Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 285
เกิดเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยในตอนนี้ไอส์และเลฟิย่าพยายามสวมเสื้อผ้าให้วาห์น แต่ไม่นานพวกเธอก็ทำจนสำเร็จ จากนั้นทั้งสี่จึงเริ่มปรึกษากันว่าจะพาเขาไปพักที่ไหนดี
เพราะไม่แน่ใจว่าวาห์นจะตื่นตอนไหน สถานที่ที่เหมาะที่สุดย่อมต้องเป็นห้องนอนของเขาเอง
ตอนนี้วาห์นถูกใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ทีโอน่าเลยจัดให้เขาขึ้นขี่หลังตัวเองโดยไม่ต้องกลัวว่าอาการ ‘ร้อนรุ่ม’ จะกำเริบ
พอเดินมาถึงเชิงบันได พวกเธอก็พบกับฮารุฮิเมะที่มาดักรออยู่ก่อน ทุกคนจึงเดินตรงมาที่ห้องของวาห์นกันอย่างพร้อมเพรียง
กลุ่มของไอส์รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้างเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอจะได้เข้าไปในนั้น…
—
ภายในห้องนอนของวาห์น เฮสเทียกำลังนั่งบนโซฟาโดยมีอันนาคิตตี้ที่ทำหน้าเขินอายนั่งอยู่ข้างๆ
ทั้งสองหยุดการสนทนาทันทีที่เห็นทุกคนเข้ามาข้างใน
เฟนเรียร์ในชุดเมดก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เด็กสาววิ่งเตาะแตะมาทางประตูด้วยสีหน้าหงุดหงิดหลังจากได้เห็นสภาพของวาห์น
เธอจ้องมาทางกลุ่มผู้มาใหม่และถามขึ้น
“ใครทำวาห์น?”
แม้พวกเธอเกือบทุกคนจะแข็งแกร่งกว่าเฟนเรียร์อยู่หลายขั้น แต่สัญชาตญาณกลับร้องเตือนอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทันทีที่ทีโอเน่จะออกหน้ารับผิด เฮสเทียก็พูดขัดเสียก่อน
“เฟนเรียร์ วาห์นไม่เป็นไรหรอก แค่นอนพักก็หายแล้ว ตอนนี้เราต้องไม่ทำเสียงดังนะ ตกลงไหม?”
ใบหน้าของเทพตัวเล็กดูอ่อนโยนมาก แต่จากมุมมองของเหล่าแขกในวันนี้… ดวงตาสีฟ้าใสนั่นกลับดูน่ากลัวยิ่งกว่านัยน์ตาสีแดงสดของเฟนเรียร์ซะอีก
ส่วนคนที่ได้รับผลของมันไปเต็มๆ ก็คงหนีไม่พ้นทีโอเน่
หลังจากที่วาห์นถูกวางลงบนเตียง เฮสเทียก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุกคนในห้องได้ยินชัดเจน
“สำหรับคนที่ไม่ได้คบกับวาห์นอย่างเป็นทางการ ขอให้ออกไปก่อนนะ
เราจะเสิร์ฟอาหารเย็นในอีก 2-3 ชั่วโมงจากนี้ อยากให้เหล่าแขกอยู่ทานด้วยกันก่อน จากนั้นก็จะได้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฮสเทียแล้ว ทุกคนก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไปก่อนจะเริ่มทยอยกันออกจากห้อง
เฟนเรียร์นั้นอยากอยู่ต่อ แต่เฮสเทียก็บอกให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนพรีเซียแทน
พวกที่ยังอยู่ก็มีทีโอน่า ไอส์ เฮสเทีย วาห์น และทีโอเน่ซึ่งถูกขอให้อยู่ต่อในฐานะคนก่อเรื่องในวันนี้
เฮสเทียได้ยินเรื่องราวจากมิโคโตะและอันนาคิตตี้มาบ้างแล้ว แต่ส่วนที่เหลือนั้นเธออยากให้วาห์นเป็นคนเล่าเอง
พอหันไปมองทีโอเน่ เธอก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้ายอมรับผิดเต็มประตู… ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้ความรู้สึกแย่ลดน้อยลงเลย
การที่วาห์นถึงขั้นหมดสติแบบนี้ แน่นอนว่าสาเหตุต้องไม่ใช่เรื่องเบาๆ ที่ตีมือเปาะแปะแล้วจะปล่อยตัวกลับบ้านได้ แถมเขายังไม่ยอมให้เฟนเรียร์อยู่ดูตอนสู้อีกต่างหาก แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าทั้งสองเล่นกันแรงขนาดไหน
