dungeon defense - ตอนที่ 43 ราตรีวัลเพอกีส(8)
ยังคงเงียบงัน
มาร์บาสดูจะเหนื่อยหน่ายถึงขั้นหยิบแว่นออกมาเช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้าอีกครั้ง
บาร์บาทอสนั้นหัวเราะคิกคักหลังจากที่เธอใช้ส้อมจิ้มเค้กในอีกด้านของบอลรูม
จอมมารตนอื่นยังคงเงียบด้วยความตะลึงกับเหตุการณ์ที่ไม่ปรกติที่ก็อบลินเฒ่าตนนั้นได้แสดงให้ดู มันเป็นชั่วขณะที่ตกอยู่ในความสงบราวกับผู้คนต้องกลั้นหายใจต่อการแสดงที่ยอดเยี่ยม
“อะ.……อ๊าาาา……?”
ไพมอนนั้น…. ไพม่อนนั้นได้ทรุดเข่าลงข้างๆศพ
“อะ……อะ, อะ…….”
เสียงที่เธอเปล่งออกมาทุกเสียงนั้นมันเหมือนเสียงจากลำโพงที่ช็อต
เหตุการณ์ที่เธอไม่เคยจะจินตนาการถึงได้เกิดขึ้นแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือสงสัย ความโชคดีจากไปไว ความโชคร้ายมาหาไวยิ่งกว่า
ผมได้คิดไว้แล้วถึงวิธีการจัดการสถานการณ์แบบนี้นับตั้งแต่เรื่องราวชักซับซ้อนขึ้นเพราะทอร์เค่ลฆ่าตัวตายจากแบกรับความรับผิดชอบทั้งหมดไว้
ทอร์เค่ลนั้น รู้จักใช้คำพูดที่ฉลาด
‘ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนกับข้านั้นมีความสัมพันธ์กันเล็กน้อย’
เขาเริ่มต้นเปิดฉากจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ความจริงที่เราได้พบกันในช่วงเหตุการณ์กาฬโรค ความจริงที่ว่ามีการปะทะกันนิดหน่อยเรื่องลาพิส และยังเป็นความจริงทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้น พอเป็นอย่างนั้นก็เลยกลายเป็นว่า ไม่มีการโกหกใดๆเลยตั้งแต่ต้น เขาได้รับความเชื่อถือจากจอมมารเป็นอย่างดี
เขามุ่งต่อไปหลังจากที่ได้รับความเชื่อถือแล้ว
‘การที่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนได้ปฏิเสธตัวข้านั้นสร้างรอยแผลให้กับศักดิ์ศรีของข้าในฐานะพ่อค้า ……ดังนั้นข้าจึงกระทำการโดยไม่คิดและตัดสินใจจะแก้แค้นฝ่าบาทดันทาเลี่ยน ด้วยการท้าทายในฐานะพ่อค้าเคียนคุสก้า ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องโต้ตอบบางอย่างกลับไปบ้าง’
หลังจากพูดยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้ว เขาก็เริ่มพูดเรื่องสภาวะจิตใจตัวเอง ความภาคภูมิใจที่ถูกทำร้าย ทั้งหมดที่พูดมันคือ ความรู้สึก สภาวะทางจิตล้วนๆ แน่นอนว่า ความภูมิใจของทอร์เค่ลต้องโดนทำร้ายบ้างล่ะ แต่แล้วยังไง? มันเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ครั้งนี้?
เขาเป็นพ่อค้าที่ใช้ชีวิตมาร้อยกว่าปี เขาควรจะทำลงไปด้วยเหตุผลมากกว่าด้วยอารมณ์ แต่นั่นคือ สิ่งที่เขารู้สึกและแยกมันออกจากกัน แทนที่จะเปิดเผยถึง จุดยืนของบริษัทเคียนคุสก้าว่าทำอะไรลงไป แต่เขากลับระบายความรู้สึกออกมาทำให้ดูเหมือนว่า มันเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ในครั้งนี้
ขอให้ไฮไล้ท์ตรงคำว่า ‘การโต้ตอบบางอย่าง’
อะไรล่ะคือ ‘ไอ้บางอย่าง’ ที่ว่า?
