Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 162
หลังจากที่สมองของเลฟิย่าลัดวงจรไปอีกพักหนึ่ง การแนะนำตัวของสาวๆ ก็ดำเนินต่อไป
เพื่อไม่ให้ถูกสาวๆ จากโลกิแฟมิเลียข่มเอาง่ายๆ นานูจึงเชิดคางขึ้นขณะแสดงสีหน้าภูมิใจก่อนจะประกาศตัวบ้าง
“ฉัน นานู และนายท่านคือคู่ครองในอนาคตของฉันค่ะ!
เมื่อได้ยินถ้อยคำของเธอ ผู้หญิงบางคนที่โต๊ะก็เริ่มทำหน้าแปลกๆ ราวกับว่าเชียนโธรปน้อยได้พูดอะไรที่ประหลาดมากออกมา
อนูบิสเปล่งเสียงหัวเราะสั้นๆ ก่อนจะอธิบายให้หายข้องใจ
“ในเผ่าทางใต้นั้น เรื่องการสร้างความสัมพันธ์จะต่างไปจากที่นี่เล็กน้อย
ฉันแน่ใจว่าเดี๋ยวคงได้มีพูดเรื่องนี้กันทีหลังแน่ๆ ดังนั้นขออนุญาตพูดต่อจากนานูก็แล้วกัน”
เมื่ออนูบิสพูดออกมา ดวงตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่เทพสาวเผ่าเชียนโธรปขณะที่เธอเริ่มแนะนำตัว
“สวัสดี ฉันชื่ออนูบิส เทพธิดาแห่งอนูบิสของอนูบิสแฟมิเลีย และข้ารับใช้ของนายท่านวาห์น เมสัน
ฉันจะติดตามนายท่านของฉันต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตของเขาจะหาไม่
ฉันมั่นใจว่าคงจะได้พบกับพวกเธอในอนาคตอีกแน่นอน”
ผู้หญิงส่วนใหญ่รู้สึกกดดันเล็กน้อยหลังจากได้รู้ว่าเทพธิดร่างงามที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็น ‘ข้ารับใช้’ ของวาห์น
มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากกับการที่เทพธิดาจะมารับใช้มนุษย์
แถมเธอดูจะเป็นอุปสรรคสำคัญในอนาคตโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากเด็กสาวสามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
หนึ่งในเด็กกลุ่มเด็กสาว มาอัต เริ่มพูดต่อจากอนูบิส
“ฉันมาอัต เป็นสมาชิกฝูงของนายท่าน
ฉันจะติดตามนายท่านต่อไปจนกว่าจะได้พบกับคู่ครองในอนาคตค่ะ”
จากนั้นก็เป็นตาของชีโอนบ้าง
“สวัสดีค่ะ ฉันชีโอน และฉันจะติดตามนายท่านจนกว่าจะได้เป็นคู่ครองด้วยหรือได้พบกับคู่ครองในอนาคตค่ะ”
หลังจากที่เหล่าเชียนโธรปจาก ‘ฝ่ายของอนูบิส’ ได้พูดกันครบทุกคนแล้ว คนที่เหลือก็เข้าใจทันทีว่าพวกเธอจะสนับสนุนซึ่งกันและกันโดยมีวาห์นเป็นเป้าหมาย
พอเห็นว่าแม้แต่นานูเองก็เป็น ‘คู่ครอง’ ของเขาไปแล้ว มันคงจะไม่ใช่เรื่องเกินจริงไปนักหากเด็กสาวที่มีอายุพอๆ กันจะทำบ้าง
อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดก็คือเทพสุนัขซึ่งเฝ้ามองทุกคนอย่าง ‘อ่อนโยน’ แต่ก็แฝงไปด้วยการข่มขู่
หลังจากกลุ่มของอนูบิส คนต่อไปก็คือสึบากิซึ่งกลับมาใช้บุคลิกร่าเริงอีกครั้ง
เพราะรู้จักกับเฮเฟสตัสมาเกือบยี่สิบปีแล้ว เธอจึงเข้าใจว่าเทพธิดาของตนมีแผนในใจและพร้อมรับทุกสถานการณ์
หลังจากที่เห็นเฮเฟสตัสไม่สนใจคำพูดของโลกิ สึบากิก็เริ่มหันมาสนใจสถานการณ์ตรงหน้ามากขึ้น
“ว่างาย~! ชื่อของฉันคือสึบากิ และบอกจะว่าฉันเป็นเหมือนแม่ของวาห์นก็ได้มั้ง?