เฮสเทียหยุดสนใจทีโอเน่เป็นการชั่วคราวและเริ่มหันไปประเมินอีกสองคนที่เหลือ
เธอเคยเห็นสองสาวแบบผ่านๆ ในงานวันเกิดของวาห์น แต่ทั้งสามก็ไม่ได้มาแนะนำตัวรู้จักกันอย่างเป็นทางการ
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเธอก็ลงไปสำรวจดันเจี้ยนแบบระยะยาวและได้กลับขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง
พอได้มาเห็นใกล้ๆ แล้วเฮสเทียจึงตระหนักว่าทีโอน่าดูเป็นคนที่ร่าเริงมาก ร่างกายก็ดูอ่อนเยาว์สมบุคลิก
อาจจะเป็นการอธิบายที่แปลกประหลาด แต่เฮสเทียรู้สึกว่าทีโอน่านั้นดูคล้ายกับสายลมเบาๆ หรือไม่ก็อากาศบริสุทธิ์สดชื่น
เรื่องนิสัยใจคอคงมองแบบปราดเดียวไม่ได้ แต่ที่ค่อนข้างมั่นใจก็คือ การมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ด้วยนั้นย่อมต้องส่งผลดีต่อวาห์นแน่นอน
พอหันมามองไอส์บ้าง ความรู้สึกประทับใจเมื่อกี้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
ไอส์ดูเหมือน ‘เด็กสาว’ มากกว่า ‘หญิงสาว’ เสียอีก
รูปร่างหน้าตาของเธอนั้นแทบจะไร้ที่ติราวกับเป็นตุ๊กตาที่ถูกสร้างขึ้น
ถ้าบอกว่าเธอคืองานสร้างของทวยเทพสักองค์ เฮสเทียก็อาจจะพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
เรื่องรูปร่างหน้าตามันก็เรื่องนึง แต่สีหน้าว่างเปล่าตลอดเวลานี่สิ… แม้จะไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไม แต่เฮสเทียรู้สึกว่าการปล่อยให้ไอส์อยู่กับวาห์นแบบสองต่อสองนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
วาห์นเองก็มีความนึกคิดที่ผิดมนุษย์มนาอยู่แล้ว หากอยู่กับไอส์นานๆ… เกรงว่าจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่
จู่ๆ เฮสเทียก็ถามหญิงสาวทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง
“บอกฉันทีสิว่าพวกเธอคิดยังไงกับวาห์น
ฉันไม่อยากได้ยินอะไรง่ายๆ แบบ ‘ชอบเขา’ หรือ ‘รักเขา’ นะ
ฉันอยากรู้ว่าทำไมพวกเธอถึงชอบเขา รวมไปถึงเรื่องแผนในอนาคตด้วย
ฉันขอพูดแบบไม่ปิดบังว่าตัวเองรักวาห์นมาก อาจจะมากกว่าพวกเธอหลายๆ คนรวมถึงเทพธิดาคนอื่นๆ ด้วย
วาห์นคือคนที่ฉันตัดสินใจทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ และฉันจะไม่ปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์เพียงเพราะนิสัยอ่อนโยนและการชอบเอาอกเอาใจคนอื่นอย่างเด็ดขาด
ถ้าอธิบายได้ไม่ดีพอ ฉันคงต้องขอให้พวกเธอหยุดคิดเรื่องความสัมพันธ์ระยะยาวรวมไปถึงเรื่องของอนาคตด้วย
วาห์นต้องการความมั่นคงในชีวิต… ถ้าพวกเธอมอบสิ่งนี้ให้เขาไม่ได้ งั้นเป็นเพื่อนกันก็พอ… ไม่ต้องถึงขั้นคนรักหรอก”
ทีโอน่าไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด เธอเอ่ยตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิดแต่ก็ดูมีความสุข
“ฉันบอกได้เลยว่าคุณคงเป็นห่วงวาห์นมาก แต่ฉันไม่คิดว่าความรู้สึกของตัวเองจะน้อยกว่าคนอื่นหรอกนะ
ฉันคือผู้หญิงคนแรกที่ตกหลุมรักวาห์น และเขาก็คือวีรบุรุษที่ช่วยดึงฉันให้หลุดพ้นจากความมืดในอดีต
ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด แต่ฉันก็จะอุทิศทุกอย่างให้กับวาห์น… หากไม่มีเขา ก็จะไม่มีฉันในวันนี้เช่นกัน”
ทีโอน่าไม่ได้ทำให้สถานะ ‘รักแท้’ ของตัวเองต้องผิดหวัง เธอตอบเฮสเทียอย่างแน่วแน่และไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
ตามปกติแล้วเธอไม่ใช่คนพูดอะไรซับซ้อน แต่เรื่องของหัวใจ… แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่อง ‘ตามปกติ’
เฮสเทียพยักหน้ายอมรับเพราะรู้ว่าทีโอน่าพูดมันออกมาจากใจ ไร้ซึ่งสารปรุงแต่ง
นอกจากนี้เธอก็เป็นอีกคนที่ไม่เข้ามายุ่มย่ามในชีวิตวุ่นๆ ของวาห์น เรื่องตบตีจากความหึงหวงจึงไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
ที่จริงเฮสเทียรู้สึกว่าทีโอน่านั้นนำหน้าตัวเองอยู่หลายก้าวด้วยซ้ำ
ในขณะที่เธอยังทำตัวเอาแต่ใจและติดหวงบ้างเป็นบางคราว ทีโอน่ากลับมีความสุขทุกครั้งที่เห็นวาห์นมีความสุข แม้ความสุขที่ว่านั่นจะไม่ได้มาจากเธอก็ตาม
ถึงจะเป็นแค่มนุษย์ แต่เธอก็ไม่ได้เร่งรีบเรื่องความรัก หนำซ้ำยังคอยพัฒนาตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาวาห์นอีก
พอหันไปหาอีกคน เฮสเทียก็เห็นสีหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อยของไอส์
สายตาครุ่นคิดของหญิงสาวผมทองยังคงจดจ่ออยู่กับชายหนุ่มที่ไม่สามารถขยับตัวได้
เมื่อรู้สึกตัวว่าโดนจ้อง ดวงตาสีทองก็หันมาสบกับดวงตาสีฟ้าใสของเฮสเทีย ก่อนที่ใบหน้านิ่งเฉยจะดูจริงจังขึ้นมาบ้าง
การที่ไอส์จะพูดอะไรยาวๆ ออกมานั้นเกิดขึ้นไม่บ่อย แถมครั้งนี้เธอยังพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจสุดๆ
“ฉันชอบวาห์นมาก… ฉันรักเขา… รักเขามากกว่าทุกคน
เขาแข็งแกร่งและเติบโตเร็วมาก… เขาทำให้ฉันเชื่อว่าอนาคตจะสดใสกว่าตอนนี้
ฉันอยากจะเดินไปในเส้นทางเดียวกับเขา… และดูว่าจะพบกับความสุขที่หายไปหรือเปล่า
ถึงคุณจะผลักฉันออกไป… ฉันก็จะหาทางกลับมาหาเขาอยู่ดี
การได้อยู่กับเขา… ทำให้ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร”
แม้จะทำหน้าคิ้วขมวด แต่เฮสเทียก็ไม่ได้พยายามพูดขัดจังหวะไอส์
เธอรู้ว่าวาห์นต้องการแรงกระตุ้นเพื่อทำให้เขาเติบโต
อีกอย่าง ถ้าเขาตัดสินใจหรือสัญญาว่าจะช่วยใครแล้วล่ะก็ เป็นใครก็ฉุดเขาไว้ไม่อยู่
ต่อให้เธอสวมบทนางร้ายเพื่อขวางกั้นทั้งคู่ ไอส์กับวาห์นก็คงหาทางเจอกันได้อยู่ดี
…แต่มีเรื่องหนึ่งที่เฮสเทียหวาดกลัวที่สุด นั่นก็คือ ‘ถ้าวาห์นอยากอยู่กับเด็กคนนี้้ไปนานๆ เขาจะต้องเก่งกว่านี้’
ความฝันของไอส์ (ปราบมังการดำตาเดียว) บวกกับการเป็นที่หมายปองของนักผจญภัยเลเวลสูงหลายคน… ยังดีที่วาห์นเป็นพวก ‘ตายยาก’ เพราะงานนี้คงได้เหนื่อยกันอีกยาว
“ได้โปรดอย่าปล่อยให้วาห์นทำอะไรเกินตัวนักนะ…” นี่คือสิ่งเดียวที่เฮสเทียกล่าวเตือนทั้งสอง
จากนั้นเธอก็ประสานมือราวกับกำลังสวดอ้อนวอนขอร้องเด็กสาวทั้งสองอย่างจริงจัง
พอได้คำตอบรับที่น่าพอใจแล้ว เธอจึงหันกลับไปหาทีโอเน่
“แล้วเธอล่ะ? จำได้ว่าเธอทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่ตอนงานวันเกิดครั้งนั้น…
คิดว่าเธอเองก็คงชอบวาห์นสินะ แล้วเรื่องวันนี้มันอะไรกัน?
