Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 150
เอน่าเริ่มทำการตีความเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัววาห์น และเธอก็ไม่ได้คาดเดาผิดไปมากนักเลย
พอนึกย้อนไปถึงทุกเรื่องที่เขาอธิบายมา เธอก็รู้ว่ามีบางอย่างที่เขาไม่ได้พูดซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับเรื่องอื่นๆ แบบพอดิบพอดี
เธอรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นเร็วขึ้นขณะที่ถามออกไป
“แล้วทำไมนายถึงตัดสินใจตามจีบฉันล่ะ วาห์น?
ความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นของนายดูเหมือนจะเกิดขึ้นเนื่องจากสถานการณ์พาไป แต่นายกลับมาทำตัวแปลกๆ กับฉันตั้งแต่แรกเลย
ในวันแรกที่เราเจอกัน นายก็มาสารภาพรักกับฉันต่อหน้าคนทั้งกิลด์…”
คำพูดของเอน่าทำเอาวาห์นช็อคไปจริงๆ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนั้นยังไงดี
เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าเธอเป็นหนึ่งในตัวละครที่เขาชื่นชอบจากในมังงะ และมันฟังดูบ้ามากที่จะบอกไปว่าเขาชอบแกล้งเธอเล่นแบบไม่มีเหตุผล
วาห์นคิดไปครู่หนึ่ง ขณะที่เอน่าเฝ้ารออย่างอดทนโดยไม่มารบกวนเขา
หลังจากที่เธอชี้ประเด็นนี้ขึ้นมา วาห์นก็ตระหนักว่าเอน่าเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขา ‘เข้าหา’ จากการตัดสินใจของตัวเอง
เขาคิดว่าเธอเป็นคนสวยมากและช่วงเวลาที่ได้มาพบกันนั้น เขาก็อยากจะแกล้งเธอทันทีเพราะมันทำให้เขารู้สึกมีความสุข
วาห์นคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออกแล้วก็เลยถอนหายใจขณะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ
“ตอนที่เห็นเธอครั้งแรก ฉันคิดว่าเธอน่ารักมากเลย… ใช้คำว่างดงามดีกว่า แล้วก็ดวงตาสีเขียวมรกตนั่นอีก
ไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไร แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นเธอตั้งใจทำงาน ฉันก็อยากทำให้เธอยิ้มหรือไม่ก็ทำตัวเปิ่นๆ
มันทำให้ฉัน… มีความสุข”
คิ้วของเอน่าเลิกขึ้นหลังได้ฟังคำอธิบาย และก็เริ่มตระหนักว่าเธออาจเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาเข้าหาด้วยตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าวาห์นขาดความเข้าใจในเรื่องอารมณ์ของตัวเองอย่างมาก และถึงแม้เขาจะพูดเรื่องความสัมพันธ์กับทีโอน่าและไอส์ แต่มันก็เหมือนกับว่าเขากำลังคล้อยตามพวกเธอไปเรื่อยๆ มากกว่า
พอนึกถึงตอนที่เขาอธิบายเรื่องที่คุยกับโคลอี้ เฮเฟสตัส และสึบากิ เอน่าก็ตระหนักว่าทั้งสามคนนี้กำลังพยายามช่วยเขาสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนและสิ่งรอบตัว
น่าเสียดายที่แม้พวกเธอจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจและอยากจะช่วยเขา แต่ทั้งสามก็คงคาดไม่ถึงว่าวาห์นนั้น ‘ผิดปกติ’ มาตั้งแต่แรก ไม่ใช่แค่รู้สึก ‘บอบช้ำ’ จากเรื่องในอดีต
พวกเธอป้องกันเขาจากการถูกเอารัดเอาเปรียบได้ดีมาก แต่หลังจากที่เขาเริ่มมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม พวกเธอก็ไม่ได้มาช่วยดูและอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังเลย
ทันทีหลังจากที่วาห์นมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เขาก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยหญิงสาวและเด็กผู้หญิงที่มีความคาดหวังกับเขาไปต่างๆ นาๆ
เนื่องจากวาห์นมักแสดงความกระตือรือร้นที่จะทำให้คนอื่นพอใจ เขาจึงสนองตอบและพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้พวกเธอพอใจ
ทันใดนั้นเอน่าก็รู้สึกอยากจะพาวาห์นหนีออกจากเมืองและเลี้ยงดูเขาแบบเด็กธรรมดาทั่วไป
เธอเข้าใจดีว่าคนรอบข้างวาห์นนั้นหวังดี แต่พวกเธอมองข้ามเรื่องบุคลิกของเขาและปล่อยให้เขาแบกรับภาระและความคาดหวังของพวกเธอมากเกินไป
ถ้าเป็นแค่หนึ่งหรือสองคนก็อาจจะไม่เป็นไร ที่แต่วาห์นพูดมามันเกินสิบคนเข้าไปแล้ว!
