Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 1
วันที่ 31 ธันวาคม ปี 1999 ทั่วทั้งโลกต่างรอต้อนรับการขึ้นสหัสวรรษใหม่ ในขณะที่บางคนกำลังตั้งตารอยุคสมัยใหม่พร้อมความหวังอันไร้ที่สิ้นสุด บางคนกลับเฝ้ารอจุดจบที่มีการทำนายเอาไว้
ในขณะที่เข็มนาฬิกาตกไปอยู่ช่วงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงของหญิงสาวที่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดในขณะที่กำลังคลอดลูก ในวินาทีสุดท้ายของปี เสียงร้องครั้งแรกของทารกน้อยก็ดังขึ้นเมื่อนาฬิกาชี้ไปที่เวลาเที่ยงคืน การคลอดครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย และมารดาผู้ที่รอคอยอย่างคาดหวังก็อยู่บนเตียงของโรงพยาบาลอย่างไร้เรี่ยวแรง เธอใช้พละกำลังที่เหลืออยู่เอื้อมมือไปยังแพทย์ที่กำลังแสดงสีหน้าความตกใจสุดขีด
“ได้โปรด ให้ฉันได้เห็นหน้าลูกหน่อยเถอะค่ะ…”
เธอกล่าวเรียกคุณหมอให้ออกมาจากภวังค์แห่งความตกใจ ในขณะที่เขารีบหันไปแสดงความยินดีกับเธอที่ได้ให้กำเนิดบุตร หลังจากส่งสัญญาณให้กับพยาบาล เขาก็ได้ออกจากห้องไปเพื่อโทรศัพท์
นางพยาบาลผู้ที่กำลังมีสีหน้าเดียวกับหมอก็ได้ส่งลูกให้กับคุณแม่มือใหม่ไป “เป็นเด็กผู้ชายค่ะ” เธอกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเทา
หญิงสาวได้กอดลูกของเธอเป็นครั้งแรก และเหลือบสายตาไปมองใบหน้าของลูก ความตกใจก็เข้าปกคลุมตัวเธอในขณะที่จ้องมองไปยังลูกชายตัวน้อยที่แรกเกิด “ลูกของฉัน…กะ เกิดอะไรขึ้นกับลูกของฉัน…” เมื่อความตกใจเริ่มจางหายไปตัวเธอก็เริ่มสั่นเทาและไม่อาจระงับความกังวลที่เพิ่มพูนขึ้นในหัวใจของเธอได้ เธอเริ่มสะอื้นในขณะที่ความทุกข์ใจที่มากยิ่งกว่าความเจ็บปวดจากการคลอดเขาสู่ภายในใจของเธอ “ลูกของฉัน…. ลูกชายของฉัน…”
นอกจากเสียงร้องไห้ของผู้เป็นแม่ คนอื่นภายในห้องพักฟื้นกลับเงียบเสียจนน่าขนลุก ไม่มีพยายาบาลคนใดที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทั้งหมดที่พวกเธอเห็นได้ เด็กที่ถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนของมารดาผู้โชคร้ายเป็นบางอย่างที่เกินกว่าประสบการณ์ที่พยาบาลได้เคยพบเจอมา แทนที่สีผิวของเด็กเกิดใหม่จะเป็นสีแดงกุหลาบ มันกลับเป็นสีผิวที่ซีดมากจนเกือบจะโปร่งใส ผู้ที่เฝ้ามองแทบจะเห็นเส้นเลือดที่กำลังเต้นอยู่ในแขนเล็กๆ ทั้งสองข้างของเด็กน้อย ใช่แล้ว พวกเขาสามารถมองเห็นการไหลเวียนของเลือดที่ ‘กำลังไหล’ อยู่ภายในร่างกายของเด็กพร้อมกับหัวใจดวงเล็กที่กำลังเต้นอยู่ได้อย่างชัดเจน
ขณะที่เสียงร่ำไห้ของผู้เป็นแม่เริ่มจางหายไป เธอมองไปที่ดวงตาที่ปิดสนิทของลูกชายแรกเกิดด้วยความทุกข์และความรักที่ผสมปนเปกัน “แม่จะรักลูกไม่ว่าลูกจะเป็นยังไงนะ… วาห์น”
ทารกน้อยราวกับได้ยินเสียงของแม่ตนเองจึงสั่นไหวเล็กน้อยราวกับว่าเขาได้รับรู้เช่นกัน หัวใจที่กำลังเต้นอยู่ของเด็กน้อยก็เริ่มเต้นเร็วและมีจังหวะที่รุนแรงขึ้น
ภายในความกังวลและความทุกข์เหล่านั้น ผู้เป็นแม่ได้เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักในขณะที่ดวงตาของเธอค่อยๆ ปิดลง