ถ้าคำตอบฟังไม่ขึ้นล่ะก็…”
จากผู้หญิงทุกคนรอบตัววาห์น เฮสเทียรู้สึกว่าสาวอเมซอนคนนี้ไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด
เป็นถึงพี่สาวของทีโอน่า แต่กลับทำให้วาห์นตกอยู่ในสภาพแบบนี้?
ตอนนี้เฮสเทียยังไม่รู้ว่าวาห์นได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้น ‘เสียชีวิต’ แต่ก็พอเดาออกว่าเรื่องคงร้ายแรงมากจากท่าทางและสีหน้าของทีโอเน่
ทีโอเน่เผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวขณะไล่มองไอส์ ทีโอน่า วาห์น และกลับมาที่เฮสเทีย
เธอกอดแขนไว้ใต้เนินอกและเริ่มอธิบายด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“นับตั้งแต่ได้เห็นวาห์นต่อสู้กับโกไลแอธ ฉันก็รู้แล้วว่าวันหนึ่งเขาจะต้องเป็นผู้ชายที่คู่ควรให้กับใครสักคนแน่นอน
จากนั้นไม่นานก็มาเจอกันตอนอาบน้ำ นั่นทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นและอยากแหย่เขาขึ้นมาอีกหน่อย
พอรู้ว่าเขามาคบกับน้องสาว ฉันก็รู้สึกอิจฉามาก… รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพี่สาวที่ไม่ได้ความ
ฉันรักผู้ชายคนนึงมาหลายปีแล้ว… แต่ฟินน์ไม่เคยรักตอบเลย… พอได้ยินทีโอน่าพูดถึงวาห์นบ่อยๆ แล้วฉันก็…”
ทีโอเน่ถอนหายใจยาวๆ ขณะมองมาทางน้องสาวของตัวเอง จากนั้นเธอก็ส่ายหัวและเล่าต่อ
“พอเห็นสภาพของทีโอน่ากับไอส์ ฉันก็ยิ่งร้อนใจ
ฉันรุกฟินน์หนักขึ้นและใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้เขาใจอ่อน แต่ยิ่งทำแบบนั้น เขาก็ยิ่งห่างเหินกว่าเดิม…
จังหวะนั้นฉันไม่รู้จะทำไงแล้ว… ก็เลยหันไปแหย่วาห์นกับทีโอน่าเพื่อระบายความทุกข์ของตัวเอง…”
ทีโอเน่มีสีหน้าเศร้าสลดอยู่บ้าง เพราะเธอเห็นชัดเจนว่าสายตาของเฮสเทียนั้นดูน่ากลัวขึ้นทุกขณะ ขนาดทีโอน่ากับไอส์ยังมองเธอแบบแปลกๆ เลย
เธอตระหนักดีว่าตัวเองทำผิดและกำลังเอาความรู้สึกไม่ดีต่างๆ มาลงที่วาห์นแทน
เพราะเขาทั้งหล่อ ทั้งมากความสามารถ แถมยังคบอยู่กับคู่แฝดของตัวเองอีกด้วย
การจะให้เธอมายืนดูอยู่ข้างสนามแล้วบอกตัวเองว่าทุกอย่างโอเค… เธอทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เธอก็อธิบายต่อ
“ตอนที่ตามทีโอน่าไปเดตด้วย… ฉันรู้สึกอิจฉาเธอสุดๆ เลย
วาห์นทั้งดีและแสดงความรักกับเธอเกือบตลอด แต่คนที่ฉันรักมา 3 ปีกลับไม่เคยสนใจไยดีสักอย่าง
เพราะวาห์นเป็นคนที่เข้าหาง่าย… ฉันก็เลยทำนิสัยเห็นแก่ตัว ฉันอยากให้เขาหันมาสนใจบ้าง…”
ทีโอเน่หันไปมองที่เตียงด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะพูดต่ออีกครั้ง
“หมอนี่มันอ่อนโยนได้โล่จริงๆ… ถึงฉันจะไม่เคยทำอะไรให้ เขาก็ยังอุตส่าห์ทำดีด้วย ดีเกือบเท่าน้องสาวที่เป็นคนรักเลยล่ะ
เขาไม่เคยทำเหมือนฉันเป็นคนนอก ไม่เคยตอบโต้ตอนที่โดนแหย่
เขาจะไม่ทำแบบนี้ก็ได้ แต่สุดท้ายก็ยังทำเหมือนฉันเป็นเพื่อน ทำเหมือนกับจะยอมรับทั้งๆ ที่ฉันเป็นแบบนี้… นี่แหละ ที่ทำให้ความรู้สึกของฉันเปลี่ยนไปทีละนิด
ก่อนลงไปสำรวจดันเจี้ยน วาห์นได้มอบอาวุธเป็นของขวัญให้กับพวกเราทุกคน
ถึงของที่ได้มาจะมีคุณภาพสูง แต่ฉันก็รู้ว่ามันไม่ดีเท่ากับของทีโอน่าหรือไอส์”
พอมาถึงจุดนี้ สีหน้าของทีโอเน่ก็เริ่มสั่นไหวราวกับกำลังกลั้นเสียงสะอื้น
“ฉันรู้สึกกลัว… เพราะต่อให้วาห์นทำดีด้วยแค่ไหน แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ใช่คนรักของเขา
ฉันรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น จะบอกว่าเป็นคู่แฝดก็เลยอยากให้ปฏิบัติแบบเดียวกันคงไม่ได้… ฉันแค่อยากมีความสุขบ้างก็เท่านั้นเอง
ถึงจะไม่เท่ากับน้องสาว แต่ฉันก็อยากให้เขามาเป็นห่วงเป็นไยสักนิดก็ยังดี… เพราะฉันเริ่มยอมแพ้เรื่องฟินน์แล้ว”
ทีโอเน่ปล่อยเสียงหัวเราะที่แปลกประหลาดราวกับกำลังเสียดสีตัวเอง ขณะเดียวกันน้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นออกมาให้เห็น
เธอไล่มองทั้งสามคนก่อนจะถามด้วยสีหน้าน่าสมเพช
“รู้ไหมว่าฟินน์พูดอะไร… ตอนที่ฉันบอกว่าจะไปตกหลุมรักวาห์นแทนถ้าเขาปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ?”
ราวกับว่าทีโอเน่รู้สึกหวาดกลัวมากและกำลังถูกลมหนาวพัดใส่ เธอออกอาการสั่นเล็กน้อยจนต้องกอดตัวเองให้แน่นกว่าเดิม
“เขาพูดว่า ‘นั่นคงจะดีที่สุดแล้ว ฉันหวังว่าวาห์นจะทำดีกับเธอนะ’
เขาไม่ได้หยุดคิดก่อนเลยด้วยซ้ำ ฉันปล่อยให้เขาเป็นคนตัดสินชะตาชีวิต… แต่ฟินน์ก็ทำเหมือนว่ามันคือคำถามที่ฉันแค่พูดลอยๆ…”
เหตุผลที่ทีโอเน่เครียดจัดก็เพราะว่าจิตใจของเธอนั้นยุ่งเยิงไปหมดหลังจากถูกฟินน์หักอกจนมันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน
เธอยังจำรอยยิ้ม ‘ให้กำลังใจ’ บนใบหน้าของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
ตอนนั้นเขาต้องเงยหน้าขึ้นมาหาเพราะกำลังง่วนอยู่กับงานเอกสารมากมาย
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นหลุดออกมา เขาก็เริ่มกลับไปทำงานต่อโดยไม่เฉลียวใจเลยว่านี่เป็นการถาม-ตอบที่สำคัญขนาดไหน
เพราะไม่อยากรบกวนเวลางาน ทีโอเน่จึงฝืนยิ้มให้อย่าง ‘สดใส’ ก่อนจะกล่าวลาสั้นๆ และเดินออกมาจากห้องทำงาน
ทีโอเน่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากพลางปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด
“วันนี้ฉันตั้งใจมาหาเรื่องจนกว่าวาห์นจะยอมสู้ด้วย
ฉันคิดว่าถ้าวาห์นสู้ได้ดีพอ อย่างน้อยๆ สัญชาตญาณก็น่าจะเปลี่ยนเป้ามาที่เขาแทน
อาจจะไม่ต้องเร็วๆ นี้ก็ได้ แต่ฉันหวังว่าตัวเองคงจะอาการดีขึ้น จากนั้นก็รอให้วาห์นเก่งพอจะเอาชนะตัวเองได้
เมื่อวันนั้นมาถึง วาห์น ทีโอน่า และฉันก็จะได้ช่วยกันสานฝันให้เป็นจริง…
ฉันเองก็ไม่ค่อยชอบธรรมเนียมของชาวอเมซอนเหมือนกัน ไม่มีแม่คนไหนอยากให้ลูกสาวไปมีชีวิตแบบนั้นหรอก…
ฉันอยากให้ลูกเป็นอิสระ… เธอจะได้ไม่ต้องมาลำบากเหมือนกับพวกเราในอดีต”
แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทีโอเน่ขณะที่เธอมองวาห์นอีกครั้ง
“แต่แทนที่จะแพ้… วาห์นกลับเอาชนะใจของฉันได้ ถึงแม้ว่า… แม้ว่า…”
ทีโอเน่จำได้ไม่มีวันลืมเลยว่าตัวเองรู้สึกแย่แค่ไหนที่พลั้งมือลงไป
สภาพของวาห์น… แค่คิดก็ปวดใจเหลือเกิน
ราวกับว่าร่างกายกำลังตอบสนองต่อความคิดดังกล่าว ทีโอเน่นั่งแหมะลงกับพื้นเพราะเรี่ยวแรงที่ขาหายไปไหนก็ไม่รู้
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและความกลัว
“ฉันขอโทษ… ฉะ-ฉันแค่อยากได้รับความรักบ้างเท่านั้นเอง…”
ทีโอน่ายังโกรธพี่สาวตัวเองไม่หาย แต่พอเห็นสภาพตอนนี้แล้วเธอย่อมรู้สึกใจอ่อน
ทั้งสองต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาทั้งชีวิต และเธอก็รู้จักทีโอเน่ดีกว่าใครๆ
ต่อให้ติดใจเรื่องนี้ไปอีกนานแสนนาน ทีโอน่าก็คงไม่มาพูดตอกย้ำพี่สาวทุกวี่ทุกวันจนกว่าตัวเองจะหายโกรธหรอก
วิธีแก้ข้อบาดหมางนั้นมีอยู่มากมาย การกล่าวโทษกันไปมาถือว่าเป็นวิธีที่ไม่ค่อยเกิดประโยชน์สักเท่าไหร่
สุดท้ายทีโอน่าก็ทนไม่ไหวและเดินเข้าไปสวมกอดพี่สาวของตน
เธอลูบหลังศีรษะของทีโอเน่อย่างแผ่วเบา ก่อนจะมองขึ้นไปหาเฮสเทียด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“ขอโทษด้วยนะเฮสเทีย บางครั้งทีโอเน่ก็ทำเกินไปหน่อย… แต่เธอไม่ใช่คนไม่ดีหรอก
ขอร้องล่ะ อย่าเกลียดเธอเพราะความผิดครั้งนี้เลย… คนที่เจ็บที่สุดก็คือเธอ (ทีโอเน่) อยู่ดีนั่นแหละ”
ครั้งนี้แม้แต่ไอส์ก็ออกมาช่วยพูดเช่นกัน
“การไม่ได้รับความรัก… มันเจ็บปวด”
เพราะสูญเสียพ่อแม่ไปและต้องทนทุกข์อย่างมากในอดีต ไอส์เลยรู้สึกเห็นใจเรื่องระหว่างทีโอเน่กับฟินน์อยู่ไม่น้อย
เฮสเทียขมวดคิ้วขณะจ้องมองไปมาระหว่างทีโอน่าและไอส์ก่อนจะหันกลับไปหาทีโอเน่ที่กำลังสะอื้นไห้
เทพตัวเล็กรู้แล้วว่าอีกฝ่ายรู้สึกผิดจริงๆ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เธอหวาดกลัวจนไม่กล้าถามเรื่องที่เกิดขึ้นแบบละเอียด
วาห์นคือผู้เคราะห์ร้ายจากเรื่องคราวนี้ เฮสเทียเลยกะจะให้เขาเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง
ตอนนี้เธอตระหนักแล้วว่าทุกอย่างไม่ได้เรียบง่ายและชัดเจนอย่างที่คิดเอาไว้
ไอ้เห็นใจมันก็เห็นใจอยู่หรอก แต่เธอเป็นห่วงวาห์นมากกว่าและไม่อยากให้เขาต้องมาปวดหัวกับเรื่องแบบนี้
ขณะกำลังขบคิดอยู่ หัวมหึมาก็โผล่ออกมาจากพื้นและทำให้ทุกคนในห้องพากันสะดุ้งตกใจ
ไอส์วางมือลงบนด้ามดาบของตัวเองอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ต้องเดาเลยว่าหัวที่ว่านั่นคือหัวของตัวอะไร
โชคดีที่หญิงสาวได้เจอฟาฟเนียร์มาบ้างแล้ว สุดท้ายเธอก็เลยยั้งมือได้ทัน
เมื่อไอส์สงบลง คนอื่นๆ ในห้องก็พาลสงบลงเช่นกัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเธอได้เจอกับ ‘มังกรสายพันธุ์พิเศษ’ ของวาห์น
ฟาฟเนียร์จ้องมองพวกเธอด้วยแววตา ‘ไร้เดียงสา’ ก่อนจะหันไปหาวาห์นที่นอนอยู่บนเตียง
หลังจากผงกหัวไปมาด้วยความสับสน ฟาฟเนียร์ก็หันไปพูดกับพวกสาวๆ
(*เฮสเทียๆ วาห์นบอกว่าอย่าไปใจร้ายกับทีโอเน่เลย… เขาบอกว่ารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเลยเถิดแน่ๆ… ถึงได้บอกให้เฟนเรียร์ไปที่อื่น แล้วก็ใช้ไอเท็มมากั้นไว้อีกชั้นไงล่ะ
วาห์นบอกว่าถ้าอยากจะโทษ ก็ขอให้โทษเขาที่ปล่อยให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้เองคับ~…*)
เสียงอธิบายแบบ ‘เด็กๆ’ ของฟาฟเนียร์ทำให้เฮสเทียได้แต่ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะโบกมือไล่ให้มันกลับไปอารักขาทีน่า
การที่วาห์นเรียกมันออกมาแบบนี้ก็แสดงว่าเขากำลังตามบทสนทนาอย่างตั้งใจและไม่อยากเห็นทีโอเน่ต้องรับผิดทุกอย่าง
แม้เฮสเทียจะรู้สึกค้างคาอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมาเพราะไม่อยากขัดแย้งกับวาห์น
ผ่านไปอีกสักเดี๋ยว เธอถึงจะรายงานเรื่องนี้ไปยังเครือข่ายและดูว่าคนอื่นๆ คิดเห็นยังไงบ้าง
ดวงตาของทีโอเน่สั่นไหวเล็กน้อยขณะมองไปยังร่างของวาห์นด้วยใบหน้าสีแดงระเรื่อ
ทำผิดขนาดนี้แล้ววาห์นยังอุตส่าห์ทำเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายผิดแทน จะใจดีไปถึงไหน?
เกือบจะโดนฆ่าตายอยู่แล้วก็ยังทำเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แถมยังพลิกกลับมาเอาชนะใจของเธอได้ นี่กะจะไม่ยอมให้ตัดใจกันเลยเลยสินะ?
จู่ๆ ความร้อนในร่างกายของทีโอเน่ก็พุ่งสูงขึ้นจนทีโอน่าต้องรีบหันไปหาไอส์ด้วยสีหน้าร้อนรน
“ไอส์ เราต้องรีบพาทีโอเน่ออกไปจากที่นี่ ด่วนเลย”
ไอส์หันไปมองทีโอเน่เพียงแวบเดียวก่อนจะพยักหน้าและยกเธอใส่หลังทีโอเน่
พอจัดท่าจนมั่นคงดีแล้วทั้งสามก็รีบออกไปจากห้องท่ามกลางสายตาของเฮสเทีย
พอคนอื่นๆ ออกไปแล้ว เฮสเทียก็เดินไปล็อคประตูก่อนจะเปิดใช้งานเครื่องรางเก็บเสียงที่โลกิทิ้งไว้ให้
จากนั้นเธอก็เดินมาที่ข้างเตียงก่อนจะคลานขึ้นไปบนร่างของวาห์นด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยังได้ยินอยู่ เฮสเทียจึงพูดเสียงต่ำ
“วาห์น… อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงแบบนี้สิ
ขอร้องล่ะ ถ้านายมาด่วนตายแบบนี้… ฉันก็คงไม่อยากอยู่บนโลกมนุษย์ต่อไปอีกแล้ว
ฉันคงติดตามดวงวิญญาณของนาย… จนกว่านายจะได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง… ดีกว่าต้องทนอยู่บนโลกที่ไม่มีนาย”
ขณะพูด เสื้อผ้าของเทพตัวเล็กก็สลายกลายเป็นกลีบดอกประดับเตียงอย่างรวดเร็ว
แม้จะประหม่าเล็กน้อย แต่วาห์นก็รู้ว่าเฮสเทียนั้นได้รับผลกระทบอย่างมากจากเรื่องคราวนี้ ยังดีที่เธอไม่ได้รู้แบบละเอียด…
ตอนนี้ออร่าของเธอกลายเป็นสีเขียวและชมพู ตรงส่วนขอบก็เริ่มมีสีม่วงให้เห็น
นี่แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังรู้สึกอิจฉา ริษยา หวาดกลัว และหลงรักในเวลาเดียวกัน
วาห์นอยากลุกขึ้นมาปลอบ ทว่าร่างกายก็ดันไม่ยอมตื่นสักที
ไอเท็ม [รูปปั้นฮีโร่] นั้นไม่ได้ทำให้ร่างกายเป็นอัมพาตแบบไร้เหตุผล แต่มันคือการปกป้องร่างกายจากผลของการฟื้นฟูเฉียบพลันที่ผิดธรรมชาติ
วาห์นอาจใช้ [ทลายพันธนาการ] เพื่อยกเลิกผลของมันได้ แต่การทำแบบนั้นอาจส่งผลเสียร้ายแรงในภายหลัง
เฮสเทียถอดเสื้อผ้าของวาห์นออกอย่างช้าๆ ขณะพึมพำ
“รู้นะว่านายขยับตัวไม่ได้… แต่ฉันก็ยังอยากอยู่ใกล้ให้มากที่สุด ขอโทษละกันที่ฉันมันเห็นแก่ตัว
รีบๆ ฟื้นขึ้นมาได้แล้ว… ฉันจะรออยู่ข้างๆ นี่แหละ”
สายตาของเฮสเทียสอดส่องไปทั่ว จนกระทั่งมาบรรจบอยู่ตรง ‘ของรักของหวง’ และทำให้เธอผ่อนลมหายใจเบาๆ
ดูแล้วมันก็คงขยับขยายไม่ได้เหมือนกับผู้เป็นเจ้าของ ท่านอนที่ช่วงนี้ชอบทำกันเป็นประจำก็คงต้องงดไว้ก่อน
เฮสเทียไม่รู้เลยว่าวันนี้วาห์นเฉียดตายมากขนาดไหน สิ่งเดียวที่เธอรู้และสนใจก็คือตอนนี้ ณ เวลานี้ ในที่แห่งนี้ พวกเขาทั้งสองได้อยู่ด้วยกันแล้ว… ก็เท่านั้นเอง