เขาเวียนวนอยู่กับการใช้คำกำกวมแทนที่จะใช้คำที่เป็นรูปธรรมชัดๆ
‘ขอประกาศว่า ทั้งหมดนี้เป็นแผนที่ผู้ต้อยต่ำอย่างข้าเป็นผู้ก่อเองเพียงลำพัง
นับตั้งแต่เคียดแค้นฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเป็นการส่วนตัว ไปจนถึงการแสดงออกเพื่อที่จะทำร้ายฝ่าบาทดันทาเลี่ยน การขายข้อมูลของฝ่าบาทดันทาเลี่ยน ทั้งที่เป็นลูกค้าของบริษัทเคียนคุสก้า ทั้งกับฝ่าบาทไพมอน’
เพิ่มสิ่งนี้เข้าไปอีก เขาเล่นคำกับ การที่ระบุว่า ตัวเขานั้นประกาศว่า ตัวเขาได้ทำมันคนเดียว
แผนนี้เขาไม่ได้วางขึ้นด้วยตัวเองคนเดียวหรอก ไม่มีทางที่เขาจะเป็นคนวางแผนนี้เองคนเดียว หากแต่เป็นผู้รับความรับผิดชอบในแผนนี้ต่างหาก
คนที่เกี่ยวข้องคงมีมากมายตอนวางแผน แต่ตอนประกาศก็ให้ประกาศรับไปคนเดียว
ลูกเล่นวาทศิลป์ของทอร์เค่ลเป็นแบบนี้
หนึ่ง เริ่มจากพูดความจริง ทำให้ดูเหมือนกับว่า ตัวเขานั้นจริงใจ
สอง หลังจากนั้นอย่างนั้น เขาก็ทำให้คนอื่นเชื่อว่า ตัวเองพูดความจริงหลังจากพูดเรื่องสถานะทางความรู้สึก
สาม เขาพูดคำที่กำกวมเพื่อปิดบังข้อเท็จจริงทั้งหลาย
“……มันช่างสมบูรณ์แบบ”
ผมพบว่า แม้แต่ตัวเองก็ยังพูดแบบนั้น พ่อค้าจอมเจ้าเล่ห์ที่สามารถหลอกลวงจอมมารมากมายได้ในระยะเวลาอันสั้น
การฆ่าตัวตายเป็นดาบสุดท้าย มันมีโอกาสที่ถ้อยคำกำกวมของพวกเขาที่ปกปิดความจริงไว้จะถูกเผยออกมาหากถูกถาม ดังนั้นเพื่อไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเขาจึงต้องตาย ผมทำอะไรไม่ได้จากชื่นชม
มันก็เป็นปรกติสำหรับคนๆหนึ่งที่จะช็อคหลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในอีเว้นท์นี้ ใครจะไปจินตนาการได้ล่ะว่า จอมมารลำดับ 9 จะถูก จอมมารลำดับ 71 จัดการ?
แต่ถึงอย่างนั้น ทอร์เค่ลไม่ได้เพียงแค่คิดคำนวนลดความเสียหายให้มากที่สุด หากแต่เขายังแบกรับมันไว้ด้วย⎯⎯⎯จากเปลี่ยนความผิดพลาดของบริษัทและความสะเพร่าของไพมอนให้กลายเป็นแผนที่พ่อค้าชั่วร้ายอย่างเขาวางไว้
นี่เขาได้คำนวนว่า ชีวิตของเขานั้นเป็นราคาที่คู่ควรพอให้ลูกเล่นนี้สำเร็จด้วยไหมนะ?
