Earth’s Best Gamer - ตอนที่ 140
ตอนที่ 140 วีรบุรุษ : หย่วนเสียวเอ้อร์
“ดังนั้นมนุษย์อินทรีจึงสูญเสียครั้งใหญ่จากการที่สายลับของพวกมันถูกกําจัด?”
ในวัดแห่งโชคชะตา ผู้อาวุโสเมิ่งผู้ซึ่งกลับมาเข้าสู่ระบบอีกครั้งหลังจากผ่านไปหนึ่งวันก็ได้ตั้งข้อสังเกตด้วยความประหลาดใจในขณะที่ลูบเครายาวของเจาหลังจากที่จีเยู่ได้เล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในวันก่อน
“แน่นอนว่าพวกมันสูญเสียครั้งใหญ่!”
ซูนงอิงผู้ยืนอยู่ข้างจีเยู่นั้นมีความสุขมาก
แม้ว่าจะเป็นจีเย่ที่สังหารมนุษย์อินทรี แต่เธอก็เป็นคนที่พบ “สายลับ” คนนี้ตั้งแต่แรก
ในฐานะผู้เล่นที่ไม่ใช่สายต่อสู้ เธอไม่สามารถมีส่วนร่วมในการสังหารมนุษย์ต่างดาวได้
ทว่าเธอก็จับมนุษย์ต่างดาวผู้บัญชาการกับจีเยู่ในคืนที่ผ่านมา เธอยังคงตื่นเต้นแม้กระทั่งในตอนนี้
“ใช่แล้ว นั่นเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่”
จีเยู่พยักหน้าเช่นกัน
ความตายของผู้บัญชาการระดับวิสามัญอันดับ 3 อาจเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สําหรับถิ่นฐานไหนก็ตาม
ท้ายที่สุดแม้ว่าป้อมปราการภูเขามังกรคู่จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีผู้บัญชาการ เพียงแปดคนเท่านั้น รวมทั้งตัวจีเย่เองด้วย
แม้ว่ามนุษย์อินทรีจะมาจากดาวเคราะห์บ่มเพาะและฝึกฝนได้ดีกว่ามนุษย์ แต่มันก็ไม่จําเป็นต้องใช้แค่ศิลปะการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังต้องการทรัพยากรมากมายเพื่อเป็นผู้บัญชาการระดับวิสามัญอันดับ 3
นอกจากนี้การสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษย์อินทรีก็ไม่ได้เกี่ยวกับบุคลากรเพียงอย่างเดียวแต่เป็นหน้ากากโปร่งใสที่มนุษย์อินทรีระดับวิสามัญอันดับ 3 ดร็อปลงมาหลังจากที่เขาเสียชีวิต!
ไม่ต้องสงสัยว่ามันต้องเป็นไอเทมระดับเหนือธรรมชาติจากถิ่นฐานของมนุษย์ต่างดาวที่ถูกมนุษย์อินทรีทําลาย
จากข้อมูลในปัจจุบัน สายพันธุ์หนึ่งควรมีเพียงไอเทมหนึ่งชิ้นเท่านั้นที่อยู่ในขอบ เขตของถิ่นฐานเมื่อพิจารณาถึงความก้าวหน้าของมนุษย์อินทรี พวกมันไม่สามารถมีไอเท มดังกล่าวได้มากกว่า 4 ชิ้นได้
ถึงอย่างั้นพวกมันก็ได้เสนอหนึ่งชิ้นให้กับมนุษย์
นอกจากนี้ไอเทมระดับเหนือธรรมชาตินี้มีฟังก์ชันพิเศษมากมาย เนื่องจากมนุษย์อินทรีสามารถแอบเข้าไปในถิ่นฐานของมนุษย์ด้วยไอเทม มนุษย์ก็สามารถแอบเข้าไปนถิ่นฐานของมนุษย์อินทรีได้เช่นเดียวกับ
“นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ท่านอธิบาย มนุษย์อินทรีอาจไม่ทราบว่าสายลับของพวกมันตายแล้ว” ผู้อาวุโสเมิงกล่าวออกมา
หากสมาชิกที่อยู่ในถิ่นฐานเสียชีวิตภายในขอบเขตของถิ่นฐาน จะสังเกตเห็นได้ไม่มากก็น้อยตามการเปลี่ยนแปลงในพลังแห่งโชคชะตาในถิ่นฐาน
อย่างไรก็ตามเมื่อบุคคลหนึ่งออกจากถิ่นฐานของเขาและเข้าสู่ถิ่นฐานมนุษย์ต่างดาว เชื่อมโยงของเขากับพลังแห่งโชคชะตาจะถูกตัดขาด
“แม้ว่าพวกมันนะรู้ตัว แต่พวกมันจะรู้ว่าเราพร้อมและกังวลว่าเราจะแอบเข้าไปในอาณาเขตของพวกมัน ดังนั้นในความเห็นของฉัน มนุษย์อินทรีจะไม่ทําการโจมตีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า!”
ผู้อาวุโสเพิ่งได้ข้อสรุปในที่สุด
“ดีแล้ว เราต้องการเวลาสองสามวัน จนกว่าเราจะประดิษฐ์ปืนได้สําเร็จ เป็นการดีที่สุดที่จะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในช่วงนี้”
จีเยู่พยักหน้าเห็นด้วย
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเพิ่งคาดการณ์ว่ามนุษย์อินทรีจะทําการโจมตีเมื่อผู้เล่นออกจากระบบแม้ว่าการกระทําของพวกมันจะดูดไม่ปกติเล็กน้อย แต่การคาดการณ์ของเขานั้นก็ถูกต้อง
อย่างไรก็ตามแม้ว่ามนุษย์อินทรีไม่น่าโจมตีได้ แต่ก็ยังควรเตรียมพร้อม
“ฉันมีความคิดที่จะติดตามการเคลื่อนไหวของมนุษย์อินทรี อย่างไรก็ตามมันขึ้นอยู่กับ ผลลัพธ์ของพิธีกรรมนี้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่!”
จีเย่หันกลับมามองวิญญาณแห่งอารยธรรมที่ผู้บัญชาการมนุษย์อินทรีดร็อปออกมา
ถูกต้อง จีเย่พร้อมที่จะอัญเชิญวีรบุรุษคนที่แปดเข้าสู้ป้อมปราการภูเขามังกรคู่ นอกจากนี้วีรบุรุษที่มาในครั้งนี้อาจจะต่างจากเดิมเล็กน้อย
เป็นเพราะเครื่องบูชายัญที่สอดคล้องกับวิญญาณแห่งอารยธรรมเป็นกระบี่ยาวหนึ่งเมตรที่มีสีม่วงและแหลมคมมาก กระบี่ฉลามเสือที่มาจากครีบฉลามลายเสือที่เขาสังหารในทะล!
มังกรแห่งโชคชะตาที่ยาวสีฟุตสองตัวปรากฏขึ้นและพ่นพลังแห่งโชคชะตาไปที่ไอเทม!
เมื่อแสงสีทองกระทบกับฉลามลายเสือ แสงสีม่วงจํานวนมหาศาลก็สะท้อนออกมาและกระจายออกไปเป็นฉลามลายเสือที่มีความยาวมากกว่าห้าเมตร
ในเวลาเดียวพลังสีเหลืองแห่งโชคชะตาอยู่ในวัดราวกับมหาสมุทร
เมื่อมันมีรูปร่างฉลามลายเสือซึ่งมีดวงตาที่ดุร้ายและแยกเขี้ยวอันแหลมของมัน ขยับไปมาในวัดและโจมตีสิ่งของในวัดด้วยหัวของมัน
อย่างไรก็ตามการโจมตีของมันไม่ได้ทําให้เกิดอะไรนอกจากระลอกคลื่นเนื่องจากแกนกลางถิ่นฐานมาถึงระดับวิสามัญ 4 แล้ว!
“เขามีคิ้วแนวตั้งบนใบหน้าที่กลวง มีขนสีเหลืองที่หน้าอก และมีปีกสองข้างที่หลัง”
“แขนของเขามีกําลังหลายร้อยกิโลกรัม ดวงตาของเขาฉายแสงเย็นเยียบ เขาไม่ใช่ชาวประมงในหมู่บ้าน แต่เป็นปีศาจที่เดินอยู่ในโลกมนุษย์
ในขณะนั้นเอง การประกาศบทกวีที่มาพร้อมกับการมาถึงของวีรบุรุษสะท้อนออกมา
“นี่คือ… ยักษ์เฝ้าศาล หย่วนเสี่ยวเอ้อร์งั้นเหรอ?”
ผู้อาวุโสเพิ่งเป็นนักวิจัยตัวยงของซ้องกิ่ง และเขาได้ตรวจสอบโดยเฉพาะเมื่อเขาออกจาก ระบบ แม้ว่าบทกวีจะค่อนข้างคลุมเครือ แต่เขาก็สามารถเข้าใจมันได้อย่างง่ายดาย
“แผนของฉันได้ผล!”
จีเย่ดูยินดีมาก
เขาพอใจมากกับวีรบุรุษที่ถูกอัญเชิญมาด้วยเครื่องบูชายัญจากมหาสมุทร
“หย่วนเสียวเอ้อร์?”
ในทางกลับกัน ซุนงอิงก็ยังไม่ได้ออกจากระบบ เธอไม่ควรรู้จักชื่อนี้
“เขาบัญชาการกองทัพเรือในบึงเหลียงซานและเป็นพี่ใหญ่ในสามพี่น้องหย่วน เขาแข็งแก่รงมากและต่อต้านการยอมจํานนเหมือนกับที่หลู่จือเซินและอู่ซงทํา เขาถูกซุ่มโจมตีเมื่อโจมตีฟางล่าและเลือกที่จะฆ่าตัวตายแทนที่จะถูกจับและทําให้อับอาย!”