เขายังต้องมาศึกษาเรื่องการสร้างไอเท็มเพื่อทำให้เฮเฟสตัสพึงพอใจ ขณะเดียวกันก็ต้องมาสนับสนุนแฟมิเลียของอนูบิสทั้งที่ยังอยู่ในช่วงพักฟื้นจากบาดแผลสาหัสแท้ๆ
วาห์นสังเกตเห็นว่าเอน่ากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดและมีสีหน้าที่จริงจังมาก
เขามองเห็นว่าออร่าของเธอดูวุ่นวายเล็กน้อย และรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำบางอย่างให้เธอไม่พอใจ
เพราะพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก วาห์นจึงยื่นมือออกมาวางบนหัวของเธอและใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เข้าช่วย
เนื่องจากเธอทำผมมา เขาจึงคิดว่าคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะไปลูบและทำให้มันเสียงทรง
พอรู้สึกว่ามีพลังงานอบอุ่นไหลเข้ามาในหัว เอน่าก็จ้องมองวาห์นที่กำลังยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนและฉายแววตาที่แฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อย
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังถูกบีบขณะที่น้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมาบ้างแล้ว
เอน่ารู้สึกเศร้าจับใจขณะนึกถึงทุกอย่างที่เขาเพิ่งพูดออกมา
เธอรู้สึกว่าตอนที่เขาสารภาพรักออกมานั้น มันเหมือนกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่เธอในตอนนั้นฟังพลาดไป
ตอนนั้นวาห์นยังไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ใครเลย และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการสารภาพรักกับเธอนั้นล้วนมาจากฝ่ายตรงข้ามเป็นคนเริ่มก่อนทั้งสิ้น
เอน่าสังหรณ์ใจว่าถ้าเธอยอมรับความรู้สึกของวาห์นในตอนนั้นและเป็นคนดูแลเขา เขาก็คงจะมีสภาพที่ดีกว่าตอนนี้มาก และไม่ต้องมาแบกรับภาระของผู้คนมากมาย
เธอน่าจะพาเขาไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ และอาศัยอยู่ด้วยกันขณะพยายามช่วยให้เขามีชีวิตแบบคนปกติ
วาห์นรู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆ เอน่าก็เริ่มร้องไห้และเขาอดไม่ได้เลยที่จะดึงตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอดขณะค่อยๆ ลูบหลังของเธออย่างแผ่วเบาและกระซิบข้างหู
“ขอโทษนะเอน่า ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอเสียใจ…”
ตอนที่วาห์นกล่าวขอโทษ เอน่าก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไปก่อนจะกอดที่เอวของวาห์นและร้องไห้เสียงดัง
ยิ่งเขาปลอบมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม
แม้เธอควรจะเป็นคนที่ช่วยแบ่งเบาภาระของเขา แต่ตอนนี้วาห์นกลับมาปลอบเธอแทนขณะพยายามบรรเทาความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดของเธอ
เอน่ายังคงร้องไห้ต่อไปอีกหลายนาทีขณะที่วาห์นยังคงลูบหลังและกระซิบเบาๆ ข้างหูซึ่งดูราวกับว่าเขากำลังปลอบเด็กเล็กๆ
เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เธอเป็นแบบนี้ แต่ก็พอเดาได้ว่าคงเป็นความผิดของเขาและอยากจะทำให้เธอกลับมายิ้มอีกครั้ง
ทุกครั้งที่วาห์นเห็นหญิงสาวรอบข้างร้องไห้เสียใจ เขาก็มักจะรู้สึกราวกับทุกอย่างดูมืดมัวไปหมด