‘นี่เองน่ะรึ พ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกปีศาจ’
หากคนที่ผมต้องเผชิญหน้าเป็นทอร์เค่ลมิใช่ไพมอน ……การจะเอาชัยมาได้ต้องยากกว่านี้แน่
‘เอาล่ะ’
วางเรื่องไพมอนไว้ก่อน ผมให้ความนับถือก็อบลินตัวนี้จริงๆ
ถึงแม้จะโชคไม่ดีนักที่ผมไม่ได้รับชัยชนะอันสมบูรณ์แบบ บางมุมในใจผมอยากที่จะมองข้ามมันไปเพราะอุบายแลกชีวิตของก็อบลินตัวนี้ บริษัทเคียนคุสก้าและไพมอนต่างเป็นฝ่ายที่มีอำนาจท่วมท้นกว่าฝ่ายผม
ผมให้เหตุผลกับตัวเองภายใต้ตรรกะที่ว่า อนาคตของผมนั้นจะน่าเป็นห่วงแน่หากยังไล่ต้อนพวกเขามากจนเกินไป
“ข้าจักมอบคำตัดสิน”
มาร์บาสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ในฐานะลำดับที่ 9 จอมมารแห่งการทำลายล้าง,ไพมอน ได้ร้องขอต่อสิ่งนี้ ภายใต้การพิจารณาคดีที่ได้รับการยืนยันจากข้า ลำดับที่ 5 จอมมารแห่งการควบคุม,มาร์บาส มีสองประเด็นที่ต้องตัดสิน”
เสียงราบเรียบของเขานั้นดังก้องไปทั่วถึงทุกมุมในห้องบอลรูม ผมสามารถได้ยินเสียงของมาร์บาสชัดแม้จะพูดด้วยเสียงต่ำ ไพมอนยังคงนั่งข้างศพนิ่งๆเช่นเคย เขาก็ยังพูดต่อไป
“ประเด็นแรก คือ เรื่องของ ลำดับที่ 72 จอมมารแห่งความกลัว,อันโดรมาลิอุส เหตุการณ์การฆาตกรรมอันโดรมาลิอุส ไพมอนได้ถาม ลำดับที่ 71 จอมมารหลากหน้า,ดันทาเลี่ยน ให้จำคุกเขาเป็นเวลา 300ปี ตามประเพณีนิยมแล้ว พวกเราจะตัดสินกันด้วยการใช้สิทธิ์โหวต”
“สำหรับผู้ที่เชื่อว่า ดันทาเลี่ยนนั้นมีความผิด ยกมือขวาขึ้น”
ผมไม่ได้มองดูทั่วๆเพราะการทำแบบนั้นทำให้ดูอ่อนแอ ผมจึงรออย่างเงียบๆและมั่นใจ
มาร์บาสรอเกือบสิบวินาทีก่อนที่จะพยักหน้า
“0 โหวต สำหรับหัวข้อแรก ข้าขอประกาศว่า ดันทาเลี่ยนนั้นไร้ความผิด”
ผมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีอกดีใจ มันเป็นผลลัพธ์ที่ควรออกมาแบบนี้อยู่แล้ว
สิ่งสำคัญไม่ใช่ชนะหรือแพ้ หากแต่เป็นการที่ชัยชนะของผมนั้นมันขาดลอยขนาดไหน
การโหวตนั้นเป็นข้อพิสูจน์ถึงเส้นสายผ่านการประเมินความนิยม ไม่ได้เกี่ยวว่า เหล่าจอมมารจะชอบผมเป็นการส่วนตัวหรือไม่
แต่ผู้ที่มีเจตนาร้ายกับผมหลังจากการพิจารณาคดี ผมในฐานะที่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าจอมมารอย่างท่วมท้นจะจดจำชื่อ พวกเขาไว้
มาร์บาสยังคงพูดต่อ
“ประเด็นที่สองเกี่ยวกับกาฬโรค ไพมอนได้อ้างว่า ผู้เป็นสาเหตุและแพร่กระจายกาฬโรคนั้นคือ ดันทาเลี่ยน สำหรับผู้ที่เชื่อว่า สิ่งนี้เป็นความจริง ขอให้ยกมือขวาขึ้น”
เมื่อสิบวินาทีผ่านไป มาร์บาสก็ขยับปาก
“0 โหวต”
ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย
นี่มันยอดเยี่ยม! ผมทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
ในช่วงเวลาสั้นๆ ผมกลับไม่ห่วงแล้วว่าจะถูกจอมมารตนอื่นเกลียด ไม่ว่าจะเป็นจากจอมมารที่อยู่หรือไม่อยู่ที่นี่
แล้วพวกเขาจะคิดยังไง ถ้าได้ยินเรื่องที่ว่า ลำดับที่71 สามารถเอาชนะ ลำดับที่ 9 ได้? เขาจะไม่คิดหรือว่า ลำดับที่71 นั้นยอดเยี่ยมกว่าลำดับที่ 9 ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากสั่นกลัว?