เครื่องมือพยุงชีพของผู้เป็นแม่เริ่มที่จะส่งเสียง ทำให้กับพยาบาลต่างรีบเข้ามาดูอาการ ทารกน้อยเริ่มร้องไห้เมื่อพยาบาลคนหนึ่งดึงเขาออกจากอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ คุณหมอกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับทีมของเขาด้วยความพยายามจะยื้อชีวิตของหญิงสาวเอาไว้ หลังจากสองชั่วโมงแห่งการรักษาฉุกเฉิน ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมแพ้ต่อพิษแผลและหมดลมหายใจลงในระหว่างการทำคลอดที่แสนยากลำบากนี้
ดังนั้นยุคสมัยใหม่จึงได้ต้อนรับชีวิตที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาด้วยความตาย
จากการกำเนิดของเด็กน้อยคนนี้พร้อมกับลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ เขาจึงตกอยู่ภายใต้ความสนใจของนักข่าวและเหล่าแพทย์ทั่วทั้งโลกอย่างรวดเร็ว มีหลายคนที่ต้องการศึกษาธรรมชาติร่างกายของเด็กน้อย ในขณะที่คนส่วนหนึ่งได้เริ่มกระจายข่าวลือถึงการกำเนิดใหม่ของพระผู้มาโปรด
หลังจากการทดสอบหลายครั้ง พวกเขาพบว่าเลือดของเด็กแรกเกิดคนนั้นมีการกลายพันธุ์แบบพิเศษซึ่งทำให้เซลล์ภายในเลือดสามารถกักเก็บพลังงานที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน แต่น่าเสียดาย เนื่องจากธรรมชาติของเลือดชนิดนี้ไม่สามารถเก็บรักษาไว้นอกร่างกายของเด็กได้นานกว่า 24 ชั่วโมง หากนานกว่านั้นมันก็จะสูญเสียคุณสมบัติพิเศษและกลายเป็นกลุ่มก้อนสีดำที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับขี้เถ้าไป เด็กถูกกักตัวเอาไว้เพื่อเข้ารับการทดสอบเพิ่มเติมในขณะที่สื่อและประชาชนต่างรอคอยข่าวที่เกี่ยวข้องกับเด็กตัวน้อยอย่างกังวล
หลังจากที่ทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าถูกดำเนินการและพวกสื่อต่างๆ ได้เผยแพร่ข่าวนี้ออกไปทั่วโลก จู่ๆ ข่าวทั้งหมดของเด็กคนนั้นต่างก็หยุดลงภายในชั่วข้ามคืน ด้วยความโกรธที่เกิดจากการไม่ได้รับข่าวสารอะไรเลย ผู้คนต่างเริ่มรวมตัวกันรอบโรงพยาบาลเพื่อกดดันให้เจ้าหน้าที่เปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน คำแถลงอย่างเป็นทางการก็ถูกจัดขึ้นโดยผู้บริหารโรงพยาบาล เขากล่าวว่าเด็กคนนั้นถูกย้ายไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่าเดิมซึ่งเป็นที่ที่เขาจะได้รับการดูแลโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดในอเมริกาจนกว่าเหล่าแพทย์จะสามารถยืนยันได้ว่าร่างกายของเด็กจะเป็นภัยคุกคามต่อผู้คนทั่วไปหรือไม่ ฝูงชนยิ่งโกรธเคืองมากขึ้นจากสถานการณ์ดังกล่าวและเริ่มทำการชุมนุมโดยอ้างว่ารัฐบาลกำลังซ่อนตัวเด็กเอาไว้เพื่อปกปิดความจริงที่ไม่มีทางปิดได้ กลุ่มหัวรุนแรงบางกลุ่มถึงขนาดกล่าวอ้างว่าเด็กคนนั้นเป็นมนุษย์ต่างดาวและรัฐบาลได้ลักพาตัวเขาเพื่อที่จะผ่าตัดและวิเคราะห์ร่างกายของเด็กในห้องทดลองลับใต้ดินที่ไหนสักแห่งในใจกลางทุ่งทะเลทราย
มีหลายกลุ่มเริ่มรวมตัวกันหลังจากคำแถลงนั้น พวกเขาจะประท้วงอยู่ด้านนอกของหน่วยงานรัฐในหลายรัฐเพื่อกดดันให้นักการเมืองเปิดเผยข้อมูลของเด็ก ถึงแม้ว่าพวกสื่อดูเหมือนจะเก็บตัวเงียบ แต่ในอินเทอร์เน็ตกลับปะทุไปด้วยด้วยทฤษฏีสมคบคิดมากมาย ผู้ใช้ออนไลน์หลายแสนคนเริ่มที่จะรวมตัวกันและร้องเรียนให้ทางรัฐเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเด็กออกมา เมื่อเวลาหลายเดือนกลายมาเป็นหลายปี ขนาดของกลุ่มก็ขยายขึ้นจนถึงจุดที่พวกเขาสามารถคัดเลือกตัวแทนที่จะทำให้พวกเขาได้รับอนุญาตเพื่อดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น
