Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 100
เมื่อได้ยินว่าไอส์ต้องการจูบกับเขา วาห์นก็นิ่งไปในขณะที่คิดถึงเรื่องระหว่างเขากับเธอ
เขารู้จักกับไอส์เพียงช่วงเวลาสั้นๆ คล้ายกันกับทีโอน่า และภายในช่วงเวลานั้นพวกเธอต่างมีประสบการณ์ร่วมกับเขาหลายอย่าง
ทั้งคู่ได้ดวลกับเขา ได้เห็นเขาเปลือยกาย ได้อาบน้ำด้วยกันกับเขา และต่างก็มีค่าความชื่นชอบที่สูงมากเช่นกัน
ทีโอน่านั้นนำอยู่ด้วยค่าความชื่นชอบ 100 แต้ม แต่ค่าของไอส์ก็อยู่ที่ 81 ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาได้รู้จักกัน
ไอส์ยังคงมองมาในขณะที่เขายังครุ่นคิดอยู่ในใจ ราวกับเธอกำลังรอคอยจนกว่าเขาจะตัดสินใจได้
วาห์นสบตากับเธอและหลังจากพิจารณาเรื่องต่างๆ แล้ว ก็ตัดสินใจได้ว่าไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเธอ
เธอไม่ได้ทำอะไรให้เขาไม่ชอบและจากความรู้ที่เขาได้เรียนกับริเวเรียมานั้น มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
วาห์นพยักหน้าขณะที่ไอส์เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
จากด้านข้าง ทีโอน่าจ้องมองทั้งสองด้วยความตื่นเต้นขณะที่คอยจับเลฟิย่าและปิดปากของเธอไว้
แม้เธอจะไม่อยากให้ใครมาแย่งวาห์นไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยับยั้งไม่ให้เขาคบหากับคนอื่นด้วย
สำหรับเธอแล้ว ตราบใดที่เธอสามารถได้ทุกอย่างที่เป็น ‘ครั้งแรก’ ของวาห์น สิ่งที่วาห์นไปทำกับคนอื่นก็เหมือนกับเป็นการเพิ่มบารมีของเธอและเสน่ห์ของวาห์นขึ้นเท่านั้นเอง
ดูเหมือนเลฟิย่าต้องการหยุดเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ทีโอน่าจึงปิดปากเธอไว้ชั่วคราว
วาห์นและไอส์ต่างจ้องไปที่ตาของอีกฝ่ายโดยไม่เคลื่อนไหวใดๆ ไปพักหนึ่ง
เมื่อเห็นพวงแก้มสีแดง ผิวไร้ที่ติ และใบหน้าที่ดูราวกับตุ๊กตาของไอส์ วาห์นก็รู้สึกถึงอารมณ์ว้าวุ่นที่ทำให้เขาอึดอัดในช่วงนี้เริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ไอส์เป็นหญิงสาวที่งดงามมากและแม้ว่าเธอจะขาดการแสดงออกทางสีหน้า แต่วาห์นก็คิดว่าเธอดูเป็นคนที่ใจดีและอ่อนโยนมาก
ตราบใดที่เธอไม่ได้สู้อยู่กับมอนสเตอร์น่ะนะ…
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง วาห์นก็เข้าใกล้ไอส์และเอื้อมมือไปโอบรอบเอวของเธอ
ไอส์ต่างไปจากทีโอน่าเพราะตอนนี้เธอกำลังสวมชุดเกราะที่หนากว่าในมังงะเสียอีก
แม้ว่าจะมีช่องว่างเล็กๆ ตรงด้านหลัง แต่ว่าแผ่นโลหะ สายรัดหนังสัตว์ และเส้นใยเหล็กต่างทำให้ทุกอย่างดูอึดอัดไปหมด
วาห์นใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อค้นหาจุดวางมือที่เหมาะที่สุดขณะที่ไอส์เริ่มหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดวาห์นก็ยอมแพ้ให้กับการโอบรอบเอวและเอามืออ้อมไปข้างหลังราวกับว่าจะกอดเธอแบบปกติ
