Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 85
หลังจากพักผ่อนเป็นเวลา 2 ชั่วโมงฟื้นฟูพละกำลังเสร็จแล้ว วาห์นก็มุ่งหน้าเข้าไปในชั้นที่ 17
เขารู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้ว่าตนจะไปได้ถึงไหน เพราะแต่เดิมเขาคิดไว้ว่าคงต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์เพื่อไปให้ถึงชั้นที่ 18
นอกจากนี้วาห์นยังเตรียมพร้อมหันหลังกลับหากเกิดปัญหาใดๆ เพิ่มเติมด้วย
การฝึกฝนกับสึบากิและใช้เวลาปรับปรุงสกิลและการเคลื่อนไหวนั้นช่วยเสริมความสามารถให้เขาเป็นอย่างมาก
แม้ว่าค่าสถานะจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากในช่วงฝึก แต่เขาก็ก้าวหน้าไปมากกว่าคนส่วนใหญ่ที่มีเลเวลเท่ากัน
ในชั้นที่ 17 วาห์นจะได้เผชิญหน้ากับ ‘ไลเกอร์แฟงก์’ ตามที่หนังสือบทสรุปได้ระบุเอาไว้และเขาตั้งใจว่าจะออกล่าพวกมันไปสักระยะ
ดูเหมือนพวกมันแต่ละตัวจะมีอาณาเขตเป็นของตัวเองเพราะวาห์นได้เจอพวกมันเพียงห้องละตัวเท่านั้น
เพื่อชดเชยเรื่องจำนวน พวกมันจึงเก่งกาจยิ่งกว่ามอนสเตอร์ตัวอื่นและมีจุดเด่นทั้งด้านพลังโจมตีและความว่องไว
วาห์นสนุกไปกับการสู้กับไลเกอร์แฟงก์เพราะมันมีรูปแบบการต่อสู้ที่คล้ายคลึงกับเขา
พวกมันจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วขณะใช้กำแพงเพื่อดีดตัวและโจมตีต่อเนื่องด้วยกรงเล็บอันทรงพลัง
แม้พวกมันจะไม่ได้มีพละกำลังมากมายเหมือนกับมิโนทอร์ แต่วาห์นรู้สึกว่าพวกมันนั้นอันตรายยิ่งกว่าหากต้องสู้กับพวกมันแบบเป็นฝูง
ในระหว่างการต่อสู้ วาห์นได้ศึกษาการเคลื่อนไหวของไลเกอร์แฟงก์และนำเทคนิคใหม่เหล่านี้มาปรับใช้กับตัวเอง
หนึ่งในนั้นก็คือ ขณะที่วาห์นหลบหลีกเพื่อเข้าโจมตีทางด้านข้างของไลเกอร์แฟงก์ มันก็ทำการหันอย่างรวดเร็วพร้อมกับฟาดหางใส่เขา
วาห์นปรับตัวไม่ทันและถูกแส้ที่แข็งราวกับเหล็กฟาดเข้าให้ที่ซี่โครง
ไลเกอร์แฟงก์พยายามชิงความได้เปรียบในจังหวะนั้นและเกือบจะฝังเขี้ยวของมันลงไปในตัววาห์นได้สำเร็จ แต่ขณะที่มันกระโจนไปข้างหน้า วาห์นก็กลับตัวและเตะไปที่ด้านล่างของไลเกอร์แฟงก์จนมันกระเด็นข้ามตัวของเขาไป
เจ้ามอนสเตอร์หมุนตัวกลางอากาศและลงสู่พื้่นได้อย่างนิ่มนวล แต่วาห์นก็ใช้เวลานั้นตั้งตัวขึ้นมาได้เช่นกัน
แม้จะเจ็บตรงซี่โครง แต่ก็ไม่มีอะไรหักเนื่องจากร่างกายของเขามีความทนทานสูง
วาห์นรู้สึกอยากแก้แค้นมันเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อมันพุ่งโจมตีพลาดและเผยช่องโหว่ วาห์นจึงเอาคืนด้วยการฟาดหางใส่ดวงตาข้างซ้ายของมันบ้าง
พอเห็นมันถอยหลังแบบๆ เซ เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้พร้อมกับมองเห็นท่าทาง ‘โกรธแค้น’ บนใบหน้าของมัน
ทั้งสองแลกเปลี่ยนการโจมตีกันอีกหลายวินาทีก่อนที่วาห์นจะตอกเท้าลงไปบนหลังของมันได้สำเร็จ
หลังจากเก็บคริสตัลของมันแล้วเขาพบว่ามันมีมูลค่ามากกว่ามิโนทอร์เสียอีกเพราะเพียงแค่ชิ้นเดียวก็ได้มาถึง 157 OP
วาห์นรู้สึกว่าชื่อเสียงของมิโนทอร์นั้นควรจะยกให้ไลเกอร์แฟงก์แทนเสียดีกว่า
หากมันต่อสู้กันเป็นฝูง ชีวิตของเหล่านักผจญภัยคงจะลำบากกว่านี้มาก
วาห์นยังคงเดินลึกเข้าไปในชั้นที่ 17 และสังหารมอนสเตอร์หลากหลายประเภทและพบว่าโครงสร้างของดันเจี้ยนกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
แทนที่จะเป็นพื้นที่โล่งและดูคล้ายกับอุโมงค์ตามปกติ มันเริ่มจะดูคับแคบมากขึ้นและมีสิ่งกีดขวางมากมายที่ทำให้การเดินทางยากลำบาก
มีหินขนาดใหญ่วางอยู่บนพื้นเกลื่อนกลาดและยังมีหลายครั้งที่วาห์นถึงกับต้องคลานเพื่อไปต่อ
ในสถานที่แคบๆ นั่นยังมีมอนสเตอร์อย่างอัลมิราจที่พยายามจะซุ่มโจมตีเขา
และแม้ว่าพวกมันจะรวดเร็วมากแค่ไหน แต่วาห์นก็สามารถตอบสนองได้ทันเสมอเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามันซุ่มอยู่ตรงนั้น
ด้วยการใช้สกิล [อำพรางตัว] บวกกับ [จิตแห่งราชัน] เขาสามารถตรวจจับอะไรก็ตามที่อยู่ในระยะ 71 เมตรขณะที่ไม่ทำให้โดนตรวจจับเสียเอง
มีมอนสเตอร์บางชนิดเท่านั้นที่มีประสาทการรับรู้ระดับสูงและสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเพราะผลของพลังเขตแดน
ถึงกระนั้นวาห์นก็เดินทางผ่านดันเจี้ยนได้อย่างไม่ยากเย็นขณะที่เขามักจะได้เปรียบมอนสเตอร์ที่มาลอบโจมตีอยู่เสมอ
แสงตรงทางเดินนั้นค่อยๆ ลดลงและส่งผลกับระยะในการมองเห็นเป็นอย่างมาก
โชคดีที่ภายในตัวห้องจะมีหินเรืองแสงฝังอยู่แต่ก็ช่วยได้ไม่มากนัก
แต่ผ่านไปไม่นานวาห์นก็ได้รู้ว่ารูปแบบพยัคฆ์ขาวนั้นสามารถมองเห็นในที่มืดได้อย่างดีเยี่ยม
แม้ว่าวาห์นจะรู้เรื่องที่มันช่วยเสริมประสาทสัมผัสการมองเห็น ดมกลิ่น และได้ยิน แต่เขาก็เพิ่งจะรู้ว่ามันยังทำให้เขามองเห็นในที่มืดได้ด้วย
จากมุมมองของคนอื่น จะเห็นว่าดวงตาของวาห์นนั้นจะส่องแสงสีเขียวเมื่อกระทบเข้ากับแสง
(TL: เสือเป็นนักล่าในเวลากลางคืนนะครับ~! มันยังดูสมเหตุสมผลด้วยว่าทำไมมอนสเตอร์ที่คล้ายเสือถึงมาอยู่ในชั้นที่ 17 ซึ่งมีแสงน้อย~! คนเขียนเนื้อเรื่องหลักนี่ศึกษามาดีจริงๆ)
วาห์นเดินลึกเข้าไปในดันเจี้ยนก่อนจะพบว่าทางเดินเริ่มขยายออกและมีแสงมากขึ้นเล็กน้อย
ด้วยความสับสน วาห์นจึงเดินไปทางแหล่งที่มาของแสงและเข้าไปในห้องที่มีกำแพงคริสตัลขนาดใหญ่ซึ่งกำลังปลดปล่อยแสงสีรุ้งออกมา