เพราะไม่อาจทนต่อบรรยากาศแบบนี้ได้อีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจใช้วิธีขั้นเด็ดขาดโดยจับที่คางของเอน่าก่อนจะเข้ามาจุมพิตเอลฟ์สาวขี้แย
เขาไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษและเพียงแค่จูบเธอเบาๆ ที่ริมฝีปากโดยหวังว่ามันจะทำให้อารมณ์ของเธอดีขึ้น
แม้เธออาจจะโมโหที่เขาทำอะไรบุ่มบ่าม แต่มันก็คงดีกว่าต้องมาเห็นเธอร้องไห้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ถึงจะยังมีน้ำตาเหลืออยู่นิดหน่อย แต่เอน่าก็หยุดร้องไห้ทันทีขณะจ้องวาห์นอย่างเหม่อลอย
พอเห็นสีหน้าของเธอ วาห์นก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะพูดต่อ
“ได้โปรดอย่าเศร้าไปเลยนะ เอน่า เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้วฉันรู้สึกไม่ดีเลย
ฉันชอบใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุขของเธอมากกว่านะ
ทำไมเราไม่มาทานอาหารแล้วไปเดตกันต่อล่ะ ไม่งั้นฉันจะพาเธอไปส่งบ้านแล้วเราค่อยมาใหม่วันหลังก็ได้”
เอน่าดูเหมือนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งจากคำพูดของวาห์นขณะพยายามประมวลผลในหัว
เธอตระหนักว่าต้องทำการตัดสินใจครั้งใหญ่หลวง ซึ่งมันอาจทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก
หากเธอเลือกที่จะละทิ้งวาห์น เขาก็คงจะถลำลึกลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกภาระที่แบกอยู่กลืนกินเข้าไปสักวัน
แต่หากเลือกที่จะอยู่กับเขา เธอเองก็อาจกลายมาเป็นภาระอีกอย่างของเขาในอนาคต
เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของเด็กหนุ่ม เอน่าก็รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังกระตุกเล็กน้อยและทำได้แค่ขมวดคิ้วให้กับความรู้สึกของตัวเอง
เธอมาสายเกินกว่าที่จะมอบชีวิตปกติให้กับเขาแล้ว แต่ถ้าหากพยายามมากพอ เธออาจจะช่วยบรรเทาภาระบางอย่างให้เขาได้
หากทั้งสองเริ่มคบกันแบบจริงจัง เธอก็จะได้คุยกับผู้หญิงคนอื่นๆ ของเขาและช่วยให้พวกเธอเข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้น
แต่อีกตัวเลือกหนึ่งก็คือปฏิเสธวาห์นและพยายามช่วยเขาผ่านการพูดคุยกับกับเฮเฟสตัสแทน
ดูเหมือนเฮเฟสตัสจะเป็นห่วงวาห์นมาก แต่นั่นก็เป็นสาเหตุของภาระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเช่นกัน
แต่ถ้าหากเข้าไปแทรกแซงแบบอ้อมๆ เธอก็อาจถูกมองว่าเป็นคนวุ่นวายหรือไม่ก็คนที่คอยขัดขวางความรักของคนอื่น
เอน่าเชื่ออย่างสนิทใจว่าเฮเฟสตัสต้องเป็นคนที่อ้างว้างเดียวดายตามที่วาห์นบอกแน่นอน แถมเธอยังฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เด็กหนุ่มอีกด้วย
หากเอน่าทำพลาด เธอก็จะได้พบกับความพิโรธของเทพธิดาและมันจะส่งผลกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับวาห์นด้วย
หากเป็นแบบนั้นจริง เธอก็จะถูกบังคับให้ยืนดูอยู่ข้างสนามขณะเฝ้ามองเปลวไฟที่ลุกโชนของวาห์นต่อไปเรื่อยๆ ก่อนที่มันจะถูกดับลงเข้าสักวัน
เธอไม่รู้ว่ามันอาจเกิดจากแผนร้ายของศัตรู หรือเป็นเพราะภาระจากคนรอบข้างที่คิดว่า ‘วาห์นซะอย่าง เรื่องแค่นี้สบายมาก’
เมื่อหันไปทางเด็กหนุ่มที่ยังคงและปลอบเธอต่อไปเรื่อยๆ เอน่าก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังสุดๆ
“วาห์น นายตัดสินใจไว้แล้วหรือยังว่าจะแต่งงานกับใครในอนาคต?”
เป็นอีกครั้งที่วาห์นรู้สึกประหลาดใจกับคำถามและต้องครุ่นคิดไปพักหนึ่งก่อนจะตอบได้
“ฉันคงจะแต่งงานกับเฮเฟสตัสถ้าตอนนั้นเธอยังอยากแต่งด้วยอยู่นะ
ถ้าเป็นสาวๆ คนอื่นล่ะก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะฉันไม่อยากจะไปบังคับใคร
ถ้าวันหนึ่งพวกเธอเลือกที่จะเดินจากไป ฉันอาจรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าจะไปห้ามอะไรใครหรอก”
วาห์นอยากรักษาสัญญาทั้งหมดที่ให้ไว้กับพวกสาวๆ แต่ก็ไม่เคยคาดหวังว่าพวกเธอจะติดตามเขาไปตลอด
การได้รับโอกาสเพื่อพิสูจน์ว่าเขามีค่า แม้จะแค่ชั่วคราว ก็ทำให้วาห์นรู้สึกดีใจมากแล้ว
วาห์นรู้ดีที่สุดถึงเรื่องต่างๆ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเขาเองก็บอกไม่ได้เลยว่าอนาคตจะเป็นยังไงต่อ
คนๆ เดียวที่เขาเชื่อมั่นและไว้วางใจที่สุดในตอนนี้ก็คือเฮเฟสตัสเท่านั้น
เอน่าดูเหมือนจะตัดสินใจได้แล้วหลังได้ฟังคำตอบของเขา ดังนั้นเธอจึงมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเลและพูดต่อ
“วาห์น ฉันอยากให้นายแต่งกับฉัน
ฉันจะไม่มากีดกันเรื่องผู้หญิงคนอื่นเลย แต่ฉันอยากเป็นภรรยาคนแรกของนาย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะไม่ขอนายหย่าเด็ดขาด… แต่นายสามารถทำแบบนั้นตอนไหนก็ได้”
เอน่ารู้ดีว่ากำลังเพิ่มภาระอีกหนึ่งอย่างให้กับวาห์น แต่เธอก็เชื่อว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดเพื่อชักจูงผู้หญิงคนอื่นๆ
นอกจากนี้มันยังเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้หญิงบางคนเข้าหาวาห์นในอนาคต และเปิดโอกาสให้ตัวเธอเองได้อยู่ใกล้กับเขาเพื่อที่จะได้ปรับชีวิตของเด็กหนุ่มให้มั่นคงมากขึ้น
สำหรับวาห์นแล้ว ดูเหมือนว่าเอน่าจะชอบทำให้เขาประหลาดใจอยู่เรื่อยๆ จากชุดคำถามน่าอัศจรรย์ที่เธอเตรียมมา
วาห์นบอกได้ว่าเธอกำลังจริงจัง แต่เหตุการณ์ในช่วงนี้ทำให้เขาไม่สามารถตกปากรับคำได้ในทันที
ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ในหลายๆ ครั้งของวาห์นมักจะมาถึงจุดวิกฤติก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้นซะอีก
แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูกังวลของเธอ วาห์นก็ไม่อยากจะปฏิเสธออกมาตรงๆ
“ทำไมจู่ๆ ถึงพูดเรื่องนั้นล่ะ? นี่แค่เดตแรกเองนะ มีเวลาให้คุยเรื่องนี้อีกตั้งเยอะ”
เอน่าเห็นด้วยกับคำพูดของวาห์นและรู้ตัวดีที่สุดว่าเธอฟังดูเร่งรีบขนาดไหน
เนื่องจากไม่ต้องการเป็นหนึ่งในสาวๆ ที่มาพึ่งพาเขาโดยไม่อธิบายให้เรียบร้อย เธอก็เลยอธิบายออกมาแบบหมดเปลือกเดี๋ยวนั้นเลย
เอน่าบอกทุกอย่างที่เธอเชื่อว่าตัวเอง ‘เข้าใจดีแล้ว’ ที่เกี่ยวกับวาห์นและอดีตของเขา
เธอยังเตือนให้เขาคิดเผื่อไว้ด้วยว่าทั้งหมดเป็นแค่การคาดเดาซึ่งอาจจะผิดพลาดไปบ้าง และอยากให้เขาทบทวนในใจอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง
วาห์นได้แต่ฟังไปอึ้งไปและคิดในใจอยู่หลายครั้งว่าเธออ่านเขาออกแบบละเอียดยิบจนน่ากลัวมาก
แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของเอน่าในทันที แต่วาห์นก็เข้าใจว่าการคาดเดาส่วนใหญ่ของเธอนั้นเป็นความจริง
หลายเรื่องที่เธอกังวลคือสิ่งที่กำลังบั่นทอนจิตใจของวาห์นมาพักหนึ่งแล้ว
วาห์นรู้ดีกว่าใครๆ ว่าตัวเองพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้คนอื่นพอใจ มันจึงกลายมาเป็นภาระที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มีคนเข้าหา
และเขาก็คงทำเพื่อคนอื่นโดยไม่คิดถึงตัวเองแทบจะทุกครั้งไป
แต่สิ่งที่วาห์นไม่เข้าใจก็คือสาเหตุที่เอน่าคิดว่าการแต่งงานจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
พอถามออกไป เธอก็เริ่มอธิบายเหตุผลออกมาด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่นขึ้นมาอีกหน่อย
จากที่วาห์นเข้าใจ เธอกำลังอาสาเพื่อทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันขณะที่ยังยอมให้เขาทำทุกอย่างได้ตามความพอใจ
แต่ถ้าหากว่าเขาเริ่มทำเลยเถิดอีกครั้ง เธอก็จะเข้ามาคุมโดยการใช้ความปรารถนาที่อยากทำเพื่อคนอื่นของเขามาใช้ให้เป็นประโยชน์
ใช่แล้ว เอน่าอธิบายออกมาตรงๆ เลยว่าเป็นความตั้งใจของเธอที่จะใช้ประโยชน์จากการที่เขา ‘ผิดปกติ’ เพื่อช่วยทำให้เขาดีขึ้น
(TL: เวลาไม่มีเรื่อง – [เอน่า: อืมๆ ปล่อยไปๆ ยินดีกับน้องใหม่ด้วยนะคะที่โดนปักธง]
เวลางานมา – [เอน่า : อะไรนะ!? น้องคนที่เข้ามาใหม่บอกให้ไปถล่มแฟมิเลียนี้ให้หน่อย? แล้วนี่ทำไหวไหม? โอกาส 50/50!? อยู่บ้านไปค่ะ สภาแม่บ้านคุยกันแล้ว เรื่องนี้ไม่ผ่านค่ะ]
หมายเหตุ : นี่เป็นกรณีสมมติล้วนๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว)
เธอต้องการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตของเขาโดยไม่สนใจเลยว่าวาห์นจะรักเธอในฐานะภรรยาหรือเปล่า