ผมล่ะสงสัยจริงๆ
ลำดับที่ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ ความภาคภูมิใจในความสามารถก็ยิ่งมีสูง ยิ่งไปกว่านั้น จอมมารลำดับสูงกว่าไพมอนอาจจะโยงเรื่องที่เธอพ่ายแพ้นี้เข้ากับเรื่องอื่นด้วย ตัวอย่างเช่น การให้ความช่วยเหลือจากเหล่าจอมมาร
ผมค่อนข้างแน่ใจเลยว่า พวกเขาจะแปลความหมายเหตุการณ์นี้เป็นไปในเชิงการต่อสู้ทางการเมืองระหว่าง จอมมารระดับสูงสองตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบาร์บาทอสโผล่มาหาผมในช่วงสั้นๆเพื่อคุยเล่นกับผม!
บาร์บาทอสที่มาหาผมเพียงเพื่อจะบอกเจตนาว่า เธอจะปกป้องผมเผื่อมีโอกาสเล็กน้อยที่จะถูกคุกคามทำร้ายจากอีกฝ่าย อย่างไรก็ดี มันก็ไม่แน่นักว่าจะเกิดขึ้น แต่พวกเขาจะนึกได้ว่า ไพมอนกับบาร์บาทอสนั้นเป็นศัตรูเก่าแก่และอนุมานว่า นี่อาจจะเป็นแผนลับที่บาร์บาทอสวางไว้…….
ไม่ว่าอย่างไร ผมก็ได้รับประโยชน์ด้วยการใช้ข้อกังวลสงสัยและหาประโยชน์จากการมาของเธอได้
ในขณะที่จอมมารทั้งหลายต่างให้ความสนใจกับฝ่ายสนับสนุนผมที่แทบไม่ได้มีอยู่จริง ผมก็สามารถพัฒนาดันเจี้ยนต่อไปอย่างปลอดภัย
ผมไม่คาดคิดเลยว่า การทำให้ตัวเองได้โล่ที่ยอดเยี่ยมจะเกิดขึ้นตอนที่ผมมาพักผ่อนที่เนฟเฮม ทั้งหมดทั้งมวลต้องขอขอบคุณไพมอนที่เข้ามาสอดโดยไม่จำเป็น ผมคิดว่า ผมเริ่มจะชอบเธอขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ ว่าไปนั่น ล้อเล่นน่ะ
“…….”
ไพมอนยังคงมองที่ใบหน้าของทอร์เค่ลด้วยแววตาที่หลุดลอย ดูเหมือนเธอไม่มีกำลังพอจะส่งเสียงด้วยซ้ำ
มาร์บาสได้สรุปผลการตัดสินด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นแต่เหมาะสมกับการเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
“สำหรับประเด็นที่สอง ข้าขอตัดสินให้ดันทาเลี่ยนไร้ความผิด”
บางคนปรบมือให้ เมื่อผมหันกลับไป ผมก็เห็นบาร์บาทอสปรบมือให้ด้วยมือที่เล็กและซีด จอมมารตนอื่นเริ่มตบมือตาม จากสองเป็นสาม ไม่นานจอมมารมากกว่าครึ่งก็เริ่มปรบมือตามด้วย
ผมแสดงความขอบคุณด้วยการโค้งให้กับทั้งสี่ทิศในห้อง มันช่างเป็นอะไรที่น่าประหลาดเกี่ยวกับ องค์ประกอบทั้งหลาย: กลุ่มคนที่ปรบมือให้,ศพที่นอนอยู่กลางบอลรูมโดยมีสาวน้อยนั่งอยู่ข้างๆและชายผู้กำลังโค้งคำนับ
นี่มันช่างเป็นสิ่งที่เหมือนกับสิ่งที่กลาดิเอเตอร์ในยุคโรมันรู้สึกตอนที่ได้รับชัยชนะจากโคลอสเซียมเลยไม่ใช่หรือ?
“ต่อไปเราจะหารือกันเกี่ยวกับการลงโทษไพมอน”
“ฝ่าบาทมาร์บาส ขอโอกาสให้ข้าได้พูดอะไรบางอย่างสักหน่อยได้หรือไม่?”
ผมก้าวออกมาข้างหน้า
“ข้าอนุญาต”
“ขอบคุณมาก แม้ว่าผู้ต่ำต้อยผู้นี้จะถูกใส่ร้ายดังที่พวกท่านเป็นประจักษ์พยาน แต่ถึงอย่างนั้นฝ่าบาทไพมอนก็ถูกพ่อค้าเคียนคุสก้าหลอก ฝ่าบาทไพมอนจึงมิใช่ผู้ทำผิดอะไรเลย”
โฮ่
จู่ๆมาร์บาสก็ทำเสียงแสดงความสนใจออกมา
“สิ่งที่เจ้ากำลังจะพูดก็คือ…….”
“ถูกแล้วครับ ในฐานะผู้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดี ข้าไม่ปรารถนาให้ฝ่าบาทไพมอนถูกลงโทษ ตั้งแต่แรกแล้ว ค่ำคืนนี้มันเป็น ราตรีวัลเพอกีสอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามิใช่หรือ? การจะมาลงโทษกันในสถานการณ์แบบนี้มันไม่กลายเป็นการทำลายอารมณ์งานเลี้ยงรื่นเริงของพวกเราไปหรือครับ?”
ผมเผยยิ้มอย่างพออกพอใจ
จอมมารเริ่มเข้ามาห้อมล้อมรอบตัวผม พวกเขาดูประหลาดใจ และไม่เพียงแค่นั้น ไม่มีใครคัดค้านความคิดนั้น
คนนอกอาจไม่พอใจนักกับการที่มีใครสักคนหนึ่งออกมากล่าวหาพวกเขาอย่างนี้
สิ่งที่ทำให้ผมกังวลใจนิดหน่อยคือ ท่านบาร์บาทอส ผู้ที่อยู่ในมุม ดูเหมือนจะไม่พอใจจึงทำกำลังทำหน้าบึ้ง แต่ผมก็ไม่พบว่า แจ้งเตือนว่า ค่าความชอบของเธอลดต่ำลง ที่มันอาจหมายถึงว่า ไม่เป็นไรก็ได้
「ค่าความชอบของ จอมมารมาร์บาส เพิ่มขึ้น 12」
‘เยี่ยม’’
ผมอุทานอยู่ในใจ นี่คือสิ่งที่ผมเล็งไว้ ผมไม่ได้รู้จักเขามานาน แต่ก็สามารถบอกได้ง่ายๆว่า ชายแก่คนนี้คือ บุคคลที่ให้คุณค่ากับธรรมเนียมปฏิบัติอย่างมาก
