่ายตัวเองสิ้นเปลืองมากเพียงเพราะเธอคิดว่า มนุษย์นั้นน่าสนใจและ เพราะเธออยากถูกฮีโร่รัก นี่คือ เหตุผลที่ว่า ทำไมผมถึงเกลียดตัวละครอย่างไพมอน
ผมยังคงยืนรอไพมอนกลับมา เอาจริงๆนะ ความปรารถนาที่อยากจะกลับไปอยู่กับลาพิสแล้วหายใจออกมาดังๆ แทบจะทะลักออกมาแล้ว แต่มาร์บาสยังคงยืนอยู่ข้างๆ และยังหลับตาอยู่ ผมจึงไม่สามารถทำตามที่ใจอยากได้
‘ให้ตายเถอะ อย่างน้อยๆนะ ถ้ามีอะไรในมือให้ควงเล่นบ้างนะ’
ผมควรจะไปที่ร้ายแล้วซื้อไม้เท้าหรืออะไรสักอย่างมาพรุ่งนี้แหละ โชคยังดีที่ผมยังมีเพื่อนให้คุยท่ามกลางบรรยากาศที่น่ารำคาญนี่
“นี่ แกน่ะ พูดเก่งน่าดูเลยนี่สำหรับพวกระดับต่ำน่ะ”
นั่นคือ บาร์บาทอส บุคคลที่กระตือรือร้นที่จะทะเลาะกับไพมอนตั้งแต่เริ่มการพิจารณาคดี ด้วยก้าวที่สั้นและเร็ว เด็กสาวที่สวมชุดเดรสแทบจะเป็นสีแดงทั้งหมดเดินเข้ามาหาผม แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนเด็กสาวแต่บรรยากาศที่ปล่อยออกมานั้นเป็นผู้ใหญ่ ช่างเป็นอะไรที่ขัดแย้งเสียจนชวนให้อึดอัด
“คำพูดของท่านช่างยกย่องข้าเหลือเกิน ฝ่าบาทบาร์บาทอส”
ไม่ว่ายังไง ตามลำดับชั้นแล้ว เธอก็อยู่เหนือผม มันเป็นสถานการณ์ที่ผมถูกบีบบังคับให้สู้กับไพมอน ความจริงที่ว่า จอมมารระดับสูงชื่นชอบผมนั้นนับว่าเป็นโชคดี ผมจึงทักทายเธอด้วยความเคารพมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
“เฮ่อ– พอเถอะ พอ ข้าเกลียดไอ้มารยาทแบบนั้นเป็นบ้าเลยว่ะ”
เธอทำเสียงเหมือนอยากสำรอกออกมา และริมฝีปากก็บูดเบี้ยว เช่นเดียวกับที่โบกมือห้าม
“จอมมารทุกวันนี้น่ะ มันไร้จิตวิญญาณ! ในอดีตอะนะ พวกเราเจอหน้าก็ยิงไฟร์บอลใส่กันแล้ว เดี๋ยวนี้แม่งแทบไม่รู้จักความสัมพันธ์แบบสหายร่วมเป็นร่วมตายกันแล้ว”
……มองดูเด็กสาวที่ดูยังไงก็เป็นแม่สาวตัวน้อยพูดถึง คนเดี๋ยวนี้ แล้วมันรู้สึกแปร่งๆ แต่ถึงอย่างนั้น บาร์บาทอสเองก็เป็นตัวละครหนึ่งที่มีฐานแฟนที่เข้มแข็ง ในบอร์ดต่างเรียกเธอว่าเป็น SMโลลิ อยู่บ่อยครั้ง แต่ผมก็ยังคงไม่เข้าใจพวกเขาอยู่ดี
“ข้าน่ะ สนุกมากหลังจากไม่ได้สนุกอะไรแบบนี้มานานแล้ว อ่าาา ไอ้การที่ได้เห็นนังกะหรี่นั่นโกรธ!”
“ดูเหมือนท่านจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อฝ่าบาทไพม่อนนะครับ”
“เฮอะ ฝ่าบาท? นี่แกเรียก นังนั่นว่า ฝ่าบาท?”
คิ้วบางๆของบาร์บาทอสขมวด
“แกจะสุภาพไปทำไม? ห้ะ ไอ้หนู? นี่หัวแกไปชนเสามารึไง? หรือแกไม่ใช่จอมมาร?”