เมื่อเขา ‘เตรียมการ’ เสร็จแล้ว วาห์นก็มองเข้าไปที่ใบหน้าของไอส์และพบว่าดวงตาของเธอนั้นเปียกชื้นเล็กน้อย
แม้สีหน้าของเธอจะไม่เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ แต่วาห์นก็เห็นว่าคิ้วของเธอนั้นอยู่สูงกว่าปกติ
เขาค่อยๆ เอนตัวและนำริมฝีปากเข้าไปใกล้ก่อนจะจูบไอส์อย่างอ่อนโยน
ช่วงเวลาที่พวกเขาสัมผัสกัน ไอส์ก็เกร็งขึ้นมานิดหน่อยแต่เมื่อการจูบดำเนินต่อไปเธอก็เริ่มผ่อนคลายอย่างช้าๆ
อย่างแรกที่วาห์นรู้สึกในระหว่างการจูบก็คือริมฝีปากของเธอนั้นทั้งคล้ายและต่างกับของทีโอน่า
มันมีรสสัมผัสที่นุ่มนิ่มแต่ก็ยืดหยุ่นจนทำให้เขาหัวหมุน
อย่างที่สองก็คือกลิ่นหอมที่มาจากเรือนร่างของเธอ
มันต่างจากกลิ่นสดชื่นที่คล้ายกับต้นไม้ใบหญ้าอันเขียวขจีของทีโอน่ามาก
ไอส์มีกลิ่นตัวคล้ายกับน้ำผึ้งบริสุทธิ์อยู่เล็กน้อย
มันเป็นกลิ่นที่เบาบางมาก แต่ก็เป็นอะไรที่น่าดึงดูดใจและดูเหมือนจะค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใจของวาห์นซึ่งทำให้ความว้าวุ่นของเขายิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม
เช่นเดียวกับตอนที่เขาจูบทีโอน่า วาห์นลืมเรื่องเวลาไปซะสนิทขณะที่เพ่งความสนใจทุกอย่างไปกับอารมณ์และความรู้สึกที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เขาสนุกไปกับการจูบมากกว่าที่คาดไว้และยิ่งเขาจูบนานขึ้นความรู้ดีก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
แต่จู่ๆ ไอส์ก็เริ่มกระสับกระส่ายอยู่ในอ้อมแขนของเขาและวาห์นต้องดึงตัวเองออกไปก่อน
เขาเห็นว่าใบหน้าของเธอเป็นสีแดงขณะที่เธอหอบหายใจแรงๆ พร้อมกับสายตาที่เปียกชื้นและดูเจ็บปวด
“อากาศ… หายใจไม่ออก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ วาห์นก็รู้สึกอึดอัดใจและกังวลเล็กน้อย
“ขอโทษนะ ฉันเพลินมากไป…”
เขากล่าวขอโทษและโค้งให้เธอเล็กน้อย
ไอส์ที่กำลังปรับลมหายใจอยู่นั้นส่ายหัวหลังจากได้ยินคำพูดของเขา
“ไม่ต้อง เป็นจูบที่ดี… นุ่มนิ่ม”
เมื่อคิดว่าวาห์นกำลังโทษตัวเอง ไอส์จึงพยายามให้กำลังใจเขาด้วยสิ่งที่เธอรู้สึก
เพราะมันเป็นจูบแรก เธอเลยคิดอะไรไม่ค่อยออกซึ่งคล้ายกับจูบแรกของวาห์น
ในขณะที่กำลังดิ้นรนกับรู้สึกแปลกใหม่ภายในตัวเธอ เธอก็เลยลืมหายใจและเริ่มตื่นตระหนกเล็กน้อยในตอนท้าย
หลังจากที่เธอสงบลงแล้ว ไอส์ก็โอบแขนรอบตัววาห์นและพยายามจูบเขาก่อนบ้าง
แต่ก่อนที่เธอจะทำแบบนั้นได้ เลฟิย่าก็ปลดแอกตัวเองออกมาจากทีโอน่าที่กำลังมึนงงอยู่ได้สำเร็จและตะโกนขึ้น
“ไม่น้าาา~! ไอส์ ไม่ได้!!!”
เลฟิย่าดึงไอส์ออกจากอ้อมกอดของวาห์นซึ่งทำให้เธอมองเลฟิย่าด้วยสายตาเศร้าๆ
“เลฟิย่า… อยากจูบเหมือนกันเหรอ?”