ผู้อาวุโสเมิ่งเล่าสั้นๆ ถึงอดีตของวีรบุรุษให้เธอฟัง
วิญญาณแห่งอารยธรรมที่ผู้บัญชาการมนุษย์อินทรีดร็อปออกมาและฉายภาพบุคคล
เมื่อเผชิญหน้ากับคนเพิ่งปรากฏออกมา ฉลามลายเสือกระดิกตัวและครีบของมัน จากนั้นก็กัดคนแปลกหน้า
เมื่อฉลามลายเสือพุ่งเข้ามาด้วยกลิ่นเลือด บุคคลนั้นเหยียบย่ําในหมาสมุทรราวกับปลากระโทงดาบสิ่งมีชีวิตที่เร็วที่สุดในมหาสมุทรและหลบเลี่ยงการถูกกัด
เขาเพียงแค่กระโดดไปที่คานของวัด
บูมม!
ในทางกลับกันฉลามลายเสือได้ชนกับผนังวัดเพราะความเฉื่อยของมัน
เมื่อการกัดของมันถูกหลบและมันชนเข้ากับผนังเพราะแรงเฉื่อย ฉลามลายเสือหันกลับมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ มันพุ่งไปข้างหน้าและฟันคนข้างบนด้วยครีบที่ด้านหลังที่แหลมคมราวกับใบมีด!
อย่างไรก็ตามเมื่อมันพุ่งเข้าใส่ราวกับเสือดาวที่ว่องไว บุคคลนั้นว่ายน้ําไปข้างหน้าเพื่อหลบใบมีดจากนั้นเขาก็คว้าด้านหลังของฉลมและขี่มัน
ต่อมา ฉลามลายเสือพลิกตัวอย่างรวดเร็วในวัดที่ดูเหมือนน้ําจะเต็ม แต่ก็ไม่สามารถกําจัดคนที่ขี่มันได้
ในระหว่างนี้ร่างกายขนาดใหญ่ของมันก็หดตัวลง จนกระทั่งหลอมรวมเป็นกระบี่ฉลามเสือสีม่วงโดยไม่สามารถควบคุมได้
บุคคลนี้ถูกย่อตัวและถูกทําให้เป็นจริงในที่สุด
[หย่วนเสี่ยวเอ้อร์]
[ระดับ : วิสามัญอันดับ 3]
[การประเมิน : ผู้บัญชาการ]
[รายละเอียด : ฉายายักษ์เฝ้าศาล เขาเป็นหนึ่งในแปดแม่ทัพที่ควบคุมกองทัพเรือของบึงเหลี ยงซาน เขาเก่งกาจในการว่ายน้ําและต่อสู้ในน้ํา]
ตามที่อธิบายไว้ในบทกวี หย่วนเสี่ยวเอ้อร์มีใบหน้าที่กลวงและคิ้วที่หนาในแนวตั้ง ปากของเขาค่อนข้างใหญ่ และเขากิ่งเปลือยเปล่า เหมือนกับตอนที่หลู่จือเซินมาถึง
อย่างไรก็ตามในฐานะผู้บัญชาการกองทัพเรือ เขามีร่างกายที่เพรียวบางกว่าหลู่จือเซินมากและกระดูกซี่โครงของเขากลับมองเห็นได้ชัดเจน
แต่วีรบุรุษคนนี้ต้องไม่ถูกประมาทในความผอมเพรียวของเขา
นั่นเป็นเพราะว่าเขาถูกอธิบายว่าเป็นยักษ์ที่เดินบนโลก และนั่นเป็นคําอธิบายของวีรบุรุษอีกคนในซ้องกังอย่างแน่นอน
“เขาดูสูงและสง่างามมาก ดวงตาของเขาเหมือนกับดวงตาที่เย็นชา และคิ้วของเขาหนาราวถูกวาด เขาแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะทหารได้หนึ่งหมื่นคน และเขาก็กล้าหาญและทะเยอะทะยานราวกับสิงโตเขาเป็นยักษ์ที่มาจากฟากฟ้าและเดินบนแผ่นดินโลก!”
หย่วนเสี่ยวเอ้อร์อาจไม่แข็งแกร่งเท่าอู่ซงในด้านความสามารถในการต่อสู้ แต่เขาก็ไม่อ่อนแอเลย!
เหตุใดหย่วนเสียวเอ้อร์จึงอยู่ในอันดับสี่ในบรรดาผู้บัญชาการกองทัพเรือในบึงเหลียงซานเหตุผลนั้นค่อนข้างเรียบง่าย เป็นเพราะผู้ที่มีอันดับสูงกว่าเขาล้วนอยู่ในกลุ่มของซ่งเจียง หลี่หุ้นผู้เป็นอันดับหนึ่งได้ช่วยชีวิตซึ่งเจียงไว้
อันที่จริงแล้วเมื่อแม่ทัพ 108 คนได้รับการจัดอันดับ หย่วนเสียวเอ้อร์อยู่ข้างหลังหลี่หุ้นแต่เมื่อพวกเขาได้รับมอบหมายให้ทํางานในตําแหน่งต่างๆ เขาได้รับมอบหมายให้ทํางานเป็นรองแม่ทัพในกองทัพเรือเท่านั้น ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ถูกใจ)