ถึงตอนนี้ฉันจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับวาห์น แต่ไม่ขอรับประกันนะว่าจะเป็นแบบนั้นไปได้อีกนานเท่าไหร่
‘นิ้ววิเศษ’ ของเจ้านั่นนี่มันอันตรายจริงๆ”
เมื่อพูดคำสุดท้ายออกไป เธอก็ยิ้มและหัวเราะให้กับเฮเฟสตัสอย่างรู้ทัน
เพื่อทำตามกระแส ‘พูดแบบเป็นกลุ่มๆ’ ตอนนี้ก็ถึงตาของลิลลี่แล้ว
“ฉัน ลิลิรูก้า อาเด้ และฉันรักวาห์นมากๆๆ!
แม้ว่าเขาจะยังปฏิบัติกับฉันเหมือนเด็ก แต่ถ้าแข็งแกร่งขึ้นเมื่อไหร่ ฉันก็จะไปอยู่เคียงข้างเขา!
ตอนนี้พวกเธออาจจะนำไปก่อน แต่ฉันจะไม่ยอมถูกทิ้งห่างหรอกนะ!”
ในฐานะหนึ่งในผู้ที่มีเลเวลต่ำ ลิลลี่จึงประกาศตัวเสียงสูงเพื่อปลดปล่อยความหงุดหงิดออกมาบ้าง
เธอจ้องมองทีโอน่าและไอส์ราวกับเป็นคู่แข่งและดูจะไม่ยอมแพ้ให้กับพวกสาวๆ ที่แก่กว่าตัวเองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากจ้องประสานตากับทั้งสองไปแล้ว เธอก็หันไปหานานูซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกัน
การได้เห็นเด็กสาวตัวเล็กพูดอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นคู่ครองของวาห์นนั้นส่งผลกระทบกับเธอมากพอสมควร
นาซ่าตามเธอมาอย่างรวดเร็วและเริ่มแนะนำตัวต่อจากลิลลี่
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดอธิบาย
“ฉัน นาซ่า เอลิสวิส และเป็นคนที่วาห์นช่วยชีวิตเอาไว้
ฉันเริ่มที่จะรู้สึกกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ และตั้งใจว่าจะไปอยู่เคียงข้างเมื่อฉันแข็งแกร่งกว่านี้”
ถึงเธอจะไม่ได้พูดดังอะไรนัก แต่ความแน่วแน่ในน้ำเสียงของนาซ่าก็ได้รับความเห็นชอบจากสาวๆ บางคน
เนื่องจากพวกเธอนั่งอยู่ทางด้านขวาของนาซ่าและลิลลี่ คราวนี้ก็มาถึงตาของโคลอี้และอาเนียบ้าง
ตอนนี้อาเนียรู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น และเธอก็ดูสับสนขณะพยายามอธิบาย
“ฉะ-ฉันคิดว่าตัวเองไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่นะ~เมี้ยว!
ถึงวาห์นหล่อมากและเป็นลูกค้าที่ดี แต่ฉันก็ไม่ต้องการที่จะแข่งกับโคลอี้หรอก~เมี้ยว!”
แม้อาเนียจะได้บริการวาห์นมาหลายครั้งแล้ว แถมยังได้ ‘เล่นหูเล่นตา’ กันนิดหน่อย แต่เธอก็แค่อยากจะหยอกล้อเขาเล่นเท่านั้นเอง
โคลอี้เป็นหนึ่งในเพื่อนที่ดีของเธอ และอาเนียก็ไม่ต้องการที่จะไปขวางความสุขของทั้งสอง
หลังจากอาเนียพูดออกมารวดเดียวจบ โคลอี้ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อรุณสวัสดิ์ ฉันชื่อโคลอี้ โรโล่ (TL: คนแต่งขอแก้นามสกุลเล็กน้อย)
ยินดีมากที่ได้รู้จักนะคะ”
แม้ว่าคำพูดของเธอจะฟังดูสุภาพ แต่สาวๆ หลายคนรู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกคามขณะที่เธอพูดต่อ
“ฉันเคยพยายามช่วยรักษาแผลในอดีตของวาห์น… แล้วก็อาจจะต้องกลายเป็นศัตรูกับพวกคุณบางคนหากบางอย่างยังไม่ได้รับการแก้ไข…”
โคลอี้จ้องมองไปทางไอส์และทีโอน่าอย่าง ‘เดือดๆ’ ก่อนจะหันไปทางสมาชิกของอนูบิสแฟมิเลีย
คนอื่นๆ ที่ไม่มีสีหน้าประหลาดใจกับการกระทำของเธอก็มีแค่คนที่รู้เรื่องของเธอกับวาห์นอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น
เฮเฟสตัสชำเลืองมองโคลอี้ก่อนจะหันไปสบตากับเอน่าและพยักหน้าให้กันอย่างเข้าใจ
จากนั้นเฮเฟสตัสก็หันไปหาคู่แม่-ลูกซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย
ทีน่าได้รับผลกระทบมากมายจากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัว
น้ำตาเริ่มเล็ดออกมาจากดวงตาของสาวน้อยขณะที่คิ้วก็เริ่มขมวดขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับวาห์นจากลูกค้ามาบ้าง แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีผู้หญิงมากมายขนาดนี้หลังจากที่ได้ให้สัญญาไว้กับเธอ
เธอเริ่มนึกย้อนถึงอดีตและความรู้สึกเสียใจก็เริ่มเอ่อล้นออกมาจากการที่ไม่ได้ติดตามเขาให้เร็วกว่านี้
วันที่วาห์นเข้าไปในดันเจี้ยน เธอเองก็เห็นเขาพอดีและพยายามโบกมือให้ แต่วาห์นกลับไม่สนใจขณะมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ
ตอนนั้นเธอรู้สึกเศร้าและอารมณ์เสียมากจนถึงขนาดกลับมาร้องไห้ในอ้อมอกของมารดาหลังจากที่ทั้งสองเลิกงาน
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็แค้นวาห์นไปพักใหญ่ๆ และตั้งใจว่าจะสอนบทเรียนให้กับเขาเมื่อเด็กหนุ่มกลับออกมา
ทีน่ายังคง ‘แค้น’ แบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินข่าวลือว่าวาห์นได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสำรวจดันเจี้ยนกับโลกิแฟมิเลีย
หัวใจน้อยๆ ของเธอเหมือนถูกบีบคั้นอย่างเจ็บปวดขณะอ้อนวอนให้มิลานอนุญาตให้เธอเดินทางออกไปเยี่ยมเด็กหนุ่ม
หลังจากจัดพนักงานชั่วคราวเพื่อดูแลโรงแรมเรียบร้อยแล้ว มิลานและทีน่าก็เดินทางไปยังที่ที่วาห์นเข้ารับการรักษา
แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องผู้ป่วย แต่ทั้งสองก็รออยู่ด้านนอกจนฟ้ามือเพื่อรอรับข้อมูลเกี่ยวกับอาการของวาห์น
และในที่สุด พวกเธอก็ได้ทราบข่าวจากสมาชิกคนหนึ่งของโลกิแฟมิเลียว่าวาห์นได้รับความเสียหายอย่างหนักที่สมองซึ่งไม่มีหนทางรักษา
นั่นทำให้สองแม่ลูกรู้สึกหมดอาลัยตายอยากไปตามๆ กัน