ไอส์นึกว่าสาเหตุที่เลฟิย่าหยุดเธอจะเหมือนกับที่เธอหยุดทีโอน่าเมื่อกี้นี้
เมื่อได้ยินคำพูดของไอส์ ใบหน้าของเลฟิย่าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและทำให้เธอพูดติดอ่าง
“มะ-มะ-มะ-มะ-มะ-ไม่มีทาง! ไม่มีทาง ไม่มีเลย! ฉันจะไปจะ-จะ-จะ-จะ-จูบ เจ้าอสูรบ้ากามนี่ได้ยังไง!!!”
เลฟิย่าเริ่มโบกแขนไปรอบๆ และพยายามปฏิเสธคำถามนั้นก่อนจะชี้ไปที่วาห์นขณะตะโกนว่าเขาคือ ‘อสูร’
วาห์นขมวดคิ้วหลังจากได้ยินเธอเรียกเขาว่าเป็นอสูร เพราะเขาจำไม่ได้เลยว่าเคยไปทำอะไรให้สาวเอลฟ์ตัวน้อยคนนี้ขุ่นเคืองใจ (TL: 5555 เพียบ~)
ทีโอน่าเริ่มฟื้นสติและตอนนี้ก็กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานกับการกระทำอันไร้เดียงสาของเลฟิย่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า เขาก็เป็น ‘อสูร’ จริงๆ นั่นแหละ~! แต่เป็น ‘อสูรบ้าจูบ’ ที่ทำให้หัวใจของหญิงเต้นระรัว ใช่ไหมไอส์~?”
ทีโอน่ารู้ว่าเลฟิย่ากำลังพูดถึงอะไรแต่ก็ตัดสินใจที่จะบิดคำพูดของเธอเล็กน้อยเพื่อแกล้งเธอ
เมื่อได้ยินคำถามของทีโอน่า ไอส์ก็หยุดไปครู่หนึ่งขณะเอียงหัวเล็กน้อย
หลังจากคิดหาคำตอบได้แล้ว เธอก็พยักหน้าและตอบออกไป
“อืม หัวใจของฉันเต้นเร็วมาก”
ขณะที่เลฟิย่าฟังทีโอน่าและไอส์คุยกันเรื่องจูบ เธอก็อยากจะไป ‘แก้ไข’ ทั้งสองคนนี้เหลือเกิน
แต่เธอรู้สึกว่าถ้าพยายามไปบอกอะไรเพิ่มก็จะดูเหมือนกับว่าเธอเป็นพวกโรคจิตแทน
แรงกดดันเริ่มสะสมอยู่ในสมองของเธอมาพักหนึ่งแล้วและยิ่งเธอไปคิดอะไรที่มันวุ่นวายมากขึ้น เธอก็อาจจะถึงขั้นหมดสติไปแบบที่แล้วๆ มา
เลฟิย่าเริ่มรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่แล้วจู่ๆ ก็มีมือมาวางบนศีรษะของเธอ
ความคิดทั้งหมดในใจของเธอเริ่มจางหายไปจากการสัมผัสที่ไม่คาดคิดขณะที่ความอบอุ่นเริ่มไหลเข้าสู่ศีรษะของเธอ
เหมือนกับทุกครั้งที่เธอเคยสัมผัสมันมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากแต่ก็ทำให้เลฟิย่าต้องขวัญผวาในเวลาเดียวกัน
เธอหันหัวไปข้างๆ เล็กน้อยและเห็นวาห์นกำลังมองเธอด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่เป็นไรนะเลฟิย่า ฉันจะไม่จูบเธอหรอก ฉันไม่ได้เป็นอสูรบ้าจูบหรืออะไรแบบนั้นสักหน่อย”
พอได้ยินวาห์นพูดถึง ‘อสูรบ้าจูบ’ ขณะที่ยังคงใจดีกับเธอเหมือนเดิมนั้นทำให้เลฟิย่ารู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้
ทุกคนดูเหมือนจะเข้าใจผิดความรู้สึกของเธอผิดหมดเลย แต่เธอก็ไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้เช่นกัน
วันนี้เธอได้รับประสบการณ์มามากมายหลายเรื่อง และส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับวาห์นทั้งนั้น
เลฟิย่าอยากจะเกลียดเขาที่แทรกตัวเข้ามาอยู่ในชีวิตของเธอและทำให้ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด
แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน เธอก็ทำใจเกลียดเด็กหนุ่มที่ไร้เดียงสา อ่อนโยน แข็งแกร่ง และหล่อเหลาคนนี้ไม่ลง
สิ่งที่เลฟิย่าต้องการหลังจากเข้าร่วมกับโลกิแฟมิเลียก็คือได้ใช้เวลากับเพื่อนๆ ของเธอและพยายามทำความรู้จักกับไอส์ให้มากขึ้น
ตอนนี้ดูเหมือนว่าไอส์กำลังจะถูกพรากไปจากเธอและนั่นทำให้เลฟิย่ารู้สึกเหมือนเธอกำลังสูญเสียบางสิ่งที่เธอไม่มีทางจะได้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้วไป
