Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 50
เพราะโรงหลอมของเฮเฟสตัสอยู่ใกล้กับโรงแรม วาห์นจึงมาถึงที่นี่ได้อย่างรวดเร็วหลังแยกกับลิลลี่ เมื่อเขาเข้าไปในอาคาร หนึ่งในคนดูแลก็เดินเข้ามาหาซึ่งทำให้เขาระวังตัวขึ้นเล็กน้อย เมื่อชายร่างยักษ์เข้ามาใกล้ เขาก็ถามขึ้น
“คุณคือวาห์น เมสันใช่ไหม?”
วาห์นพยักหน้าโดยที่ยังระวังตัวอยู่ เมื่อเห็นการยืนยันของเขา ชายคนนั้นก็หันไปหาพรรคพวกและมีคนหนึ่งที่วิ่งเข้าไปในห้องด้านหลัง ผู้ดูแลคนอื่นๆ ก็เริ่มพาลูกค้าที่มีอยู่ไม่กี่คนออกจากร้านโดยไม่ฟังเสียงประท้วงของพวกเขาเลย เมื่อทุกคนไปหมดแล้ว ชายร่างยักษ์ที่คุยกับวาห์นก็พูดขึ้น
“ท่านเฮเฟสตัสแจ้งให้เราพาคนอื่นออกไปให้หมดและรายงานเธอทันทีที่คุณมาถึง คุณไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นหรอก ถ้าเราคิดจะทำอะไรคุณจริงๆ ต่อให้ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์” ชายคนนี้สูงกว่า 190 ซม. และมีรูปร่างคล้ายหมี แม้ว่าตอนนี้วาห์นจะยังไม่ทราบ แต่ชายคนนี้ผู้มีนามว่าเซฟฟ์ เป็นอดีตนักผจญภัยเลเวล 4 จากแฟมีเลียที่ล่มสลายไปแล้วและกลายมาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยแทน
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาทำตามคำสั่งของเฮเฟสตัส วาห์นจึงตัดสินใจผ่อนคลายลงแต่ก็ยังไม่ลดความระแวดระวังไปทั้งหมด เมื่อเห็นว่าวาห์นยังคงตื่นตัวอยู่ เซฟฟ์ก็พยักหน้าให้เขาอย่างชื่นชมก่อนจะส่งสัญญาณให้คนของเขาออกไปจากร้าน พวกเขาได้รับคำสั่งให้รักษาความปลอดภัยในบริเวณโดยรอบและห้ามไม่ให้ใครเข้ามาในร้าน ก่อนที่เซฟฟ์จะออกไป เขาก็หันไปหาวาห์นและให้คำแนะนำเล็กน้อย
“เป็นเรื่องดีที่นายไม่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูดไปซะหมด รักษาความรู้สึกนี้ไว้ให้ดี สักวันมันอาจช่วยชีวิตนายไว้”
วาห์นพยักหน้าขณะมองเขาเดินออกไป เขาเห็นด้วยกับคำพูดของผู้ดูแลคนนี้เพราะเขาเกือบตายจากความเลินเล่อของตัวเองมาแล้ว เหตุผลเดียวที่เขาลดการเฝ้าระวังลงก็เพราะออร่าของชายคนนั้นไม่ส่อแววมุ่งร้ายต่อเขา มันเป็นออร่าสีฟ้าที่ดูสงบนิ่งและมีสีเขียวอยู่รอบนอก
หลังจากที่เขายืนรออยู่สองสามนาที เฮเฟสตัสก็ออกมาจากห้องด้านหลัง วาห์นมองเห็นตัวเธอเต็มไปด้วยเขม่าควันและเหงื่อที่เปียกชุ่ม เธอคงกำลังหลอมไอเท็มอยู่ในห้องส่วนตัวของเธอก่อนที่เขาจะมาถึง พอนึกถึงประสบการณ์ของเขากับ ‘เพลิงนิรันดร์’ วาห์นก็รู้สึกหวั่นๆ เรื่องที่จะต้องเข้าไปในนั้นอีกครั้ง
โชคไม่ดีที่เฮเฟสตัสกลับจับมือและลากเขาเข้าไปในที่แห่งนั้นโดยที่เขายังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ เมื่อมาถึงแล้ว เขาเห็นว่า ‘เพลิงนิรันดร์’ ซึ่งเคยมีสีแดงเพลิงผสมกับสีส้มตอนนี้กลับเปล่งแสงสีทองที่ดูอ่อนโยนออกมา เขากำลังดูบางอย่างที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง… ซึ่งก็คือตัวของมันนั้นมีออร่าถูกปล่อยออกมาเล็กน้อย
เฮเฟสตัสเห็นเขามองเข้าไปในเปลวไฟและพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“คิดว่าเธอคงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันสินะ ฉันต้องการให้เธออธิบาย ‘อย่างชัดเจน’ ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนที่เธอใช้ ‘เพลิงนิรันดร์’ เมื่อครั้งก่อน อย่าคิดแม้แต่จะอุบอิบไว้เชียวนะ”
วาห์นมองเห็นสายตาที่จริงจังของเธอและเริ่มนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เขาพอจะนึกออก เพราะไม่สามารถพูดเรื่องสกิล [จิตแห่งราชัน] ได้ เขาจึงพูดเรื่องที่ตัวเองรวบรวมพลังเขตแดนเพื่อใช้มันขึ้นรูปแท่งโลหะขณะที่หลอมมัน ในระหว่างกระบวนการนั้น ‘เพลิงนิรันดร์’ ก็เข้ารบกวนจิตของเขาและเริ่มดูดกลืนมันแทน แต่หลังจากจบขั้นตอนการขึ้นรูปโลหะ เขาก็สามารถรวบรวมมานาได้มากพอและตัดการเชื่อมต่อลงได้
ขณะที่เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เฮเฟสตัสก็รับฟังและเฝ้าสังเกตเขาด้วยความเงียบ เธอกำลังพิจารณาทุกคำที่วาห์นพูดและเทียบมันกับความทรงจำของเธอเอง เมื่อวาห์นเล่าถึงส่วนที่เปลวเพลิงเริ่มดูดกลืนพลังงานทางจิตของเขา สีหน้าของเธอก็ดูจริงจังขึ้นไปอีก เธอปล่อยให้เขาเล่าจนจบก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เธอเคยบอกว่าโตมากับคุณปู่ตอนอยู่ในป่าสินะ แม้ฉันจะรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ความจริงซะทั้งหมดแต่ฉันต้องถามเธอ ว่าเธอเคยพบพ่อแม่ของตัวเองมาก่อนหรือเปล่า”
หลังจากเห็นว่าเฮเฟสตัสจริงจังแค่ไหน วาห์นเองก็รู้สึกจริงจังขึ้นเช่นกัน เขาพิจารณาก่อนจะพูดความจริงออกมา
“ถึงผมจะมีความทรงจำเกี่ยวกับคุณแม่แต่ก็ไม่รูจักกับพ่อมาก่อน ผมถูกพรากไปจากแม่ตั้งแต่ยังเด็กและถูกเลี้ยงดูโดยกลุ่มคนที่ไม่ค่อยดีนักจนกระทั่งผมอายุครบสิบสี่ปี หลังจากนั้น สถานที่ที่ผมถูกกักตัวอยู่โดนโจมตีและผมก็สามารถหลบหนีออกมาได้จากความประมาทของผู้โจมตี หลังร่อนเร่อยู่พักหนึ่ง ผมก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้หญิงใจดีที่มีชื่อว่าคริสช่าก่อนจะเดินทางมาที่ป่าทางทิศตะวันตกเพื่อฝึกฝนตัวเอง… ทุกอย่างนั่นคือความจริง”
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ตอนพวกเขารู้จักกันใหม่ๆ ที่เฮเฟสตัสไม่รู้สึกถึงความเท็จในคำพูดของวาห์น อย่างที่เธอคาดไว้ เขาไม่ได้ถูกคุณปู่เลี้ยงดูมาและคงใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ตอนนี้เรื่องที่เธออยากรู้มากก็คือที่มาของเขา หากเขาถูกพรากไปจากพ่อแม่และถูกจับขังมาเกือบทั้งชีวิต มันก็ไม่น่าจะอธิบายสถานการณ์ต่างๆ ที่เธอเจออยู่ได้
ขณะมองเด็กหนุ่มที่กำลังรอคำตอบของเธอ เฮเฟสตัสก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดในใจ เนื่องจากที่เขาเล่ามาเมื่อกี้น่าจะเป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าเขาไม่เคยได้รับการเลี้ยงดูและเอาใจใส่แบบครอบครัวมาก่อนเลย เธอคิดว่าการขาดปฏิสัมพันธ์และการรับรู้ทางสังคมของเขาทำให้เขาไม่กลัวดวงตาของเธอ…
เธอถอนหายใจก่อนจะยิ้มให้กับวาห์นอย่างห่วงใย
“ฉันขอโทษที่ต้องถามเรื่องนี้นะวาห์น เธอคงลำบากมามากกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ จากนี้ไปฉันสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเธออีกแล้ว”
เพราะว่าทั้งคู่อยู่ใกล้กัน เธอจึงดึงวาห์นเข้าสู่อ้อมกอดและลูบหัวของเขาเบาๆ
วาห์นรู้สึกตกใจมากกับการแสดงความห่วงใยนี้ เนื่องจากยังคงความตึงเครียดจากเรื่องที่เล่า เขาจึงไม่คิดว่าตัวเองจะถูกกอดในลักษณะนี้ ในตอนแรกเขาต้องการที่จะขัดขืน แต่แล้วก็เริ่มผ่อนคลายลงเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่นุ่มนิ่มบนใบหน้าและความรู้สึกสบายที่หลังศีรษะของตน เขารู้สึกว่าความตึงเครียดทั้งหมดนั้นค่อยๆ ละลายหายไปจากร่างกายของเขาภายใต้อ้อมกอดของเฮเฟสตัส
—
หลังจากผ่านไปนานพอสมควร เฮเฟสตัสก็ลดแขนลงและปล่อยวาห์นให้เป็นอิสระ วาห์นรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อเธอปล่อยมือและสีหน้าของเขาก็ทำให้เฮเฟสตัสหันหน้าออกด้วยความอาย
“ไว้เดี๋ยวค่อยกอดกันใหม่ก็ได้… *อะแฮ่ม* ตอนนี้เราต้องคุยเรื่องสำคัญกันก่อนนะ ฉันคิดว่าอาจมีเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับที่มาของเธอ และเธอต้องตั้งใจฟังให้ดีเพราะว่ามันสำคัญมาก แถมเธอยังมีโอกาสตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงถ้าตัวตนของเธอถูกเปิดเผย”
แม้ว่าวาห์นจะรู้เรื่องที่มาของตัวเองอยู่แล้ว แต่เขาก็รับฟังคำพูดของเธออย่างจริงจัง อาจเป็นไปได้ว่าคำแนะนำของเธอจะมีค่าสำหรับเขา แม้ว่าจะมันไม่ใช่เพราะเหตุผลที่เธอคิดไว้ก็ตาม
“ก่อนอื่นเลย มีความเป็นไปได้ว่าพ่อแม่ของเธอคนใดคนหนึ่งเป็นเทพหรือเทพธิดา ถ้ายังไม่เข้าใจพลังของเธอให้มากกว่านี้ ฉันเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร… แต่ฉันบอกได้เลยว่าอีกคนจะต้องเป็นกึ่งเทพหรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีอำนาจเท่าเทียมกัน นั่นก็หมายความว่าสายเลือดของเธอมีความบริสุทธิ์มากกว่าบุตรของเทพส่วนใหญ่เพราะเธอมีความเป็นเทพมากถึงสามในสี่ส่วน เขตแดนที่เธอใช้นั้นคล้ายกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เทพอย่างเราใช้มากเพียงแต่ว่ามีขนาดเล็กกว่า” พอเธอพูดถึงตรงนี้ เฮเฟสตัสก็เริ่มปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองออกมา
จากมุมมองของวาห์น เขามองเห็นออร่ารอบๆ ตัวของเฮเฟสตัสขยายใหญ่ขึ้นและกระจายไปทั่วอากาศ เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันบนร่างกายและยัง ‘สัมผัส’ ได้ถึงความรู้สึกจากออร่าที่เธอปล่อยออกมา นั่นทำให้วาห์นผงะไปเพราะแม้เขาจะถูกกดดันอยู่ แต่ส่วนของออร่าที่เป็นสีชมพูกลับรวมเข้ากับเขาและทำให้เกิดความรู้สึกหวิวๆ
เฮเฟสตัสรู้สึกสับสนขณะจ้องมองวาห์นถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอเล่นงาน เช่นเดียวกับมนุษย์ส่วนใหญ่ เขาคงได้รับผลกระทบจากแรงกดดันอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนออร่าของเธอจะส่งผลต่อร่างกายของเขาต่างไปจากคนอื่น เธอรีบดึงเขตแดนกลับมาเพื่อลดแรงกดดันและเริ่มตรวจร่างกายของเขา
วาห์นหายใจหนักหน่วงและรู้สึกว่าร่างกายของตนร้อนขึ้นหลังจากที่เฮเฟสตัสปล่อยออร่าออกมา แม้เธอจะดึงมันกลับไปแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกหวิวๆ และทำให้บางอย่างในใจของเขาสั่นไหว เมื่อเฮเฟสตัสเข้ามาใกล้และเริ่มตรวจสอบเพื่อดูว่าเขาบาดเจ็บหรือเปล่า ความรู้สึกนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงและทำให้เขาตกใจ เขาพอจะได้กลิ่นบางอย่างจากร่างกายของเธอซึ่งพอดมเข้าไปแล้วก็ทำให้สติพร่าเลือนจนต้องรีบออกห่างเธอ
เฮเฟสตัสรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นวาห์นผลักเธอออกไป เธอมองเห็นสีหน้าแดงระเรื่อและสายตาหยาดเยิ้มได้จากใบหน้าของเขา ตอนนี้ท่าทางของเขาคล้ายกับกำลังสู้กับตัวเองอยู่ เฮเฟสตัสเริ่มตระหนักแล้วว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอคงส่งผลต่อเขาในแบบแปลกๆ และมันกำลังทำให้เขารู้สึก… ตื่นตัว
เธอเองก็เริ่มตื่นตระหนกเช่นกัน พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอนั้นมาจากการหลอมไม่ใช่ความรักหรือความงาม มันไม่ควรส่งผลให้มีคนมาหลงเสน่ห์เธอหรืออะไรแบบนั้น เฮเฟสตัสเดาว่ามีความเป็นไปได้ที่พ่อแม่ของเขาคนคนใดหนึ่งมีพลังที่เกี่ยวกับการหลอมเช่นเดียวกัน มันฟังดูมีเหตุผลเมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ ‘เพลิงนิรันดร์’ หลังจากที่มันดูดซับพลังงานของ วาห์น… แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในขณะนี้ ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะจัดการกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างไรดี