ทีน่าทรุดลงกับพื้นทันทีและต้องได้รับการดูแลอย่างฉุกเฉินจากเจ้าหน้าที่ใกล้เคียง
ขณะที่มิลานต้องทนกับความเจ็บปวดแบบเท่าทวีคูณจากสภาพของวาห์นและลูกสาวตัวเอง
ในช่วงเก้าวันหลังจากนั้น ทีน่าดูเหมือนจะกลายเป็นแค่ ‘เปลือก’ ขณะที่เธอทำงานต่อไปอย่างเอื่อยเฉื่อย
มิลานเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่การสูญเสียสามีเมื่อหลายปีก่อนนั้นทำให้หัวใจของเธอแข็งแกร่งขึ้นมากจนสามารถทำงานส่วนใหญ่ต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา
พวกเธอยังเป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในวันที่เก้าเมื่อมีลูกค้าคนหนึ่งเล่าว่าวาห์นได้ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์
มิลานเป็นคนแรกที่ได้ยินข่าว และนั่นทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวด้วยความยินดีเมื่อรู้ว่าวาห์นฟื้นแล้ว
เมื่อบอกเรื่องนี้กับบุตรสาว ทีน่าก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดจนต้องอธิบายไปหลายรอบ
พอเริ่มเข้าใจสิ่งที่แม่พร่ำบอก ดวงตาของทีน่าก็พลันเบิกกว้างและรีบวิ่งออกจากโรงแรมทันที
มิลานพยายามห้ามเธอไว้ แต่ก็จบลงด้วยการออกตามไปขณะทิ้งหน้าที่ทั้งหมดให้กับพนักงานชั่วคราวที่เธอจ้างมา
ทีน่าวิ่งเร็วที่สุดในชีวิต แต่มิลานผู้เคยเป็นถึงนักผจญภัยเลเวล 3 ก็ไล่ตามเธอทันภายในสองช่วงตึก
ทีน่าพยายามสะบัดมือของแม่ออกและตรงดิ่งไปทางสถานพยาบาล แต่มิลานก็รีบอธิบายว่าเด็กหนุ่มได้กลับไปยังที่พักแล้ว
ทีน่าต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อประมวลผลคำพูดนั่น แต่ในที่สุดเธอก็สงบสติอารมณ์ลงได้และกลับไปที่โรงแรมพร้อมกับแม่
เมื่อกลับมาถึง ทีน่าก็เข้าสู่สภาวะปกติและเริ่มทำงานอย่างจริงจังอีกครั้ง
เธอต้องการให้ทุกอย่างสะอาดหมดจดโดยคาดหวังว่าวาห์นจะแวะมาหาในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว
ความตื่นเต้นของเธอดำเนินต่อไปในวันที่สอง จนกระทั่งถึงวันที่ได้ยินข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับวาห์น
ทีน่ารู้สึกเสียใจมากเพราะไม่อยากเชื่อเลยว่าวาห์นจะออกไปควงสาวสองคนหลังฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นาน
ขณะที่เธอมัวแต่ตื่นเต้นและเฝ้ารอการกลับมาของเขา วาห์นกลับไม่สนใจเธอเลยและยังหนีไปกกสาวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
เธอปฏิเสธที่จะเชื่อข่าวลือเหล่านั้นและยังคงทำงานอย่างหนักด้วยความหวังว่าสุดท้ายแล้ววาห์นก็จะมาอธิบายทุกอย่างเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้ว แต่วาห์นก็ไม่เคยแวะมาเพื่อสลายความกังวลของเธอเลย
เธอกลับได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์อื่นๆ อีด แถมว่ากันว่าเขายังหลบไปซ่อนตัวเพื่อ ‘หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ’ อีกด้วย
ทีน่ากลับเข้าสู่โหมดหุ่นยนต์อีกครั้ง จนกระทั่งสาวลูกครึ่งเอลฟ์แสนสวยปรากฏตัวขึ้นและส่งคำเชิญให้กับเธอ
แม้ว่าตอนนั้นจะไม่ได้สนใจมากนัก แต่เมื่อทีน่ารู้ว่ามันเป็นการพูดคุยที่เกี่ยวข้องกับวาห์น เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย
แม้ตอนนี้จะมีอาการแบบคนอกหัก แต่เธอก็ไม่อาจลืมเด็กหนุ่มที่สร้างประทับใจให้ออกไปง่ายๆ ไม่ได้
เธออยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา และถ้าเป็นไปได้ ก็จะออกไปหาคำตอบที่ค้างคาใจมาโดยตลอด
ตอนนี้ถึงเวลาที่เธอต้องแนะนำตัวแล้ว แต่ทีน่าก็เอาแต่อ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี
เรื่องแต่ละอย่างที่ได้รู้จากการสนทนาครั้งนี้กำลังส่งผลกระทบอย่างหนัก ขณะที่ความปวดร้าวจากวันก่อนๆ ก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง
แต่แล้วสาวน้อยรู้สึกถึงสัมผัสอันอ่อนโยนของผู้เป็นแม่และเห็นสีหน้าของ ‘คู่แข่ง’ จนในที่สุดทีน่าก็กู้ความมุ่งมั่นกลับมาได้บางส่วน
“ฉัน ทีน่า ยูเอล… และเคยสัญญากับวาห์นไว้ว่าจะแข็งแกร่งขึ้นจนติดตามเขาไป…”
ในขณะที่พูดเรื่อยๆ ทีน่าก็ทนต่อไปไม่ไหวก่อนจะร้องไห้ออกมาภายใต้สายตาของทุกคนที่จ้องมองเธอด้วยอารมณ์ต่างๆ กัน
มิลานลูบหลังบุตรสาวขณะที่ตนเองรู้สึกเคืองๆ อยู่ในใจ
ความประทับใจของเธอที่มีต่อวาห์นนั้นคือเด็กหนุ่มที่ไร้เดียงสาและอ่อนโยน แต่สถานการณ์ตอนนี้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเธอมาก
เธอและลูกสาวเป็นแค่คนธรรมดาเมื่อเทียบกับผู้หญิงอื่นๆ ที่โต๊ะ และดูเหมือนว่ารักครั้งแรกของเจ้าตัวน้อยอาจจะจบแบบไม่ค่อยสวยซะแล้ว
มิลานก็รู้สึกหลงทางหน่อยๆ เมื่อนึกย้อนถึงอดีตของเธอกับวาห์น แต่เธอก็ไม่อยากทำให้ทีน่าลำบากใจไปมากกว่านี้
ขณะที่ทีน่าร้องไห้ออกมาเรื่อยๆ ทุกคนบนโต๊ะก็ยังคงนิ่งเงียบและรู้สึกสงสารสาวน้อยคนนี้เช่นกัน
ตอนนี้ทีน่ามีอายุเพียงสิบปีเท่านั้น และสถานการณ์ตรงหน้าก็เป็นอะไรที่เจ็บปวดมากสำหรับเธอ
แม้แต่เฮเฟสตัสและเอน่าเองก็เริ่มรู้สึกว่านี่อาจเป็นความผิดพลาดที่ให้เด็กสาวและแม่ของเธอเข้ามาร่วมงานในวันนี้
ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกแบบนั้น ลิลลี่เฝ้ามองดูเธอพร้อมคิ้วที่ขมวดและถามขึ้นเบาๆ
“ทีน่า นี่เธอรักวาห์นจริงๆ หรือเปล่า?”
ทีน่าได้ยินเสียงเดียวที่ฟังดูคุ้นหูและหันมาสบตากับลิลลี่ ขณะที่เธอพึมพำตอบด้วยเสียงสะอื้น
“รักสิ ฉันรักเขามากจริงๆ… มากจนหัวใจแทบจะแตกสลายอยู่แล้ว…”
คิ้วของลิลลี่ยิ่งขมวดหนักกว่าเดิมขณะที่เธอถามต่อ
“เธอคิดเหรอว่าจะเก็บวาห์นไว้คนเดียวได้?
แม้แต่ฉันเองยังไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นไปได้ แถมยังเชื่อว่าสักวันเธอคงจะกลายมาเป็นคู่แข่งด้วย
แต่นี่แค่เจอปัญหาครั้งแรก เธอก็ไม่เอาด้วยแล้วเหรอ?”
ทีน่ายังคงร้องไห้ต่อไปขณะจ้องมองสีหน้าจริงจังของลิลลี่
ไม่กี่อึดใจต่อมา เธอก็ลดหัวลงต่ำขณะพึมพำ
“ฉัน… ฉันไม่อยากยอมแพ้… ฉันอยากจะอยู่กับวาห์น…
ไม่ยุติธรรมเลยนะที่ทุกคนได้อยู่กับเขายกเว้นแต่ฉันคนเดียว~เมี้ยว!”
ช่วงสุดท้ายนั้นทีน่าตะโกนออกมาสุดเสียงแม้จะติดสำเนียงของเผ่ามนุษย์ออกมาด้วยก็ตาม
ลิลลี่พยักหน้าก่อนจะมองไปรอบโต๊ะและพูดต่อ
“สิ่งที่สำคัญก็มีแค่ความรู้สึกและความพยายามของเธอเท่านั้นแหละ
ถึงทุกคนในนี้จะกลายมาเป็นคู่แข่ง แล้วไงล่ะ!?
นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะหยุดไล่ตามสิ่งที่ตัวเองต้องการสักหน่อย
ส่วนฉันก็จะพยายามต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมแพ้ให้ใครง่ายๆ หรอก!”
ลิลลี่กับทีน่าจ้องประสานตากันอยู่หลายวินาทีในขณะที่คนอื่นๆ มองมาด้วยสีหน้าแปลกๆ
พอผ่านไปสักพัก ทีน่าก็พยักหน้าให้กับลิลลี่
“ฉันเองก็จะไม่ยอมแพ้เหมือกัน… จะไม่ยอมสละความรู้สึกทิ้งไปเด็ดขาด… ไม่มีวันซะหรอก~เมี๊ยว!
แม้จะยังมีใบหน้าที่ซีดเผือด แต่ทุกคนก็เห็นว่าเด็กสาวตัวน้อยได้กู้ความมุ่งมั่นกลับมาได้ครบหมดแล้ว
มิลานรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวมาก ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวบ้าง
“ฉัน มิลาน ยูเอล เป็นแม่ของทีน่า ฉันเคยดูแลวาห์นอยู่ช่วงนึง
เมื่อมาเขาพักที่โรงแรมของฉัน ฉัน…”
แม้วางแผนที่จะบอกปัดความรู้สึกของตัวเอง แต่มิลานก็ไม่อาจสรรหาคำพูดใดๆ ออกมาได้
หลังจากได้สัมผัสกับความจริงจังของผู้เป็นลูก เธอก็ไม่เคยหวังว่าวาห์นจะคิดกับเธอแบบนั้น และเคยหวังว่าจะได้เห็นเด็กหนุ่มและลูกสาวอยู่กินกันอย่างมีความสุขในอนาคต
มิลานถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ
“ฉันชอบหยอกล้อกับวาห์น และไม่คิดว่าจะปฏิเสธถ้าเขาเป็นฝ่ายรุกก่อน
ฉันคงพูดได้ไม่เต็มปากว่ามีใจให้เขา แต่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าอยู่กับเขาแล้วรู้สึกดี
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉันก็คือได้เห็นลูกสาวมีความสุข และฉันจะคอยสนับสนุนเธอต่อไปในอนาคต”
มิลานตัดสินใจที่จะพูดมันออกมาตรงๆ เพราะเธอนึกภาพไม่ออกเลยว่าหากเก็บมันไว้เป็นความลับและเอาแต่รอให้มันระเบิดออกมาวันใดวันหนึ่งนั้นจะสร้างปัญหาได้มากขนาดไหน
น่าแปลกที่ไม่มีใครแสดงออกมาว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นแปลก แม้กระทั่งลูกสาวของเธอเอง
มิลานมองเข้าไปในดวงตาของลูกสาวและได้รับคำตอบก่อนที่จะได้ถามอะไรออกไป
ตอนนี้ทีน่าเริ่มมองเธอแบบงงๆ
“หม่าม้าเป็นคนบอกเองนี่ว่าคนที่จะมาจับหูกับหางได้ต้องเป็นคนที่หนูชอบเท่านั้น
คนที่ยอมให้วาห์นจับหูเป็นคนแรกก็หม่าม้าเองไม่ใช่เหรอ?”
มิลานอยากจะค้านคำพูดของลูกสาวแต่กลับมีเสียงขัดขึ้นมาเสียก่อน
“อ๊ะ! เธอนี่เองที่ทำให้วาห์นกลายเป็นปีศาจลูบไล้!”
เสียงตกใจนั่นดังมาจากลิลลี่ ผู้ที่เคยคิดว่าต้องระวังแค่ทีน่าเท่านั้น
คำพูดของเธอทำให้เกือบทุกคนบนโต๊ะมองมิลานแบบแปลกๆ ส่วนพวกที่มีหูและหางปุกปุยก็เริ่ม ‘กระตุก’ และ ‘กระดิก’ กันใหญ่
มิลานจ้องเหล่าสาวๆ ที่กำลังแสดงสีหน้าแตกต่างกันไป
โดยที่ส่วนใหญ่นั้นกำลังนึกย้อนถึงอดีตของตัวเองขณะฉายแววตาขอบคุณไปทาง ‘คนเริ่มกระแส’
มิลานทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากคิดในใจ ‘นี่เราทำให้วาห์นกลายเป็นปีศาจลูบไล้งั้นเหรอ?’