เธอรู้ว่าไอส์ไม่เคยคิดกับเธอแบบแปลกๆ และมันก็เป็นแค่จินตนาการของที่เธอชอบเอามาผสมกับความเป็นจริงเท่านั้น
แต่เลฟิย่าก็ยังรู้สึกเศร้ามากที่เห็นไอส์หันไปสนใจคนอื่น… แถมเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดีด้วย
พอได้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไหลออกมาจากฝ่ามือนั่น เลฟิย่าก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาของเธอได้อีกต่อไปขณะทรุดลงกับพื้นและเริ่มสะอื้นออกมาเบาๆ
วาห์นยังคงพยายาม ‘ปลอบใจ’ เธอต่อไปและยิ่งเขาทำแบบนั้นมากเท่าไหร่ เลฟิย่าก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงกว่าเดิม
มันไม่ใช่แค่เพราะเขาใจดีกับเธอ แต่เพราะเธอไม่อาจเกลียดเขาในสิ่งที่เขาทำลงไปได้
เธอเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนอื่นถึงตกหลุมรักเขาเพราะเธอเองก็รู้สึกแปลกๆ หลังจากได้มีปฏิสัมพันธ์กันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
เลฟิย่ารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย…
ทันใดนั้นเลฟิย่าก็ได้รับอ้อมกอดจากร่างที่แข็งแต่ว่าอบอุ่น
ไอส์ที่คอยเฝ้าดูอยู่รู้สึกไม่ดีที่เห็นเลฟิย่าร้องไห้
เธอรู้สึกราวกับว่าได้ทำผิดต่อเอลฟ์ตัวน้อยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่กลับไม่อาจเข้าใจสาเหตุนั้นได้เลย
แทนที่จะพยายามคิดสาเหตุให้ออก ไอส์จึงตัดสินใจที่จะปลอบเธอแทนและลงไปคุกเข่าเพื่อกอดเธอเบาๆ
น่าเสียดายที่ไอส์สวมใส่ชุดเกราะอยู่ มันจึงไม่ได้เป็นอ้อมกอดที่นุ่มนวลเท่าไหร่นัก แต่เลฟิย่าก็ดูเหมือนจะอาการดีขึ้นมาตามลำดับ
หลังจากที่เลฟิย่าถูกไอส์กอด วาห์นก็เอามือออกและยิ้มให้กับภาพตรงหน้า
เลฟิย่าหยุดร้องไห้ลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีน้ำตาเหลืออยู่ในดวงตาเล็กน้อย
เมื่อไอส์เห็นว่าวาห์นเอามือออกไป เธอก็เริ่มเอามือขึ้นมาลูบหัวของเด็กสาวเบาๆ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เลฟิย่า อย่าเสียใจไปเลย”
พอเลฟิย่าได้ยินคำพูดของไอส์ เธอก็หันมาและสวมกอดไอส์กลับไป
เลฟิย่านำใบหน้าของเธอไปซุกเข้ากับเสื้อเกราะของไอส์ และทำราวกับว่ามันเป็นหมอนที่นุ่มสบายที่สุดในโลก
“ฉันจะไม่เสียใจอีกแล้วนะไอส์ ตราบใดที่ฉันยังได้อยู่แบบนี้ไปอีกสักพัก…”
เพื่อเป็นการตอบสนอง ไอส์จึงลูบหัวของเด็กสาวต่อและตอบกลับไป
“อืม แต่อย่านานนักล่ะ”
ทีโอน่าคว้าโอกาสในช่วงที่วาห์นเป็นอิสระและลากเขาออกไปในขณะที่ไอส์ได้แต่มองตาม
ดูเหมือนว่าเธอจะอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กำลังยุ่งอยู่กับการปลอบเอลฟ์ตัวน้อยที่เอาหน้าเปื้อนน้ำมูกและน้ำตามาถูเสื้อเกราะของเธอโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
วาห์นยอมให้ตัวเองถูกทีโอน่าลากออกไปในขณะที่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนให้กับไอส์ที่ดู ‘ไม่พอใจ’
เมื่อพวกเขาออกมาห่างพอสมควร ทีโอน่าก็กอดวาห์นอีกครั้งและทำการจูบก่อนที่เขาจะตอบสนองได้ทัน
มันเป็นแค่การจูบแบบสั้นๆ ที่ริมฝีปากก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ~! อย่างที่คิดไว้เลย วีรบุรุษก็ต้องมีวีรสตรีมาเคียงข้างสินะ แต่ไม่ว่ายังไงนายก็ต้องมีที่ในใจเหลือไว้ให้ฉันตลอดไปนะ โอเคไหม~?”