เธอยังสนับสนุนให้เขาปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นพี่สาวที่คอยให้คำแนะนำกับเขาแทนด้วย
คำพูดของเอน่าทำให้วาห์นนึกถึงใครบางคนที่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้ให้ความสนใจเท่าไหร่
เพราะมัวแต่จดจ่อไปกับความคิดและการกระทำของตัวเอง เขาจึงแทบไม่ได้คุยกับพี่สาวอีกเลย
ในช่วงเวลาที่รู้สึกหลงทางหรือสับสน เสียงของพี่สาวก็มักจะเข้ามาในหัวและช่วยบรรเทาความคิดที่วุ่นวายของตัวเอง
วาห์นตระหนักว่าเอน่าต้องการเข้ามารับบทนี้เช่นกัน และเต็มใจที่จะแบ่งเบาภาระเพื่อที่เขาจะได้มีความสุขมากขึ้น…
วาห์นเริ่มพูดในใจเบาๆ
(“พี่สาว ขอบคุณนะ… ที่อยู่ข้างกันมาตลอด ถึงแม้ว่าผมจะละเลยพี่ไปก็ตาม”)
เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความคิดของเขา คราวนี้แตกต่างจากเสียงเรียบๆ ที่เขามักจะได้ยินตามปกติ
มันกลายเป็นเสียงของหญิงสาวที่อ่อนโยนขณะที่เธอเริ่มพูดกับวาห์น
(*ฉันจะอยู่ข้างเธอเสมอนั่นแหละวาห์น แต่สงสัยตอนนี้คงต้องโอนงานบางส่วนให้คนอื่นทำแทนแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า~*)
นับเป็นครั้งแรกที่วาห์นได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของพี่สาว
เธอดูเป็นมนุษย์มากกว่าที่เขาจำได้ และรู้สึกขอบคุณ ‘เดอะพาธ’ มากที่มอบพี่สาวที่ดีที่สุดให้กับเขา…
วาห์นได้ยินการแจ้งเตือนในหัวของเขาและสังเกตเห็นว่าพี่สาวได้ซื้อบางอย่างจากร้านค้าโดยไม่ถามเขาก่อน
ภายในช่องเก็บของนั้น จู่ๆ ก็มีแหวนทองคำบริสุทธิ์ที่ประดับด้วยอัญมณีสีเขียวมรกตซึ่งคล้ายกับสีดวงตาของเอน่า
ดูเหมือนว่าพี่สาวกำลังเปิดโอกาสให้เขาได้เปลี่ยนสถานการณ์เล็กน้อยและแสดงความเท่ออกมา ดังนั้นเขาจึงมองมาที่เอน่าและยื่นมือให้เธอ
เอน่าสับสนเล็กน้อยจากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเขา แต่เธอก็พอมองเห็นความชัดเจนอยู่ภายในสายตาที่ยุ่งเหยิงนั่นขณะที่เขากำมือออกมาข้างหน้า
ดวงตาของเธอจ้องมองมือที่กำอยู่ ขณะที่มันค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ และเผยให้เห็นแหวนทองคำงดงามที่ประดับไปด้วยมรกตเม็ดใหญ่
สมองของเอน่าแทบจะระเบิดออกมา เพราะเธอรู้สึกเหมือนว่าวาห์นมีความตั้งใจที่จะขอเธอแต่งงานอยู่ก่อนแล้ว
เธอหันไปประสานตากับเขาและสังเกตเห็นสีหน้าที่ดูรักใคร่มากกว่าแต่ก่อน
วาห์นพูดทีละคำออกมาอย่างช้าๆ “เอน่า แต่งงานกับฉันนะ?”