“ผมเป็นจอมมารครับ”
“ใช่เลย มันเยี่ยมมากที่แกตอบทันที เฮ้ย ถ้าแกเป็นจอมมาร แล้วนังนั่งก็เป็นจอมมาร ทำไมคนฐานะเดียวกันถึงต้องมาคุยกันแบบเป็นทางการวะ? ข้าไม่เข้าใจ หรือแกเป็นขี้ข้านังร่านนั่น?”
“ไม่ใช่ครับ”
“ถูกแล้ว แกไม่ใช่ขี้ข้ามัน! ฝ่าบาทอย่างงู้ง อะ ฝ่าบาทอย่างงี้ โอ้ย ข้าไม่รู้แล้วว่ะที่ข้าอยู่นี่มันคืนวัลเพอกีสหรืออยู่หลังปราสาทตัวเองวะ”
วิธีการพูดของเธอนั้นดูดิบเถื่อนขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกจากเธอ ผมควรจะบอกว่ายังไงดี มันอาจจะขัดกับรูปร่างหน้าตานะ แต่……เธอน่ะเป็นผู้นำสายหัวโจกนักเลง หัวหน้ามาเฟีย
“ถ้าอย่างนั้นผมจะเรียกว่า ท่านบาร์บาทอสนับจากนี้ก็แล้วกัน”
“พูดตามปกติก็ได้ ไอ่ห่าเด็กใหม่ นี่แกดูถูกข้าเพราะข้าแกอย่างนั้นเรอะ? ปฏิบัติกับผู้อาวุโสด้วยความเคารพแล้วแกจะได้ไปนรกไวขึ้น”
“ฮ่าฮ่า”
ผมหัวเราะออกมา แม้ในเกมเอง เธอก็เป็นตัวละครที่มีนิสัยเปิดเผย เด็ดเดี่ยวตั้งแต่กำเนิด แม้คนแบบนี้จะมีตำแหน่งที่สูง แต่ก็ยังสามารถทำลายขอบเขตอำนาจด้วยแนวคิดบ้าอำนาจของตัวเองได้
ทำไม? ก็ข้าแข็งแกร่งพอจะทำลายของพวกนั้นน่ะมีอะไรไหม?
นี่คือความประทับใจที่เธอมอบให้กับผู้คนรอบๆเธอ
การเพิ่มค่าความชอบของบาร์บาทอสนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายมากหากเทียบกับจอมมารอื่น
ผมยื่นมือขวาออกไป
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย บาร์บาทอส ข้าชื่อ ดันทาเลี่ยน”
“อ้าว? ตอนนี้พูดแบบเป็นกันเองแล้วเรอะ!?”
บาร์บาทอสคว้ามือไปจับ เธอสวมถุงมือสีขาว สัมผัสนุ่มๆของผ้าคุณภาพสูงนั้นอยู่ในมือผม
“ผมจะไม่ใส่ใจคำพูดของระดับ 8 ได้อย่างไรกัน?”
“อะไรของเอ็งวะ?”
บาร์บาทอสหัวเราะเสียงแหลม ผมไม่พูดเป็นทางการเพราะตอนนี้ผมจริงจังกับคำพูดของคุณ มันดูเหมือนการพูดอ้อมๆนั้นเธอจะเข้าใจมันได้ทันที
“เฮ้ย ดูไอ้หน้าใหม่นี่ดิ ลิ้นลื่นอย่างกับปลาไหลเลยว่ะ เอาล่ะ ถือว่าทำได้ดีมากที่ทำให้นังร่านไพมอนนั่นสัมผัสกับความพ่ายแพ้ขมขื่นดูบ้าง เออๆ ข้าชื่อ บาร์บาทอส ต่อจากนี้จะเรียกอะไรก็เรียกนะ ไอ้หนู”
เธอบีบมือผมแน่นขณะจับมือ แล้วก็มีการแจ้งเตือนขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
「ค่าความชอบของจอมมารบาร์บาทอสเพิ่มขึ้น 5!」
ถูกแล้ว บาร์บาทอสนั้นชอบคนที่กล้าหาญและซื่อตรง เธอยังเป็นชื่นชมฮีโร่เพราะฮีโร่นั้นสามารถต่อสู้กับเธอได้โดยไม่ย่อท้อ บาร์บาทอสนั้นชอบคนไม่แบ่งแยกว่า ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นศัตรูหรือพวกพ้อง