ภายในส่วนลึกของกำแพง เขาก็มองเห็นเงาของอะไรบางอย่าง
พี่สาวแจ้งให้เขาทราบว่านี่เป็นหนึ่งในโครงสร้างที่ถูกระบุอยู่ในหนังสือบทสรุปและเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘กำแพงแห่งความเศร้าโศก’
กำแพงจะให้กำเนิดราชันมอนสเตอร์ที่มีชื่อว่าโกไลแอธเป็นระยะๆ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีทีมนักผจญภัยฝีมือดีมาคอยสู้กับมัน
ด้วยความสนใจ วาห์นจึงเข้าใกล้กำแพงและพบว่า ‘เงา’ ที่อยู่ข้างในนั้นดูเหมือนกำลังหลับใหลอยู่
เขาลองสัมผัสกำแพงด้วยมือและพบว่ามันแข็งยิ่งกว่ากำแพงหินโดยรอบอยู่หลายเท่า
แม้แต่ดาบของเขาเองก็เจาะเข้าไปได้เพียงไม่กี่มิลลิเมตรก่อนที่จะถูกดันกลับออกมา
ตัวกำแพงดูเหมือนจะสร้างมาจากแร่ธาตุที่แข็งแรงเป็นมากและยังอัดแน่นไปด้วยพลังเวท
วาห์นนั่งรออยู่ภายในห้องเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงขณะเฝ้ามองกำแพง
เขาอยากจะลองต่อสู้กับโกไลแอธแต่ดูเหมือนว่ามันเพิ่งถูกกำจัดไปเมื่อเร็วๆ นี้ และจะยังไม่เกิดออกมาใหม่ไปอีกประมาณสองสามวัน
เงาภายในกำแพงนั้นมีขนาดเล็กกว่าตัวของโกไลแอธซึ่งถูกบันทึกไว้ว่าสูงถึง 7 เมตรเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะมารออยู่ที่นี่ต่อ
เป็นเรื่องปกติหากแฟมิเลียที่เพิ่งล่ามันไปยังคงอยู่แถวนี้และรอให้มันเกิดใหม่อีกครั้งเพื่อล่าและเก็บเกี่ยววัตถุดิบของมันเป็นครั้งที่สอง
เว้นแต่ว่าวาห์นจะ ‘โชคดี’ หรือได้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย มันคงเป็นเรื่องยากมากที่จะมีโอกาสสู้กับโกไลแอธแบบตัวต่อตัว
วาห์นกลับเข้าทางเดินเพื่อมุ่งหน้าออกจาก ‘กำแพงแห่งความเศร้าโศก’ ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
เขาเดินไปตามทางจนเข้าไปในห้องขนาดกลางที่มีหลุมมากมายอยู่บนพื้น
เส้นทางยังคงยาวต่อไปข้างหน้าซึ่งดูเหมือนจะนำไปสู่ชั้นที่ 18 แต่เมื่อดูจากหลุมบนพื้นของชั้นก่อนหน้านี้ วาห์นก็เดาว่ามันคงจะมีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน
วาห์นตัดสินใจว่าการใช้บันไดน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดพร้อมกับเลิกสนใจเรื่องหลุมแหละเดินเดินทางต่อไป
เขาไม่อยากเป็นหนึ่งในพวกเซ่อซ่าที่เข้าสู่ชั้น 18 ด้วยทางลัดเพราะมันจะเป็นเรี่องน่าอับอายหากผู้คนคิดว่าเขาหนีลงหลุมเพื่อหนีจากมอนสเตอร์หรืออะไรบางอย่าง
บันไดของชั้นนี้ต่างจากชั้นก่อนๆ ตรงที่ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ลงไปถึงด้านล่างแล้ว
ยิ่งเขาเดินลงไปแสงก็ยิ่งส่องลงมาบนทางเดินมากยิ่งขึ้นและเมื่อเขาเข้าสู่ชั้นที่ 18 มันก็เต็มไปด้วยแสงสีส้มสดใส
วาห์นสับสนเรื่องสีและมองไปทางคริสตัลขนาดใหญ่ที่กำลังเปล่งแสงออกมา
(*คริสตัลจะปลดปล่อยแสงสว่างที่คล้ายกับสภาพด้านบนพื้นดินออกมา ตอนนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งจะตกไม่นาน พวกมันก็เลยปลดปล่อยออกมาเป็นประกายสีส้ม ดูเหมือนว่าเธอจะมาทันก่อนพลบค่ำนะ*)
วาห์นมองไปที่นาฬิกาและพบว่ามันเป็นเวลา 1 ทุ่ม 31 นาทีแล้ว และเนื่องจากมันช่วงนี้ฟ้าจะมืดช้ากว่าปกติ จึงไม่แปลกที่ตอนนี้จะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์เพิ่งจะตกดิน
เขามองเห็นป่าขนาดใหญ่อยู่เหนือที่ราบในตำแหน่งปัจจุบันของตน
มีการสร้างทางเดินตั้งแต่ทางเข้าชั้นที่ 18 ตลอดไปจนไปถึงถิ่นฐานขนาดใหญ่ที่อยู่ล้อมรอบต้นไม้ยักษ์ตรงใจกลางของชั้นนี้
เขามองเห็นแสงจากตำแหน่งปัจจุบันของตนและยังได้ยินเสียงของผู้คนมากมาย
เมื่อมองขึ้นไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ วาห์นก็เกิดอยากจะลองปีนขึ้นไปดู
เขาสงสัยว่าจะได้เห็นทิวทัศน์แบบไหนจากความสูงขนาดนั้น และยังสงสัยเรื่องที่มาที่ไปของต้นไม้ยักษ์นี่
วาห์นอยากจะสำรวจชั้นนี้ให้ทั่วเพราะต้นไม้ แม่น้ำ และทะเลสาบทั้งหมดล้วนสวยงามเป็นอย่างมาก
อันที่จริงแล้ว พื้นที่ทั้งหมดนี่งดงามอย่างไม่น่าเชื่อและไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อนเลย
ในตอนที่วาห์นมองดูทิวทัศน์ก็พบว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าสู่ถิ่นฐานส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุด
เขามองเห็นพื้นที่ส่วนต่างๆ ที่อยู่รอบต้นไม้ และมีเพียงไม่กี่ที่เท่านั้นที่จะมีคนเดินผ่านไปมา
แถมวาห์นยังสังเกตเห็นอีกว่ายังมีสิ่งก่อสร้างคล้ายแมนชั่นที่ตั้งอยู่บนรากไม้หรือติดอยู่กับด้านข้างของต้นไม้อีกด้วย
นั่นคงเป็นสถานที่พิเศษสำหรับแฟมิเลียระดับสูงหรือผู้ที่ตั้งหลักปักฐานอยู่ในชั้นที่ 18 ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
หลังจากผ่านไปประมาณ 20 นาที แสงจากคริสตัลก็มืดดับลงพร้อมกับมีประกายแสงคล้ายแสงจันทร์ที่เปล่งออกมาจากพื้นผิวแทน
วาห์นพบว่ามันน่าทึ่งยิ่งกว่าแสงสีส้มก่อนหน้านี้ซะอีก
เขาเดินเข้าไปใกล้ประตูขนาดเล็กที่มีชายสวมชุดเกราะเบาสองสามคนเฝ้าอยู่
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเฝ้าประตูด้วยท่าทีเกียจคร้านขณะพูดคุยกันเล็กน้อยและเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่วาห์นได้กลิ่นว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อสังเกตเห็นวาห์นเข้ามาใกล้ หนึ่งในคนเหล่านั้นก็ตะโดนออกมาเสียงดัง
“เฮ้ย! นั่นใครกัน!?”
เขาพูดพลางชักดาบออกมา พรรคพวกของชายคนนั้นเองก็เริ่มหยิบอาวุธขึ้นมาพร้อมกับจ้องไปทางเงาคนที่กำลังออกมาจากความมืด
แม้จะไม่สามารถแยกแยะรูปลักษณ์ของวาห์นได้ แต่พวกเขาก็มองเห็นดวงตาสีเขียวที่สะท้อนกับแสงไฟจากคบเพลิง
มันเป็นฉากที่ดูน่าเสียขวัญมาก ดังนั้นพวกเขาจึงชักอาวุธและเพิ่มความระมัดระวังตัวอย่างช่วยไม่ได้
วาห์นหยุดก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย
“ผมคือวัลแคน วาห์น เมสัน อยู่ภายใต้สังกัดของเฮเฟสตัสแฟมิเลีย ผมมาเพื่อหาที่พักแรมสำหรับคืนนี้และเติมเสบียงกับของใช้ต่างๆ”
วาห์นบอกจุดประสงค์ของเขาและพยายามทำให้ความตึงเครียดลดลง
คนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงหลังจากได้ยินที่เขาพูด แต่วาห์นก็พบว่าพวกเขายังไม่ได้ลดอาวุธลง
‘หัวหน้า’ ของกลุ่มคว้าคบเพลิงและเดินไปทางวาห์น
หลังจากเห็นร่างพยัคฆ์ขาวของวาห์น เขาก็เกือบจะทิ้งคบเพลิงและโจมตีออกไปตามสัญชาตญาณ
ในมุมมองของเขานั้น ‘เด็กหนุ่ม’ ที่อยู่ตรงหน้าดูราวกับปีศาจเสียมากกว่า
“วะ-วัลแคน ใช่ไหม? นายลงมาที่ริวีร่าด้วยตัวเองได้ยังไงกัน? ฉันได้ยินมาว่าวัลแคนเพิ่งจะขึ้นเป็นเลเวล 2 เองนะ งั้นนายก็ไม่น่าจะมาถึงที่นี่ได้สิ”
เมื่อหัวหน้าได้เห็นรูปลักษณ์ของวาห์นแล้วก็เริ่มไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือคำตอบนั่นสักเท่าไหร่
ขณะที่วาห์นเริ่มอธิบายต่อ ชายอีกคนที่ประตูก็ตะโกนเสียงดัง
“อ้าว นั่นเธอนี่นา! ฮ่าฮ่าฮ่า บาร์ท แกเลิกยุ่งกับเด็กคนนั้นได้แล้ว เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตฉันกับลูกชายไว้เมื่อวันก่อนไง!”
จากด้านในประตู ชายวัยกลางคนเสียงแหบที่มีผมสีน้ำตาลก็เริ่มเดินออกมาจากริวีร่าขณะถือหอกของตนออกมาด้วย
ชายที่ถือคบเพลิงหันกลับไปมองและร้องถาม
“ไรอัน? นี่เป็นเด็กหนุ่มที่นายดื่มอวยพรให้ไปตั้งหลายรอบงั้นเหรอ?”
ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงดังและเข้ามาใกล้วาห์นขณะวางมือของตนไว้บนไหล่ของเขา
“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้ ฉันกับลูกๆ คงได้ไปนอนเล่นอยู่ในท้องของของไวเวิร์นแทนโรงแรมแล้วล่ะ ให้เขาเข้าไปข้างในเถอะ ฉันจะเป็นคนจ่ายค่าธรรมเนียมทั้งหมดให้เขาเอง”
แม้ว่าวาห์นจะไม่ชอบที่มีคนมาแตะต้องตัว แต่เขาก็พบว่าชายวัยกลางคนที่ชื่อไรอันนั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร
หากเขาสามารถเข้าไปข้างในและตามหาที่พักได้โดยไม่มีปัญหาก็คงเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับทุกคน
ในขณะที่ไรอันกับบาร์ทกำลังคุยกัน วาห์นก็ปลดร่างพยัคฆ์ขาวออกซึ่งทำให้ความตึงเครียดของเหล่ายามลดลงอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาเคยได้ยินข่าวลือมาว่า ‘วัลแคน’ สามารถแปลงกายได้โดยใช้เวทมนตร์ที่หาได้ยาก แต่การที่เห็นวาห์นในร่างมนุษย์ปกติก็ทำให้พวกเขาหายกังวลไปเยอะ
เด็กหนุ่มตัวเล็กและดูบอบบางพร้อมกับมีใบหน้าหล่อเหลานั้นดูแตกต่างกับ ‘ปิศาจ’ ที่ดูดุร้ายจากก่อนหน้านี้มาก
บาร์ทผู้เป็นยามเฝ้าประตูส่ายหัวก่อนจะมองไปทางไรอัน
“ก็ได้ ไรอัน แต่ถ้าเกิดมีอะไรขึ้นนายต้องเป็นคนรับผิดชอบนะ อย่าลืมอธิบายกฎทั้งหมดให้เขาฟังด้วยล่ะ ไม่งั้นเกิดอะไรขึ้นมา นายได้โดนเตะออกไปจากที่นี่พร้อมกับเขาแน่”
บาร์ทพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ก็ดูผ่อนคลายลงหลังจากที่ไรอันส่งถุงที่มีคริสตัลเวทมนตร์สองสามชิ้นให้ไป
ไรอันพาวาห์นผ่านป้ายที่เขียนว่า ‘ถิ่นฐานหน้าด่าน ริวีร่า’ และเริ่มหัวเราะออกมา
“ฉันดีใจนะที่เธอลงมาถึงที่นี่ได้! รู้อยู่แล้วว่าคนแกร่งอย่างเธอคงไม่ติดอยู่ที่ชั้นส่วนกลางหรอก มาเถอะ ฉันรู้จักโรงแรมดีกับบาร์ดีๆ ที่เธอน่าจะชอบแถมอาหารก็อร่อยด้วย แถวนี้อาจดูไม่น่าอยู่เท่าไหร่ แต่มันก็ดีกว่าต้องนอนบนพื้นล่ะนะ!”
วาห์นพยักหน้าอย่างพอใจ แต่ก็ยังไม่ปิดสกิล [จิตแห่งราชัน] แม้ว่าเขาจะปลดการแปลงร่างไปแล้วก็ตาม
ตอนนี้เขาสามารถผสานสกิลอำพรางตัวในเข้าไปในเขตแดนได้แล้วและมันเกือบจะไม่สามารถถูกตรวจจับได้เว้นแต่ว่าวาห์นจะเพ่งจิตไปที่ใครบางคน
วาห์นจ้องมองคนที่ผ่านไปมาและพบว่าพวกเขาไม่ได้สนใจคนหน้าใหม่มากนัก
แต่นอกจากฝูงชนทั่วไปแล้ว วาห์นยังเห็นกลุ่มคนแบบที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
เหตุผลที่เขาให้ความสนใจกับคนกลุ่มนั้นก็คือ พวกเขาทุกคนมีออร่าสีดำอยู่รอบตัว
ขณะที่ถูกลากไปยังโรงแรม เขาก็พิกัดชายเหล่านั้นลงบนแผนที่ในหัว
แม้เขาจะไม่คิดติดตามคนกลุ่มนั้นอย่างจริงจัง แต่วาห์นจะคอยตามดูพวกเขาบนแผนที่ไว้ตลอดเวลา นอกเสียจากว่าพวกเขาจะใช้สกิลอำพรางตัวหรือวาห์นเลือกที่จะปลดเขตแดนออกด้วยตัวเอง
(TL: ชื่อตอนสำรอง: ‘ยังไม่ได้สู้กับโกไลแอธนะจ๊ะ’,’เงามืดใกล้เข้ามาแล้ว’,’การต้อนรับของไรอัน’)
—————