เฮเฟสตัสใช่ว่าจะไม่มีประสบการณ์กับผู้ชายมาก่อน แม้เธอจะไม่เคยมีคู่ครองจากการที่เทพคนอื่นปฏิบัติต่อเธอ แต่ก็มีหลายครั้งที่เธอได้หลับนอนกับเทพหลังจากงานเลี้ยงหรือไม่ก็พิธีสำคัญ เธอรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองไว้ในหลายๆ โอกาส แต่ก็มีบางครั้งที่เธอปล่อยใจไปตามอารมณ์ แม้เธอจะรู้สึกแย่หลังมันจบลงแล้ว แต่มันก็ช่วยบรรเทาบาดแผลในใจของเธอไปได้บ้าง เธอรู้สึกว่าถ้าพวกเขายินดีที่จะหลับนอนกับเธอ งั้นเธอก็คงไม่ใช่ปีศาจร้ายอย่างที่พวกเขาชอบพูดกัน เธอทำตัวแบบนั้นจนกระทั่งได้พบกับเฮสเทียในภายหลังและไปเข้าพิธีชำระล้างเพื่อฟื้นฟูความบริสุทธิ์ของตัวเอง
พอได้เห็นสภาพของเด็กหนุ่มที่เกิดจากความผิดพลาดของเธอ ตอนนี้เธอก็กำลังสู้กับตัวเองอยู่เช่นกันว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง เขายังเด็กมากและแม้ว่าเธออยากจะ ‘ช่วย’ เขาแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เธออาจจะทิ้งแผลใจไว้ให้เขาหลังจากที่เขาเพิ่งมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ไม่นาน
ในขณะที่เธอกำลังหาทางออกและพยายามตัดสินใจอยู่นั้น วาห์นก็กำลังฟังคำแนะนำจากพี่สาว แม้สภาพจิตใจของเขากำลังยุ่งเหยิง แต่เขาก็ยังมีสติพอที่จะเปิดใช้สกิล [จิตแห่งราชัน] ถึงตอนแรกจะขลุกขลักไปบ้าง แต่พลังงานก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขาและยับยั้งความรู้สึกแปลกๆ นั่นไว้ ความรู้สึกสงบอันแสนคุ้นเคยเริ่มทำให้จิตใจของเขาปลอดโปร่งและเพิ่มประสิทธิภาพของสกิลขึ้นอีกจนกระทั่งมันแพร่ไปทั่วทั้งร่างและขยายออกไปกลายเป็นเขตแดน
เฮเฟสตัสกำลังกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความหงุดหงิดจนกระทั่งสังเกตเห็นว่าสติของวาห์นเริ่มฟื้นกลับมาแล้ว เธอถอนหายใจหนักๆ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าในใจ ราวกับว่าได้พลาดโอกาสบางอย่างไป แต่เธอก็ไม่สนใจและพยายามช่วยทำให้วาห์นสงบลง
“ขอโทษนะวาห์น ฉันไม่คิดเลยงว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันจะส่งผลแบบนั้นกับเธอ อาจเป็นไปได้ว่าพ่อแม่ของเธอคนหนึ่งมีความเกี่ยวโยงกับพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งการหลอมและผลก็คือ… หากร่างกายของเธอดูดซึมมันเข้าไปก็จะเกิดปฏิกิริยาแปลกๆ โชคยังดีที่เธอสามารถรับมือกับมันได้ด้วยการใช้สภาวะกึ่งเทพของตัวเอง”
เฮเฟสตัสพยายามพูดอย่างมีเหตุผลแต่ก็ไม่อาจทำให้ใบหน้าของตัวเองหายแดงได้ในเวลาอันสั้น
วาห์นรับฟังและพยักหน้าให้กับคำอธิบายนั่น อาจเป็นเพราะมีพลังศักดิ์สิทธิ์มาส่งเสริม แต่วาห์นก็พอเข้าใจแล้วว่าเขาสามารถสัมผัสกับออร่าของคนอื่นและทำให้เขารู้สึกแบบเดียวกับเจ้าของออร่าได้ เขาจะต้องระวังมากกว่านี้ในอนาคต… ไม่งั้นผลที่ตามมาอาจเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้
—————