ไม่สำคัญว่าเขาจะพยายามทำตัวสงบเพื่อให้คนอื่นเห็น ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่ดีใจกับเหตุการณ์อย่างนี้ เหตุการณ์ที่เขาเป็นผู้นำ และได้ถูกก่อกวนด้วยการพิจารณาคดี เขาแสดงออกเช่นนั้นเป็นครั้งคราวระหว่างการตัดสิน
เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อคำร้องขอของลำดับที่ 9 ในฐานะผู้คุมงานเลี้ยงนี้ได้…….แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ขึ้นกับบุคคลที่ตกเป็นจำเลย ฟ้องร้องกล่าวโทษด้วย
พอผมได้แนะนำให้เราทุกคนต่างลืมเรื่อง การพิจารณาคดีและสนใจงานที่จัดในวันนี้ มันก็เหมือนผมได้รดน้ำให้กับสวนที่แห้งแล้ง
“ยอดเยี่ยมมาก ถ้าอย่างนั้นตัวข้าจะรับคำแนะนำของดันทาเลี่ยน และจะไม่ลงโทษใดๆ ข้าต้องขอบใจเจ้าเป็นการส่วนตัวนะ ดันทาเลี่ยน สำหรับความใจกว้างของเจ้า”
แน่นอนว่าเขากินเบ็ด
ในสายตาผู้อื่น ดันทาเลี่ยนนั้นปรากฏว่าเป็นจอมมารลำดับ 71 ไม่ใช่บุคคลกระจอกงอกง่อย แต่เป็นบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองจากทั้งบาร์บาทอสและมาร์บาส จอมมารระดับสูงถึงสองตน ผมรู้เลยว่าโอกาสการรอดชีวิตของตัวเองนั้นสูงขึ้นมาก
“แต่ถึงอย่างนั้น ไพมอนอาจไม่ได้มีความผิดแต่ใช่ว่า เธอจะปัดความรับผิดชอบของตนได้”
มาร์บาสพูดด้วยน้ำเสียงที่สดชื่น
“ไพมอน ใช้โอกาสอันดีนี้ขอโทษดันทาเลี่ยนเสียสิ”
ขณะนั้นเอง ไพมอน ผู้ที่นิ่งเป็นตุ๊กตามาตลอดกลับกระตุกขึ้น
“คำขอ……โทษ……?”
“ถูกต้องแล้ว”
“…….”
ไพมอนพยายามจะยันตัวขึ้นด้วยมือตนเอง
เธอพยายามจะลุกขึ้นแต่ล้มเหลว
“เป็นไปไม่ได้……ไม่มีทางที่ทอร์เค่ลจะ…….”
“เจ้าก็สามารถอ่านอารมณ์ของก็อบลินตัวนั้นได้นี่ นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันหลอกเจ้า”
“……เขานั้น……หักหลังเลดี้ผู้นี้?”
“ถูกต้อง”
ไพมอนหันกลับมาหาผม
ในที่สุดเธอก็กำลังจะทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว
“……ไม่มี, ความผิด?”
“ใช่แล้ว ฝ่าบาทไพมอน”
ผมตอบกลับไป
“ข้าไม่ได้เป็นผู้สร้างกาฬโรคขึ้นมา และไม่ใช่ผู้ตั้งใจจะแพร่โรคระบาดนั่นด้วย”
“…….”
ไพมอนชะงักไปชั่วครู่
หลังจากชั่วขณะที่รู้สึกทั้งโล่งอกและยาวนาน เธอก็ได้ขยับปาก
“……ขะข้า ……ขอ…….”
มันช่างเป็นน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ
ผมเข้าใจสิ่งที่เธอจะพูดได้เพียงแค่ขอมองหน้าเธอ แต่ถึงอย่างนั้น เธอต้องทำในสิ่งที่ควรทำ เธอจึงพยายามพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ข้า……ขอโทษ…….”
“…….”