ผมไม่ได้เกลียดจอมมารแบบบาร์บาทอสหรอก เพียงแต่ไม่ใช่อย่างที่พวกโลลิค่อนมันชอบกัน บาร์บาทอสนั้นเป็นผู้เดียวที่ต่อสู้กับปาร์ตี้ผู้กล้าอย่างดุเดือด ทั้งเล่นงานซึ่งหน้าและเล่นตุกติก เธอทำได้ทุกอย่างเพื่อผลักดันให้ปาร์ตี้ผู้กล้านั้นถึงอยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน
(TTL : ไม่ได้เกลียด=ชอบ… ชอบโลลิรุ่นย่า แต่ทำซึนอะเราอะ)
‘เฮ้ย ฆ่าข้าให้ไวเหอะ ไอ้ลูกกะหรี่’
แม้แต่คำพูดในวาระสุดท้ายยังตรงกันข้ามกับของไพมอน
ไพมอนนั้นร้องขอจูบในช่วงลมหายใจสุดท้ายและทิ้งความประทับใจไว้กับฮีโร่ ส่วนบาร์บาทอสนั้นเกรี้ยวกราดและก่นด่าฮีโร่ให้ฆ่าเธอทิ้งให้ไว
งานภาพของเธอยังมีภาพที่เธอตะคอกด่า ตัวละครหลักว่า อีลูกกะหรี่และอะไรต่อมิอะไรต่างๆนาๆ โดยที่บาร์บาทอสยังเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจอยู่บนใบหน้า เธอดูเหมือนหัวหน้าลูกกระจ๊อกที่ปกติจะพบได้ตามหนัง
“ตั้งใจฟังให้ดีนะเว้ย ไพมอนน่ะอาจจะน่ารำคาญสักหน่อย แต่นังนั่นก็ไม่ใช่คนที่ทำร้ายคนอื่นด้วยความโกรธแค้นต่อใคร นี่เอ็งเข้าใจที่ข้าจะสื่อปะวะ?”
“อย่าห่วงเรื่อง ความแค้นเลยครับ ผมจะจัดการไพมอนโดยไม่ให้เหลือซาก”
“ว้าว!”
บาร์บาทอสตาเบิกกว้าง เธอดึงเสื้อของมาร์บาสที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆเธอ
“เฮ้ย ตาแก่ ตาแก่! ดูไอ้หนูนี่เดะ! แม่งฉลาดชิบหาย”
“……ข้ากำลังใช้ความคิด อย่าเพิ่งกวนข้า”
“โว้ว ไอ้ชิบหาย นี่ไอ้ห่านี่มันยังลำดับ 71 เหรอวะ? ถ้าฉลาดระดับนี้ มึงควรจะอยู่แถวๆระดับ 40แล้ว ถึงจะมีชีวิตแบบขอทานก็เหอะ ว่าแต่ที่ผ่านมานี่มึงใช้ชีวิตยังไงวะ?
ตาแก่ แกควรจะชุบเลี้ยงหมอนี่นะ เห็นบ่นๆมิใช่เหรอ ว่า พวกลำดับ 50ขึ้นมานี่ ไม่ดีแบบวันวานอันหวานชื่นของแกนี่”
“เจ้าเคยกล่าวว่า จอมมารนั้นต้องเป็นตัวตนที่สามารถอยู่ได้โดยลำพัง”
มาร์บาสยังคงหลับตา แต่คิ้วกระตุก
“แล้วอีกอย่าง ข้าบอกแล้วว่า อย่ามากวนข้า”
“ข้าแค่พูดไปงั้นเอง ห่าเอ้ย มันรู้สึกดีจะตายที่ได้เจอหน้าใหม่ฉลาดๆบ้าง ที่ผ่านมาข้านี่ต้องมาเจอแต่พวกหน้าโง่ปัญญาอ่อน ตาแก่ บางทีแกทำตัวจริงจังดูสูงส่งเกินไปนะ”
โอ้ คิ้วของมาร์บาสกระตุกอีกแล้ว
ถึงแม้ตาของเขาจะยังปิดอยู่ แต่ชายคนนี้ยังคงรักษาความสูงส่งภาคภูมิไว้อย่างน่าประหลาด
“ไม่ว่าจะยังไง แกชนะอยู่แล้วเว้ย ดังนั้นอย่าห่วงเรื่องหลังจบศึกนี้ แล้วใส่ไปให้สุด ถ้าหากอีกะหรี่นั่นจะพยายามตอบโต้ ข้าจะหยุดนังนั่นเอง เข้าใจใช่มะ?”
“ขอบคุณครับ”
“เหอะเหอะ คิดว่า ข้าทำแบบนี้เพื่อแกหรือไง? ข้าทำเพื่อสั่งสอนนังนั่นที่ไม่เคยใช้สมอง ให้ได้รับบทเรียนบ้าง พยายามทำเต็มที่ล่ะ ดันทาเลี่ยนหรือจะอะไรก็ตาม เท่าที่ดูแกก็เป็นคนที่มีบุคลิกมั่นคงดี ถ้าตั้งใจให้ดี แกอยู่ได้อีกนานแน่”
บาร์บาทอสหันหลังแล้วเดินกลับไปยังจุดเดิม เธอดูเท่มากทั้งตอนที่เดินเข้ามาและเดินจากไป ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากการชื่นชม
เมื่อใดก็ตามที่ผมเห็นใครบางคนแสดงความต้องการของตัวเองโดยไม่สนใคร ผมก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมพวกเขาเสมอ
มาร์บาสถอนใจครั้งหนึ่งหลังจากที่เธอไป
อืม ผมพอจะจับความสัมพันธ์ของทั้งสองที่มีต่อกันได้ในระดับนึงแล้ว หากให้ผมเดาจากบทสนทนาระหว่างมาร์บาสกับไพมอนก่อนหน้าเป็นฐาน ผู้ชายคนนี้เป็นบุคคลที่ให้คุณค่ากับวัฒนธรรมประเพณีเป็นอย่างมาก บุคคลที่สุดจะอันเซนเซอร์อย่างบาร์บาทอสนั้นเป็นตัวตนที่เป็นพิษภัยต่อคนที่มีบุคลิกลักษณะอย่างนั้น
“……ใกล้ครบห้านาทีแล้ว”
มาร์บาสลืมตาขึ้น
โอ้ พระเจ้า ชัดเจนแล้วว่า เขาไม่ได้ปิดตาเพื่อคิดอะไรบางอย่างหรอก แต่เขาปิดตาเพื่อที่จะได้จับเวลาให้ครบห้านาทีนั่น ผมเริ่มค่อยๆเห็นภาพร่างของบุคลิกภาพชายแก่คนนี้มากขึ้นแล้ว
“เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะยุติการพิจารณาคดีที่นี่ หากยังไม่ปรากฏพยาน”
มาร์บาสใช้สายตามองไปยังที่ทางเข้าบอลรูม
“แม้เกือบจะไม่ทันเวลา แต่ตัวข้าจะไม่ใส่ใจเรื่องนั้น”
ขณะนั้นเองที่ บุคคลสองคนได้เดินเข้ามาทางประตูหินอ่อน
ผู้หนึ่ง คือ ไพมอน อีกผู้หนึ่งคือ ก็อบลินทอร์เค่ล ผู้ที่ตัวเตี้ยกว่าไพมอน ทอร์เค่ลนั้นแสดงสีหน้าสุขุมและสงบออกมา ในขณะที่สีหน้าของไพมอนนั้นเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา
“อยู่นี่! คนนี้แหละทอร์เค่ล”
ไพม่อนส่งเสียงดังอย่างเชื่อมั่นราวกับว่า เธอนั้นได้ชัยไปแล้ว
“มีอะไรก็ถามเขาได้เลย ทอร์เค่ลจะยืนยันเองว่า ดันทาเลี่ยนนั้นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกาฬโรค!”
“หืมม”
มาร์บาส มองไปยังอิวาร์เพื่อยืนยันว่า ก็อบลินตัวนี้เป็นผู้บริหารบริษัทเคียนคุสก้าตัวจริง อิวาร์โค้งด้วยความเคารพ มาร์บาสพยักหน้าตอบรับ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ก็อบลินเฒ่า เจ้าเลือกที่จะเป็นพยานให้กับการพิจารณาคดีนี้ จงก้าวออกมาข้างหน้า”
“เป็นเกียรติที่ได้พบกับเหล่าฝ่าบาททั้งหลาย”
ทอร์เค่ลก้าวออกมายังใจกลางห้องบอลรูม เหมือนเช่นก่อนหน้า เขาถือไม้เท้าที่สูงเป็นสองเท่าของตน เขาเอนตัวลงพร้อมไม้เท้าที่ค้ำจุนร่าง แล้วโค้งให้กับทั้งสี่มุมห้อง
ผมบอกได้เลยว่าผม เขาตั้งใจโค้งอย่างแรงกล้า
‘……หืมมม’
ผมสงสัยบางอย่างขึ้นมา ผมสงสัยเหลือเกินว่าทอร์เค่ลจะสามารถพลิกสถานการณ์จากจุดนี้ได้ยังไง
เนื่องจากตั้งแต่เริ่มแล้วความจริงที่ว่าผมไม่ได้เป็นคนแพร่กระจายกาฬโรค แม้เขาจะเป็นหนึ่งในผู้บริหารสูงสุดของบริษัท แต่ไม่มีทางที่จะแกล้งทำเป็นว่า เรื่องพวกนั้นไม่เคยได้เกิดขึ้นมาก่อน ⎯⎯⎯โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้มาอยู่ต่อหน้าเครื่องจับเท็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ในอกของโทลเค่ลจึงเต็มไปด้วยความกล้าหาญเยี่ยงอัศวินที่พร้อมจะเข้าสู่สนามรบ มันให้ความรู้สึกเหมือนเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
‘แต่มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงกัน?’