แม้ทีโอน่าจะมีท่าทางสนุกสนาน แต่วาห์นก็รู้ว่าเธอจริงจังมากขณะที่พูดมันออกมา
วาห์นพยักหน้าก่อนที่จะตอบเธออย่างจริงจังเช่นกัน
“ฉันจะพยายาม แต่เรื่องความรักมันยังดูใหม่สำหรับฉันมากจริงๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ฉันอยากทำ แต่ฉันจะทำให้ดีที่สุดตราบใดที่ไม่ทำให้คนอื่นๆ ที่ฉันห่วงใยต้องมาเสียใจ…”
ทีโอน่ายิ้มหลังจากได้ยินคำพูดของเขา แล้วเธอก็เริ่มไตร่ตรองอยู่สักพักขณะนำนิ้วชี้มาถูกคาง
“จริงด้วยสิ ที่บ้านของสึบากิมีสาวๆ อยู่ตั้งหลายคนนี่นะ ฉันนึกว่าพวกเธออาจจะเป็นคนรักของนาย แต่พอเห็นนายเป็นแบบนี้แล้วก็หมายความว่าฉันเป็นคนแรกของนายสินะ”
วาห์นสับสนมากและถามออกไปแบบไม่ได้คิด
“เอ๋? พวกเราเป็นคู่รักกันแล้วเหรอ?”
วาห์นรู้ว่าพวกเขาสนิทสนมกันมาก แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองได้ข้ามไปถึงขั้นนั้นแล้วเพราะเขาคิดว่าคู่รักก็ต้องมีอะไรกันหรือแต่งงานกันก่อน
ทีโอน่าเห็นสภาพที่ว้าวุ่นของเขา จึงย่นระยะห่างเข้ามาใกล้อีก
เธอโน้มตัวไปข้างหน้าขณะเอามือมาไขว้หลังและแหงนมองวาห์นจากด้านล่าง
“นายไม่ชอบฉันเหรอ วาห์น?”
ทีโอน่าเผยรอยยิ้มเย้ายวนขณะที่เธอถามออกไป
วิธีที่ทีโอน่าใช้เข้าหาเขาและถามคำถามนั้นทำให้วาห์นรู้สึกประหม่าเล็กน้อยและกลืนน้ำลายเสียงดัง
ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบทีโอน่า และเขาไม่คิดว่าจะรู้สึกแปลกๆ ได้มากมายขนาดนี้หากเขาไม่ชอบเธอ
“ฉันว่าฉันชอบเธอนะ…”
วาห์นพูดออกมาช้าๆ ราวกับว่าเขากำลังทดสอบพูดมันออกมาเป็นครั้งแรก
หลังจากได้ยินสิ่งตัวเองพูดออกไป วาห์นจึงได้ตระหนักว่านี่เป็นคำสารภาพรักครั้งแรกของเขา…
ทีโอน่าเผยรอยยิ้มที่เปล่งประกายออกมาได้สว่างกว่าคริสตัลที่ส่องแสงอยู่บนหัวซะอีก
“ดีแล้ว เพราะฉันเองก็ชอบ ชอบ ชอบนายมากเลย~! เพราะเราทั้งคู่ต่างก็ชอบกัน งั้นก็หมายความว่าเราเป็นคู่รักกันแล้วใช่ไหม? แล้วนายไม่ต้องกังวลหรอกนะ แม้เราจะมีลูกด้วยกัน แต่เรื่องนั้นจะไม่กระทบกับชีวิตของนายแน่นอน ฉันจะเลี้ยงดูลูกที่หมู่บ้านให้ดีที่สุดก่อนจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง!”
ทีโอน่ารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะเธอรู้แล้วว่าในที่สุดก็พบว่า ‘วีรบุรุษ’ ที่เธอค้นหามานาน
อีกทั้ง ‘วีรบุรุษ’ คนนี้ยังเป็นเป็นเด็กผู้ชายที่มีอายุเท่ากับเธอแถมยังหล่อแล้วก็แข็งแกร่งด้วย!
วาห์นรู้สึกว่าเขากำลังคล้อยตามไปกับความตื่นเต้นของเธอด้วย
เมื่อเห็นว่าเธอมีความสุขขนาดไหน วาห์นจึงไม่กล้าพอที่จะกล่าวปฏิเสธเธอ
วาห์นอดกลั้นไม่ให้ตัวเองถอนหายใจออกไปและยิ้มให้กับเธอก่อนจะพูดต่อ
“ได้สิ แต่ฉันคิดว่าเราน่าจะช้าลงหน่อยนะ… เราทั้งคู่ยังเด็กอยู่มาก…”
วาห์นไม่เชื่อเลยว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกมาอยู่ ทีโอน่าเองก็ดูเหมือนจะไม่สนใจคำพูดเมื่อกี้เช่นกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกวาห์น~! ตอนนี้ร่างกายของฉันสามารถมีลูกได้แล้ว! อย่าดูถูกความแข็งแกร่งของชาวอเมซอนนะ~!”
เมื่อได้ยินทีโอน่าพูดเรื่องมีลูกอยู่เรื่อยๆ วาห์นก็เริ่มรู้สึกเหงื่อตก
ไม่ว่าเขาจะคิดมากแค่ไหนก็รู้ดีว่าตนยังไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อคน…
ขณะที่วาห์นคิดแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว
วาห์นขมวดคิ้วและเริ่มคิดอะไรหลายๆ อย่าง
เขาสงสัยว่าตัวเองมีพ่อกับเขาหรือเปล่า แล้วทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องของคนๆ นั้นมาก่อนเลย
แม้แต่ความทรงจำตอนถือกำเนิดก็ด้วย นอกจากแพทย์และพยาบาลแล้วก็มีแค่แม่ของเขาคนเดียวเท่านั้น…
วาห์นเริ่มตระหนักแล้วว่าในใจของเขานั้นไม่เคยมีความคาดหวังและไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ‘พ่อ’ ควรจะต้องเป็นแบบไหน
แม้แต่ในมังงะที่เขาอ่านก็เช่นกัน ตัวละครหลักส่วนใหญ่นั้นไม่มีพ่อแม่หรือไม่ก็มีแต่พ่อหรือแม่เพียงคนเดียวเท่านั้น
วาห์นไม่รู้ว่าพ่อต้องเป็นแบบไหน แต่เขาก็สังเกตเห็นบางจากก้นบึ้งของตัวเอง
เมื่อนึกถึงตอนที่ทีโอน่าบอกว่าจะเลี้ยงดูลูกของพวกเขาที่หมู่บ้านอเมซอน วาห์นก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้…
ทีโอน่าเริ่มรู้สึกกังวลเมื่อหันไปเห็นสีหน้าน่ากลัวของวาห์น
“วาห์น… เป็นอะไรไปเหรอ?”
ทีโอน่ากังวลว่าเธออาจจะกดดันวาห์นหนักเกินไปและทำให้เขาเปลี่ยนใจ
พอวาห์นได้ยินทีโอน่าเรียก เขาก็มองไปทางเธอด้วยสีหน้าหนักแน่นและพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ถ้าฉันมีลูกจริงๆ ฉันจะไม่ละทิ้งลูกเด็ดขาด ฉันปล่อยให้เธอพาเขาไปหมู่บ้านไม่ได้หรอก… ยังไงก็ไม่ได้!”
วาห์นรู้สึกว่าหากเขาปล่อยให้ลูกถูกเลี้ยงดูในสถานที่ห่างไกล มันก็เหมือนกับว่าเขากำลังล้มเหลวกับการเป็นพ่อ กับความรู้สึกของตัวเอง กับการมีชีวิตอยู่ต่อ และกับเส้นทางที่คนเองเลือกเดิน…