“ข้าขอโทษ……ข้าขอโทษ…….”
หยดน้ำตาไหลลงมากระทืบพื้นหินอ่อน ไพมอนยังคงพูดคำนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาได้เองอย่างอ่อนแรงแล้วเดินออกจากบอลรูมไป มนุษย์หมาป่ารีบเข้ามาดูแลเธอทันที บางทีอาจจะเป็นคู่ของไพมอนก็เป็นไปได้
ความเงียบงันอันน่าประหลาดกดลงมายังห้องทั้งห้อง
มาร์บาสปรบมือขึ้นหนึ่งครั้ง
“แม้จะมีสิ่งมากมายเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่า ราตรีวัลเพอกีสคืนนี้นั้นเป็นจุดประสงค์หลัก”
ในขณะนั้นเอง บอลรูมที่เคยห้อมล้อมไปด้วยความมืดกลับได้รับการเติมเต็มด้วยแสง โคมแชนเดอเลียร์มากมายที่แขวนอยู่บนเพดานเปล่งแสงสว่างออกมา เครื่องดนตรีมากมายนั้นลอยมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มาอยู่ตรงหน้าแล้วพวกมันก็เริ่มบรรเลงด้วยตัวเอง
จอมมารต่างหัวเราะคิกคักในทันทีที่อารมณ์เป็นแบบนั้น พวกเขาอาจจะลืมชั่วขณะก่อนหน้าที่ทุกคนตกอยู่ในความเงียบไปแล้ว เช่นเดียวกับบางคนที่เริ่มคุยกันว่า การขอโทษของไพมอนนั้นช่างน่าสงสารเพียงใด พฤติกรรมอันน่าอายของจอมมารระดับสูงที่แสดงออกมานั้นทำให้ทั้งห้องมีชีวิตชีวาขึ้น
ผมก็รู้สึกผ่อนคลายด้วยเช่นกัน
การข่มขู่อิวาร์ด้วยการบลัฟ การลงโทษบริษัทเคียนคุสก้าที่ทำผิดพลาด ความพยายามที่จะเพิ่มค่าความชอบของมาร์บาสและบาร์บาทอสที่มีต่อผม และอะไรต่อมิอะไร ผมยังคงมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก แต่⎯⎯⎯.
สิ่งแรกที่ผมเลือกคือ การเข้าไปหาลาพิสที่ยังคงยืนอยู่ข้างเสา และมองผมอย่างห่วงใหญ่
ผมโบกมือและพูดติดตลกกับลาพิส
“เฮ้ นี่”
“…….”
“ขอโทษทีนะ ที่ทิ้งเธอไว้ให้อยู่กับกำแพงทั้งๆที่ชวนเธอมาเป็นคู่แท้ๆ อภัยให้ผมได้ไหม?”
ลาพิสมองดูราวกับผมกำลังคิดอยู่ว่า ว่าเธอควรจะตอบกลับมายังไงดี
ใบหน้าเธออาจไม่แสดงอารมณ์ออกมา แต่มีบางอย่างที่บอกผมได้จากดวงตา เธอนั้นมีความสุขก่อนจะโกรธและค่อยๆคิดอย่างถี่ถ้วน หลังจากที่เธอผ่านอารมณ์มากมายมาไม่นานกี่วินาที เธอก็ได้ข้อสรุป
ลาพิสโค้งให้อย่างเคารพและ
“ขอบคุณสำหรับความพยายามค่ะ”
พูดคำนั้นออกมา
เธอไม่ได้พูดให้มันโอเวอร์ สิ่งนี้มันงดงามมากเพราะไม่ได้พูดอะไรให้มันเกินจริง แสงที่ฉายลงมาเริ่มเคลื่อนไหวคล้ายกับอารมณ์ของผม ผมขยี้เส้นผมลาพิสด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะลูบมัน
การพิจารณาคดี จบลงแบบนั้นแหละ