ไม่ว่าไพมอนจะต้องการมันหรือไม่ ความรับผิดชอบทั้งหมดทั้งมวลนี้จะถูกส่งไปให้ทอร์เค่นแห่งบริษัทเคียนคุสก้าเป็นผู้แบกรับการกระทำของเธอผู้เดียว เพิ่มเติมไปว่า บริษัทนั้นยังมีผู้บริหารคนอื่นๆอีก อิวาร์อาจจะยอมถอยเพราะการข่มขู่ของผม แต่ทอร์เค่ลจะไม่ได้มีทางได้รับความช่วยเหลือใดๆจากบริษัท
ไม่ว่าผมจะคิดยังไง ผมก็คิดไม่ออกเลยว่า ทอร์เค่ลจะทำอะไรได้ ผลลัพธ์ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว คนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็คงมีแต่ไพมอน และบางคนที่นี่
ผมรู้สึกถึงความประหม่าจากความเป็นไปได้ที่ทอร์เค่ลอาจจะมีไพ่ไม้ตาย ซึ่งตอนนี้ผมใช้จนหมดแล้ว ผมไม่สามารถที่จะข่มขู่มาร์บาสและบังคับให้เขาจบการพิจารณาคดี
“ข้าขอไต่สวนเจ้า เจ้าใช่คนที่ระบุว่า ดันทาเลี่ยนคนนี้ เป็นผู้อยู่เบื้องกาฬโรคหรือไม่?
“ใช่ขอรับ เป็นสิ่งที่ผู้น้อย ผู้นี้พูดเอง”
“แล้วเจ้ามีข้อสรุปเช่นนั้นได้อย่างไร? หากเจ้ามีหลักฐานยืนยันจงนำมันออกมาแสดงบัดนี้”
“ครับ”
ทอร์เค่ลได้ยกร่างท่อนบนขึ้น เขามองตรงไปยังมาร์บาสขณะที่พูด ไพมอนมองทอร์เค่ลจากด้านหลังด้วยรอยยิ้มที่ริมฝีปาก
รอยยิ้มนั้นอยู่ไม่เกินสิบวินาทีก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นความตกตะลึง
“ผู้น้อยเป็นบอกกับฝ่าบาทไพมอนเอง ว่าฝ่าบาทดันทาเลี่ยนต้องสงสัยว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดกาฬโรค แต่ถึงอย่างนั้น มันเป็นเรื่องโกหก โกหกทั้งเพ”
“อะ-อะไรนะ!?”
สีหน้าของไพมอนแสดงความงุนงงออกมา ส่วนมาร์บาสนั้นกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลง เขาเพียงแต่จ้องไปที่ทอร์เค่ล เขากำลังประเมินอยู่ว่า อีกฝ่ายนั้นโกหกหรือกำลังพูดความจริง
แต่ถึงอย่างนั้น ทอร์เค่ลก็ไม่ได้หยุด เขายังคงพูดต่อไป
“ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนกับข้านั้นมีความสัมพันธ์กันเล็กน้อย
ครั้งหนึ่งฝ่าบาทได้พบสมุนไพรที่สามารถรักษากาฬโรคได้ เมื่อข้าเห็นคุณค่าในสินค้าของฝ่าบาท ข้าเป็นผู้ที่เข้าหาฝ่าบาทเป็นการส่วนตัวและแนะนำตนเองให้เป็นผู้จัดการส่วนตัว แต่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนปฏิเสธข้า โดยบอกว่า มีผู้จัดการส่วนตัวอยู่แล้ว”
ทอร์เค่ลนั้นยกไม้เท้าขึ้นและชี้ไปมุมหนึ่งของบอลรูม
“แม่หนูที่อยู่นั่นเป็นคนที่ดูแล ลาพิส ลาซูลิ เธอไม่ได้เป็นอะไรเลยมากไปกว่า พนักงานระดับล่าง ข้าที่ถูกปฏิเสธก็เหมือนกับโดนดูหมิ่นอย่างร้ายแรง
ข้าเป็นผู้ที่มีชีวิตในฐานะพ่อค้ามานานกว่าร้อยปี การที่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนได้ปฏิเสธตัวข้านั้นสร้างรอยแผลให้กับศักดิ์ศรีของข้าในฐานะพ่อค้า ดังนั้น…….”
“ทอร์เค่ล! นี่ท่านพูดอะไรของท่านน่ะ ทอร์เค่ล!?”
ไพมอนกรีดร้องขึ้นมา
“มองที่เลดี้ผู้นี้! จงมองมาที่เลดี้ผู้นี้ เดี๋ยวนี้!”
“……ดังนั้น ข้าจึงกระทำการโดยไม่คิดและตัดสินใจจะแก้แค้นฝ่าบาทดันทาเลี่ยน ด้วยการท้าทายในฐานะพ่อค้าเคียนคุสก้า ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องโต้ตอบบางอย่างกลับไปบ้าง”
ตอนนี้ผมเข้าใจเจคนาทอร์เค่ลเป็นอย่างดีแล้ว
⎯⎯⎯ช่างเป็นชายที่น่าสะพรึงเสียนี่กระไร
ผมหันไปหาอิวาร์เพื่อดูว่า เขาจะทำยังไง อิวาร์ยังคงยืนอยู่เงียบๆโดยหลับตาลง แม่งเอ้ย! อยากจะพ่นลมฮึดฮัดบ้างซะจริง นี่แกคิดจะเล่นแบบนี้สินะ
“ข้าได้เข้าใกล้ฝ่าบาทไพมอนและพูดว่า : ดันทาเลี่ยนนั้นพยายามจะกำจัดมนุษย์ทั้งหมด ดันทาเลี่ยนนี่แหละที่เป็นคนสร้างโรคระบาดทื่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยความบังเอิญที่มีเหตุการณ์ฆาตกรรมฝ่าบาทอันโดรมาลิอุสพอดี พวกเราควรใช้โอกาสนี้เพื่อจัดการกับดันทาเลี่ยน ฝ่าบาทมาร์บาสคิดอย่างไร? มีคำโกหกใดๆในคำพูดของผู้ต้อยต่ำผู้นี้ไหม?”
“อืมม.”
“ข้ากล้าที่จะพูดว่า ไม่มีเลยแม้แต่น้อย มันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพราะสิ่งที่ผู้ต้อยต่ำพูดเป็นความจริง
ขอประกาศว่า ทั้งหมดนี้เป็นแผนที่ผู้ต้อยต่ำอย่างข้าเป็นผู้ก่อเองเพียงลำพัง
นับตั้งแต่เคียดแค้นฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเป็นการส่วนตัว ไปจนถึงการแสดงออกเพื่อที่จะทำร้ายฝ่าบาทดันทาเลี่ยน การขายข้อมูลของฝ่าบาทดันทาเลี่ยน ทั้งที่เป็นลูกค้าของบริษัทเคียนคุสก้า ทั้งกับฝ่าบาทไพมอน
ส่วนกับฝ่าบาทไพมอน เป็นเพียงผู้หลงผิด ฝ่าบาทไพมอนนั้นทำทั้งหมดลงไปเพราะเชื่อใจในคำพูดก็อบลินเฒ่าผู้นี้
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าได้ทำเกินเลยไป ขอให้ตำหนิผู้ต่ำต้อยผู้นี้แต่เพียงผู้เดียวเถิด”
และก็แทบไม่ให้โอกาสทำอะไรเลย
“ข้าจะขอประทานอภัยโทษต่อเหตุการณ์นี้ด้วยชีวิตของข้า”
ทันทีที่จบประโยค
ทอร์เค่ลก็ควักมีดขึ้นมาจากในเสื้อคลุมแล้วแทงเข้าไปที่คอตนเอง มีดนั้นทะลวงเข้าคอผอมๆของก็อบลินลงไปอย่างง่ายดาย ปลายมีดเสียบทะลุออกหลังคอราวกับหนาม
ร่างเล็กของก็อบลินล้มพับลงกลางพื้นบอลรูมที่เย็นเฉียบ