หลังจากสี่ปีแห่งความพยายามและการเปลี่ยนวาระของประธานาธิบดี สาธารณะชนก็ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเด็กน้อยอีกครั้ง พวกเขาค้นคว้าจนทราบว่าเลือดกลายพันธุ์ของเด็กนั้นจะปลดปล่อยรังสีชนิดพิเศษที่สามารถฟื้นฟูเซลล์และยังสามารถทำลายการกลายพันธุ์ต่างๆ ที่เกิดจากความความผิดปกติภายในร่างของตัวอย่างทดลอง หนูที่ถูกฉีดเอาเลือดเข้าไปจะมีชีวิตชีวามากขึ้นอย่างทันทีทันใด และไม่ว่าพวกมันจะมีความบกพร่องทางพันธุกรรมก่อนหน้านี้แบบไหนก็ตาม ทุกอย่างในนั้นจะถูกซ่อมแซมเองทั้งหมด หลังจากได้ข้อสรุปของการทดลองเบื้องต้น นักวิทยาศาสตร์จึงย้ายไปทำการทดลองในตัวของลิงชิมแปนซีที่เป็นโรคมะเร็งรวมไปถึงโรคร้ายอื่นๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์และโรคฮันติงตัน ลูกทีมทุกคนต่างประหลาดใจที่ในทุกๆ เคสที่มีฉีดเลือดเข้าไปในตัวสัตว์ที่ป่วย มันจะสามารถขจัดโรคร้ายออกไปได้อย่างสมบูรณ์หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงที่มีการเพาะเชื้อ จากการติดตามผลทดสอบนั้นแสดงให้เห็นว่าไม่เพียงแค่เซลล์มะเร็งเท่านั้นที่ถูกขจัดไป แม้แต่เนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บสะสมจากการรักษาก่อนหน้านี้ก็ได้รับการฟื้นฟูจนกลับสู่สภาพปกติ
เมื่อทราบการค้นพบเหล่านี้ ประชาชนทั้งหลายก็ตกอยู่ในความโกลาหล สถาบันศาสนาและลัทธิต่างๆ เริ่มบูชาเด็กในฐานะบุตรแห่งพระเจ้า พระผู้มาโปรด หรือไม่ก็พระศาสดา
องค์กรต่างๆ เริ่มแสดงความต้องการที่จะให้เด็กคนนั้นถูกย้ายไปยังกลุ่มของตนเองเพื่อที่พวกเขาจะได้เลี้ยงดูเด็กด้วยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแทนที่จะให้เขาอยู่แต่ในห้องทดลอง
ส่วนกลุ่มอื่นๆ นั้นยังรวมถึงสมาชิกทั้งหลายของชุมนุมนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก หลากหลายประเทศต่างต้องการตัวอย่างเลือดของเด็กเพื่อมาสานต่อการทดลองของตนเอง ในที่สุดพวกเขาก็รวมตัวกันด้วยความหวังว่าพวกเขาจะสามารถกดดันรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เปลี่ยนสถานะความเป็นเจ้าของในตัวเด็กแต่เพียงผู้เดียวไปให้กับกลุ่มประเทศนานาชาติแทนโดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาการใช้งานอย่างมีศักยภาพอื่นๆ ที่อาจยังซ่อนอยู่ในตัวเด็ก ถึงขนาดที่ว่ามีการเคลื่อนไหวเพื่อพยายามสนับสนุนการโคลนนิ่ง หรือแม้การสกัดอสุจิของเด็กออกมาผสมเทียมให้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
แรงกดดันยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีในขณะที่ทุกคนต้องการเข้าถึงตัวเด็ก ตอนนี้ทั่วทั้งโลกไม่มีใครไม่รู้จักเด็กชายที่มีนามว่า ‘วาห์น เมสัน’ อยู่เลย
อย่างไรก็ตาม ตัวของเด็กเองกลับมีความคิดในใจของเขาที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง…