Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 131
แม้วาห์นจะรู้สึกหงุดหงิดกับพฤติกรรมของโลกิแบบสุดๆ แต่การถูกเฮเฟสตัส ‘กอด’ ก็ทำให้สมองหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
ต้องยอมรับเลยว่าเขาชอบการถูกกอดมาก แต่อีกเหตุผลที่ทำให้วาห์นรู้สึกงงๆ ก็คือเสียงแจ้งเตือนที่ได้รับจากระบบ
เพราะได้เจอโลกิมาแล้วจากตอนก่อนหน้านี้ เขาจึงเห็นค่าความชื่นชอบของเธอได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงภารกิจใหม่ด้วย
[โลกิ]: ค่าความชื่นชอบ: 53(เป็นกลาง), ค่าความสนใจ: 100(อยากรู้อยากเห็นอย่างไม่รู้จักพอ)
//เริ่มต้นภารกิจเสริม//
[ภารกิจ: สร้างพันธมิตร, ทำเพิ่มเติมได้]
ระดับ: I – SSS
เป้าหมาย: โน้มน้าวเทพ/เทพธิดาเพื่อสร้างพันธมิตรระหว่างแฟมิเลีย จำนวนพันธมิตรในปัจจุบัน (0)
รางวัล: 10,000 OP x ระดับของแฟมิเลีย ระดับความสำเร็จในปัจจุบัน (-) ระดับความสำเร็จของภารกิจนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนพันธมิตรทั้งหมด
เงื่อนไขความล้มเหลว: เสียชีวิต, แฟมิเลียของร่างเป้าหมายถูกทำลาย, ความเป็นพันธมิตรถูกยกเลิก
ผลจากความล้มเหลว: 100,000 OP
วาห์นพยายามทำความเข้าใจกับข้อมูลใหม่อย่างรวดเร็ว แต่เฮเฟสตัสก็เริ่มพูดขึ้นก่อนที่เขาจะได้วางแผนเสร็จ
“โลกิ บอกมาตรงๆ เลยดีกว่าว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่?” เฮเฟสตัสจับจ้องไปทางโลกิด้วยสีหน้านิ่งๆ
ตอนนี้โลกิกำลังนั่งท้าวโต๊ะขณะมองไปมาระหว่างเฮเฟสตัสกับวาห์น
หลังมองดูเฮเฟสตัสอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เริ่มสอดส่องไปรอบห้องและพูดอย่างช้าๆ
“สำหรับตอนนี้ เรามาดูกันก่อนไหมว่าใครเป็นอะไรกันบ้าง…”
โลกิหยุดสายอยู่ที่นาซ่าและลิลลี่ก่อนจะพูดต่อ
“สาวๆ สองคนนี้ต้องเป็นคนที่วาห์นช่วยไว้แน่นอน ดูหน้าก็รู้เแล้วว่าหวงเจ้าหนูนี่ขนาดไหน…”
โลกิหันหัวไปทางสึบากิโลกิแบบยิ้มๆ
“และขอเดาว่าเธอคงเป็นผู้ปกครองของวาห์นสินะ”
ก่อนที่ทั้งสามจะพูดอะไร เฮเฟสตัสก็พูดขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหลมคม
“โลกิ หยุดเล่นเกมได้แล้ว!”
โลกิมองกลับไปที่เฮเฟสตัสก่อนจะลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย
“ตอนนี้ฉันจริงจังสุดๆ แล้วนะ อย่าคิดว่าแค่ได้พบวาห์นก่อนแล้วเธอจะได้เก็บเขาไว้คนเดียวสิ
เราต้องทำให้ทุกอย่างชัดเจน ไม่งั้นคุยกันต่อก็คงไม่ได้เรื่องอะไร”
พอวาห์นฟังได้คำพูดของโลกิ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่าง
แม้จะยังไม่มีแผนแบบเป็นรูปธรรม แต่วาห์นรู้ว่าเขาไม่ชอบการกระทำของโลกิเลย
เขาออกมาจากอ้อมกอดของเฮเฟสตัสและจ้องมองเทพธิดาร่างเล็กก่อนจะพูดขึ้นบ้าง
“ฉันไม่ค่อยชอบวิธีการของเธอเท่าไหร่เลยนะ
ถึงเธอจะ ‘สนใจ’ ฉัน แต่ฉันก็ไม่อยากถูกคนที่มีออร่าน่าสะอิดสะเอียนและดูวุ่นวายขนาดนี้มาหลอกใช้เอาหรอก
ก่อนหน้านี้เราก็ทำข้อตกลงกันไปแล้ว และถ้าเธอยังไม่หยุดไล่บี้คนอื่นล่ะก็ สงสัยเราต้องมายืนกันคนละฝั่งแทนแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ พลังเขตแดนของวาห์นก็ขยายออกไปและเริ่มกดดันเทพธิดาที่ชอบสร้างปัญหา
โลกิขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่รอยยิ้มของเธอก็ไม่ได้จางหายไปไหน
“นั่นมันข้อตกลงระหว่างเราสองคนซึ่งมันคนละเรื่องกับตอนนี้เลย
ตอนนี้ฉันกำลังพยายามเจรจากับเฮเฟสตัส ส่วนเธอก็ไม่มีอำนาจในการต่อรองใดๆ ทั้งนั้น
หากคาดหวังว่าฉันจะเก็บเรื่องของเธอไว้เป็นความลับล่ะก็ แน่นอนว่าเราต้องมาคุยเรื่องประโยชน์ที่ฉันจะได้ซะก่อน
ฉันมันพวกไม่ชอบนั่งงอมืองอเท้าให้คนอื่นน่ะ โดยเฉพาะถ้ามันเกี่ยวพันกับ ‘เด็กๆ’ ของฉันด้วย”
วาห์นยังคงตรึงพลังเขตแดนเอาไว้ แต่เขาก็รู้สึกโกรธน้อยลงเมื่อเห็นออร่าวุ่นวายสงบลงเล็กน้อยขณะที่โลกิพูดถึง ‘เด็กๆ’ ของตัวเอง
เขาเข้าใจว่าเธอคงห่วงใยคนในแฟมิเลียมาก แต่เธอก็ยังชอบไปเอาเปรียบคนอื่นอยู่ดี
วาห์นรู้สึกแปลกๆ เพราะดูเหมือนความเป็นห่วงพวกเด็กๆ ของโลกินั้นขัดกับความปรารถนาที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของเธอเอง
ทว่าวาห์นก็ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้เธอทำทุกอย่างได้ตามใจชอบ เขาจึงพูดกดดันเธอต่อไป
“ถ้าเธอคิดจริงๆ ว่าต่อไปฉันจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้ งั้นทำไมตอนนี้เราต้องมาหาเรื่องกันด้วยล่ะ?
จะดีกว่าไหมถ้ามาร่วมมือกันแทนการไขว่คว้าหาประโยชน์จากอีกฝ่าย”
โลกิยกคิ้วของเธอขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับวาห์นแบบหยั่งเชิง
“เอ๋~ นี่ละเมออะไรอยู่? ก็บอกไปแล้วไงว่าเรามาเจรจากัน ไม่ได้หลอกใช้ประโยชน์จากอีกฝ่าย
ฉันยังไม่บ้าถึงขนาดมาลองดีกับแฟมิเลียอันดับสาม และเป็นแฟมิเลียสายผลิตที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเมืองหรอกนะ
ฉันอยากสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย และนั่นจะเป็นการรับประกันถึงผลประโยชน์สูงสุดในอนาคต
ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเธอต้องมีอคติแปลกๆ กับฉันด้วย!”
วาห์นคิดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง เพราะโลกิดูเหมือนจะรู้สึก ‘ผิด’ กับคำพูดของเขามาก
เธอมองเขาแบบไม่อยากจะเชื่อขณะอธิบายต่อ
“อย่างที่ฉันบอกไปว่าความลับของเธออาจนำปัญหาต่างๆ มาให้แฟมิเลียของฉันในอนาคต
ไม่ว่าเธอจะพูดมันออกมาแบบไหน แต่ความจริงข้อนั้นก็จะไม่มีวันเปลี่ยน แล้วจะมาโทษกันก็ไม่ได้เพราะฉันแค่ต้องการปกป้อง ‘เด็กๆ’ ของตัวเองก็เท่านั้น
มันไม่ต่างไปจากที่เฮเฟสตัสอยากจะให้เธอปลอดภัย เพราะแม้แต่ฉันก็รู้สึกแบบเดียวกับเด็กๆ ในแฟมิเลียของตัวเองเหมือนกัน
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายก็คือการตกลงประนีประนอม เธอเข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า?”
อาจเพราะโลกิคุ้นเคยกับการ ‘ต่อรอง’ เป็นอย่างดี แต่วาห์นกลับพบว่าตนไม่สามารถหาอะไรมาปฏิเสธคำพูดของเธอได้เลย
วาห์นเริ่มรู้สึกว่าคงต้องอธิบายเรื่องนี้ออกไปให้ชัดเจนก่อน
“ฉันสามารถสัมผัส ‘เจตนา’ กับ ‘ความรู้สึก’ ของคนอื่นได้บ้าง
ทุกครั้งที่ฉันมองเธอก็จะเห็นแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย
ดังนั้นถึงเธอจะพูดความจริง แต่ฉันก็คงเชื่อคนที่มีออร่าแบบนี้ง่ายๆ ไม่ได้หรอก”
ตาของโลกิเบิกกว้างขึ้นจนวาห์นแทบจะเห็นดวงตาสีแดงเกือบทั้งหมด ขณะที่เธอจ้องเขากลับด้วยความรู้สึกสนใจแบบสุดๆ
โลกิดูท่าจะเชื่อสิ่งที่วาห์นบอกและตอบกลับไป
“แบบนี้นี่เอง… ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงระวังฉันอยู่ตลอด
เธอมีดวงตาคล้ายกับเทพที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต
และจากการที่เฮเฟสตัสปฏิบัติกับเธอ ฉันว่าเธอน่ามีความเกี่ยวพันกับการหลอมด้วย… หรืออาจจะเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งเพลิง?”
เพราะดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างเข้าแล้ว โลกิจึงพยักหน้าก่อนที่วาห์นจะได้เห็นอะไรน่าเหลือเชื่อ
จู่ๆ ออร่าอันแสนวุ่นวายที่มักกระจายออกมาจากร่างของโลกินั้นก็หายวับไปกับตา
ตอนนี้โลกิมีออร่าสีเหลืองออกสีชมพูนิดๆ ซึ่งดูคล้ายกับออร่าของผู้คนที่รู้สึกดีๆ กับเขา
โลกิเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ
“ที่นี้ล่ะเป็นไง… วาห์น? ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ไหม?”
ขณะที่ถาม เธอก็เผยรอยยิ้มกว้างขณะเฝ้ามองสีหน้างุนงงของเด็กหนุ่ม
เธอพูดต่อไปแบบขันๆ
“พลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันเกี่ยวข้องกับกลอุบายและความปั่นป่วน
นี่เธอคงไม่คิดนะว่าจะอ่านฉันออกได้ง่ายๆ แบบนั้น
ออร่า ‘วุ่นวาย’ ที่เธอพูดถึงน่ะ เป็นเพียงรูปแบบพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันในยามปกติเท่านั้นเอง
สกิลของเธอน่ะมีประโยชน์มากก็จริง แต่อย่าเอาแต่พึ่งมันมากไปจนทำให้เข้าใจคนอื่นผิดล่ะ
เธออาจจะเปลี่ยนมิตรแท้ในวันนี้ให้เป็นศัตรูในวันหน้าก็ได้นะ”
เมื่อมองสีหน้าไปต่อไม่เป็นของวาห์นจนพอใจแล้ว โลกิก็หันไปสบตากับเฮเฟสตัสแทน
“เอาล่ะ เรามาคุยกันต่อเลยไหม หรือมีใครอยากจะมาคั่นรายการต่ออีก?”
แม้วาห์นยังอยากจะพูดต่ออีกหน่อย แต่พอได้เจอกับเรื่องไม่คาดคิดเข้า เขาจึงรู้สึกหมดความมั่นใจในคำพูดของตัวเองไปเลย
โลกินำเหตุผลของเขามาขยำและเอามาปาใส่หน้าเขาแทนอย่างง่ายดาย
วาห์นรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตัวตลกและตกอยู่ในห้วงความคิดขณะที่เฮเฟสตัสและโลกิเริ่มเจรจากันต่อ
โลกิบอกข้อเรียกร้องกับเฮเฟสตัสในแบบที่ดูเป็นมืออาชีพมาก
“วาห์นได้ให้คำสัตย์สาบานที่จะติดตามสมาชิกสองคนในแฟมิเลียของฉัน หรือก็คือทีโอน่าและไอส์ ลงไปในดันเจี้ยนชั้นล่างขณะที่ทั้งคู่เข้าร่วมการสำรวจในระยะยาว
ฉันจะไม่เรียกร้องอะไรโง่ๆ เช่นการขอให้เธอมาจัดเตรียมอุปกรณ์ให้กับกองหน้าทุกคนหรอกนะ
แต่ฉันคาดหวังว่าจะได้รับส่วนลดสำหรับสัญญาของ…ขอใช้ชื่อว่า ‘ใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกับวาห์น’ ก็แล้วกัน
พวกเธอจะได้รับส่วนลด 30% และสัญญาแต่ละฉบับนั้นเธอจะต้องเป็นผู้จัดการด้วยตัวเอง
นั่นจะช่วยให้เด็กผู้หญิงที่วาห์นใส่ใจได้รับการปกป้อง และในทางกลับกันวาห์นเองก็จะปลอดภัยมากขึ้นด้วย
ฉันแน่ใจว่าเธอคงไม่มีปัญหากับเงื่อนไขนี้นะ”
เฮเฟสตัสรู้สึกไม่พอใจที่ถูกบังคับให้ทำสัญญากับคนที่ตัวเองไม่ได้สัมภาษณ์เป็นการส่วนตัว
โดยทั่วไปแล้วเธอจะเป็นคนเลือกลูกค้าเอง แต่ถ้าหากยอมรับเงื่อนไขของโลกิ
เธอก็ต้องยอมหรือแม้แต่ให้ความสำคัญกับการจัดไอเท็มของสมาชิกจากโลกิแฟมิเลียเป็นอันดับต้นๆ
และถึงมันจะเป็นเรื่องที่ขัดกับศักดิ์ศรี แต่เธอก็พอจะเห็นด้วยกับโลกิที่ว่าเรื่องนี้เป็นทางออกที่ดีสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน
หากวาห์ลงเอยด้วยการจบชีวิตจากการที่อุปกรณ์สวมใส่ไม่ได้มาตรฐาน เธอก็คงจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่ๆ
เฮเฟสตัสพยักหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจและเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเล็กน้อย
“ฉันจะเห็นด้วยก็ต่อเมื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องทำการสาบานว่าจะไม่ให้คนอื่นมาหยิบยืมหรือนำไอเท็มที่ฉันสร้างไปใช้แทน
ถ้าคิดว่าฉันจะปล่อยให้เด็กๆ ของเธอมาขอไอเท็มสำหรับ ‘ตัวเอง’ แต่มันกลับไปอยู่ในมือของสมาชิกคนอื่นแทนล่ะก็ ฝันไปเถอะ”
โลกิคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้วจึงรีบพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
วาห์นซึ่งฟังมาพักหนึ่ง เริ่มรู้สึกแย่ที่ต้องเห็นเฮเฟสตัสยอมอ่อนข้อเพราะตัวเอง
ตอนนี้เองที่เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเธอต้องมาลำบากเพราะเขามากแค่ไหน
เธอไม่เพียงแต่จะปกป้องทั้งเขาและความลับของเขาเท่านั้น แต่ยังช่วยจัดการปัญหาที่อาจส่งผลต่อชีวิตของเขาด้วย
เขาค้นพบว่าในขณะที่ตัวเองวิ่งไปมาเพื่อต่อสู้หรือไล่จีบสาว เฮเฟสตัสกลับต้องมาทนรับมือกับสัมผัสเชื่อมโยงที่คอยไปรบกวรการทำงานของเธออยู่ไม่มากก็น้อย
หากไม่ใช่เพราะเขาไปทำเรื่องไว้มากมาย สถานการณ์ก็คงจะไม่มาถึงจุดนี้แถมพวกเขายังต้องมาเสียเปรียบมากเลยด้วย
วาห์นไม่อาจหยุดยั้งความคิดของตัวเองได้อีกต่อไปและเข้ามาขัดจังหวะอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน! ฉันจะไม่ปล่อยให้เฮเฟสตัสมารับภาระทั้งหมดไว้คนเดียว
ถึงตอนนี้ฉันอาจจะไม่ใช่ช่างตีเหล็กที่มีความสามารถแต่ขอยืนยันเลยว่ามันจะไม่เป็นแบบนี้ไปอีกนานนัก
ถ้าหากว่าพวกสาวๆ ยอมเห็นด้วยล่ะก็ ต่อไปฉันจะเป็นคนเตรียมอุปกรณ์ให้เอง
แล้วก็ เธอบอกไว้ว่าแฟมิเลียของเราควรจะมาร่วมกัน ดังนั้นฉันคิดว่ามันควรจะเป็นอะไรที่มากไปกว่าความสัมพันธ์ที่เกิดจากการประนีประนอมเพียงอย่างเดียว
เธอยังบอกอีกว่าเพราะการกระทำและที่มาที่ไปของฉันทำให้แฟมิเลียของเราเกี่ยวข้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากทั้งเธอและเฮเฟสตัสเห็นด้วย ฉันว่าแฟมิเลียของเราน่าจะมาเป็นพันธมิตรกันและประกาศเรื่องนี้ออกไปอย่างเป็นทางการ
แบบนี้คงจะลดเรื่องวุ่นวายได้มีประสิทธิภาพกว่า ส่วนเรื่องเจรจาให้ความร่วมมือต่างๆ ก็จะง่ายขึ้นด้วย”
วาห์นพยายามพูดข้อมูลที่จัดเรียงไว้ในหัวออกมาให้ฟังกัน
เขาไม่เพียงแค่อยากทำภารกิจให้สำเร็จเท่านั้น แต่เพราะไม่ต้องการเห็นเฮเฟสตัสต้องมานั่งรับผิดชอบกับเรื่องที่เขาก่อขึ้นเองแท้ๆ
เขาเกือบจะตัดสินใจหลบหนีออกจากเมืองเพื่อบรรเทาภาระของเธอแล้ว
แต่พอนึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้ ก็เลยไม่กล้าที่จะทำแบบนั้น
ถึงวาห์นจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนกล้าหาญอะไร แต่เขาก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดที่คิดหนีและไม่ยอมทำตามคำมั่นของตัวเอง
แค่จินตนาการถึงใบหน้าเสียใจของ เฮเฟสตัส ทีโอน่า และไอส์ก็ทำให้วาห์นรู้ว่า ‘งานนี้ขอยอมตายดีกว่ายอมหนี’
พอวาห์นพูดจบ ทุกคนในห้องก็มองเขาด้วยสีหน้าตกใจและครุ่นคิด
สึบากิยิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้าชื่นชมในขณะที่เฮเฟสตัสเข้ามากอดวาห์นจากข้างหลังขณะที่เขากำลังหันหน้าไปทางโลกิ
นาซ่าและลิลลี่ไม่ได้ร่วมวงสนทนาด้วย แต่พวกเธอก็รู้สึกดีขึ้นเมื่อเห็นความมั่นใจของวาห์น
โลกิที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของการเจรจาเองก็เบิกตาเล็กน้อยขณะเอียงหัวและนำนิ้วไปวางไว้ที่คางอย่างครุ่นคิด
ดูเหมือนเธอกำลังพิจารณาคำพูดของวาห์นอย่างจริงจังและหลังจากคิดดีแล้วก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด
พอผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็มองไปที่วาห์นและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ฟังดูดี แต่ฉันจะตอบตกลงด้วยข้อแม้เพียงข้อเดียว และโชคดีสำหรับเธอมากที่มันง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย~”
วาห์นยังคงจ้องมองเธอไปเรื่อยๆ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย
เขายังคงรู้สึกเชื่อมั่นกับสิ่งที่พูดออกไปเมื่อกี้ และถามกลับไปด้วยน้ำเสียงท้าทาย
“ว่ามา”
คำพูดของเขาไม่มีความลังเลอยู่เลย และทำให้โลกิหัวเราะก่อนจะพูดต่อ
“ฉันอยากให้เธอร่วมงานกับริเวเรียเพื่อวิจัยเรื่อง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ ที่เธอใช้
ริเวเรียบอกฉันแล้วว่ามันมีความสามารถพิเศษมากมาย และฉันก็คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนถ้าเธอศึกษามันไปพร้อมกับริเวเรีย
รองกัปตันของฉันมีประสบการณ์บวกกับความรู้มากกว่าคนอื่นๆ และต้องช่วยเธอพัฒนาวิธีการใช้พลังให้ดีกว่าเดิมได้แน่นอน
เธอคิดว่ายังไง?”
วาห์นรู้ว่าสุดท้ายแล้วก็อาจจะต้องนำ [จิตแห่งราชัน] ลงมาที่โต๊ะเจรจาด้วย
เขาได้ใช้มันเพื่อปลอบขวัญสมาชิกของทีมสำรวจจากตอนก่อนหน้านี้ไปแล้ว และมันยังเป็นสกิลที่มีประโยชน์เป็นอันดับต้นๆ ของเขาเลย
เมื่อได้เข้าไปสำรวจดันเจี้ยนพร้อมกับโลกิแฟมิเลีย เขาจะต้องทำตามคำสั่งของฟินน์กับริเวเรียและความรู้เรื่องสกิลของเขาจะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก
เนื่องจากวาห์นเองก็อยากรู้เรื่องพลังเขตแดนของตัวเองอยู่แล้วและพยายามศึกษามันมาโดยตลอด เขาจึงไม่เห็นข้อเสียจากการร่วมมือกับเอลฟ์ผู้มากไปด้วย ‘ประสบการณ์’ และความฉลาดเฉลียวเพื่อไขความลับของมัน
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีแดงของโลกิซึ่งกำลังรอฟังคำตอบของเขา วาห์นก็หรี่ตาก่อนจะพยักหน้าให้
“ตกลง แต่ริเวเรียเองก็ต้องกล่าวคำสาบานว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลวิจัยให้คนอื่นทราบนอกจากจะได้รับการยินยอมจากฉันก่อน”
ไม่ใช่ว่าวาห์นไม่เชื่อใจเอลฟ์สาว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้เธอเข้ามาศึกษาความลับของตัวเอง จากนั้นก็เผยแพร่มันออกไปได้ตามใจชอบ
แม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีคนรู้เรื่องนี้มากขึ้น แต่วาห์นก็อยากจะเข้ามามีส่วนตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วย
โลกิหัวเราะไปครู่หนึ่งแต่ก็เห็นด้วยกับคำขอของเขาโดยไม่ขอแก้ไขอะไรเพิ่มเติม
หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังหารือไปเรื่อยๆ และตกลงกันว่าจะส่งทีโอน่าและไอส์มาให้เฮเฟสตัสวัดตัวในเร็วๆ นี้
พอโลกิพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็หันไปหยอกล้อวาห์นนิดๆ
“ฉันรู้ว่าเธอเองก็คงสนใจเรื่องสัดส่วนของพวกเธอ จะมาดูด้วยกันก็ได้นะ~?”
วาห์นไม่มีอะไรขัดข้อง เพราะถึงจะคุ้นเคยกับร่างกายของพวกเธอแล้ว แต่ถ้ารู้มากขึ้นอีกนิดก็คงไม่เสียหายอะไร
หากต้องการสร้างอุปกรณ์สำหรับพวกเธอในอนาคต เขาจะต้องพิจารณาถึงทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม