Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 103
วาห์นรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจิ้มแก้มของเขาอยู่และทำให้เขาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ
ระหว่างที่กำลังกังวลเรื่องอนาคต เขาก็ดันผลอยหลับไปแบบไม่รู้ตัว
วาห์นลืมตาขึ้นและค้างไปเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้ที่มาปลุก
“ตื่นได้แล้วขี้เซา เราต้องไปกันแล้วนะ~”
ทีโอน่าไม่ได้มีท่าทางเย้ายวนและบ้าคลั่งแบบก่อนหน้านี้แล้ว
เธอกลับสู่สภาวะปกติและดูร่าเริงดีซึ่งทำให้วาห์นผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เขาจับมือที่เธอเอื้อมมาให้และลุกขึ้นยืนพร้อมสังเกตเห็นว่าเต็นท์ทั้งหมดที่ค่ายได้อันตรธานหายไปแล้ว
ตอนนี้มีกลุ่มคนจำนวนมากที่กำลังรับฟังคำสั่งและถูกแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆ ขณะเคลื่อนทัพไปที่บันได
“นายได้พักไปบ้างแล้วใช่ไหม?”
ทีโอน่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะกังวลเรื่องสภาพร่างกายของเขามากเลย
เธอกำลังกังวลเรื่องที่อาจจะทำให้วาห์นบาดเจ็บเพราะก่อนหน้านี้เธอไม่สามารถควบคุมแรงของตัวเองได้เลย
วาห์นบิดขี้เกียจก่อนส่งยิ้มให้เธอ
“ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นเยอะ การนอนนี่มันช่วยคลายเครียดได้ดีจริงๆ”
ทีโอน่าพยักหน้าขณะยิ้มอย่างร่าเริง
แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร วาห์นก็นำมือมาวางลงบนหัวของเธอ
“ไม่ต้องกังวลนะทีโอน่า ฉันไม่โทษเธอหรอก ฉันอยากให้เราลืมมันไปและคิดเรื่องอนาคตมากกว่า”
วาห์นสังเกตเห็นว่าเธอยังดูเศร้าอยู่นิดๆ เขาจึงอยากทำให้เธอร่าเริงขึ้น
ทีโอน่าถูหัวของเธอกับฝ่ามือนั่นและหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจขณะเข้าไปซุกตัววาห์น
วาห์นไม่ได้ถอยหนีเธอแต่อย่างใด แต่เขาเห็นว่าเริ่มมีคนมองมาจากไกลๆ แล้ว
ในบรรดากลุ่มคนที่มองมา วาห์นเห็นฟินน์กำลังถอนหายใจพร้อมกับเอามือไปก่ายหน้าผาก
ถัดจากฟินน์ไปนั้น ริเวเรียและไอส์ต่างก็มองมาด้วยสีหน้านิ่งๆ
เลฟิย่าดูเหมือนจะสงบลงไปมากขณะที่เธอมองและส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย
แม้ว่าทุกคนจะมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีคนหนึ่งที่ไม่ว่าเวลาไหนก็ทำหน้าบูดอยู่ตลอด
เบตผู้ที่อยู่ท่ามกลางสมาชิกหัวกะทิของโลกิแฟมิเลียกำลังเฝ้ามองวาห์นด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“นี่พวกนายสองคนจะเลิกทำตัวงี่เง่าแล้วมาจริงจังเรื่องงานได้หรือยัง?”
ทีโอน่าที่กำลังเพลิดเพลินกับช่วงเวลานี้เริ่มมองเบตด้วยสีหน้าดุร้าย
ไอส์เองก็ดูขุ่นเคืองเช่นกันขณะที่เธอพึมพำเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“งี่เง่า”
ผมของเบตดูเหมือนจะตั้งชันขึ้นและเขาก็มีสีหน้าที่เจื่อนลงกว่าเดิม
มันดูราวกับว่าเขาเพิ่งกลืนแมลงเข้าปากไป
แต่แทนที่จะพูดโต้เถียงอย่างเคย เขากลับจ้องมาที่วาห์นด้วยสีหน้ามืดมิด
“นี่แหละนะ ชายชาตรี ซ่อนอยู่ใต้กระโปรงผู้หญิงแบบนี้ดูเหมาะกับนายดีนะ…”
เขาพูดมันด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันแบบสุดๆ จนเกือบทำให้คิ้วของวาห์นเข้ามาผูกติดกัน
วาห์นไม่รู้ว่าเบตมีปัญหาอะไรกับเขานักหนา
พวกเขาไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนแต่เบตดูเหมือนจะพยายามหาเรื่องวาห์นเกือบตลอดเวลา
วาห์นมองตรงไปที่ใบหน้าของเบตและถามขึ้น
“นี่นายมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่า? ฉันว่าฉันไม่เคยไปทำอะไรนายเลยนะ”
แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าเบตเป็นคนปากไม่มีหูรูด แต่วาห์นก็รู้สึกไม่พอใจเวลาที่เบตปฏิบัติต่อเขามาก
เมื่อได้ยินคำถามของวาห์น เบตก็ยิ้มและพูดแบบเรียบๆ
“เป็นเพราะว่านายมันอ่อนแอแต่ดันมีคนมาคาดหวังอยู่เต็มไปหมด ถ้าไม่มีพลังแล้วนายจะทำอะไรได้บ้าง! นายจะไปปกป้องอะไรได้บ้าง!?”
เสียงของเบตแตกออกเล็กน้อยขณะที่เขาตะโกน
ในตอนนั้นวาห์นไม่รู้เลยว่าเบตแพ้สูญเสียผู้คนส่วนใหญ่ที่เขาห่วงใยเนื่องจากความเห็นแก่ตัวและความอ่อนแอของตนเอง
เกือบสามปีก่อน เบตเคยเป็นกัปตันของวีดาร์แฟมิเลีย
หลังจากที่เขาขึ้นมาถึงเลเวล 3 และเริ่มรู้สึกมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง เขาจึงเดินทางออกจากเมืองเพื่อไปแก้แค้นมอนสเตอร์ที่เคยกวาดล้างเผ่าของเขา
มันช่างน่าสลดมากมากเพราะแทนที่จะกลับมาอย่างภาคภูมิ เขากลับต้องมาพบโศกนาฏกรรมแทน
สมาชิกส่วนใหญ่ของแฟมิเลียต่างถูกสังหารหรือไม่ก็บาดเจ็บหนักในระหว่างการสำรวจดันเจี้ยน
แถมรองกัปตันที่เป็นคนรักของเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายด้วยเช่นกัน
เบตเสียใจอย่างหนัก และใช้เวลาสองสามเดือนไปกับการผลาญเงินทั้งหมดที่มีในผับและร้านเหล้า
จนกระทั่งเขาได้ไปทะเลาะวิวาทเข้ากับฟินน์และแกเร็ธ…
หลังจากเหตุการณ์นั้น เบตก็แปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ตอนนี้เขามุ่งมั่นไปกับการเพิ่มความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว
เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นคนอ่อนแอกว่าเขาโดยเฉพาะพวกผู้ชาย เขาก็จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
เบตไม่อาจทนเห็นพวกเขาใช้ชีวิตแบบโลกสวยไปวันๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าความประมาทเพียงนิดเดียวก็อาจจะทำให้ทุกอย่างรวมไปถึงคนรักต้องพบกับความพินาศ
แม้วาห์นจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขาก็เห็นออร่าอันผันผวนของเบตซึ่งตอนนี้สีน้ำเงินเข้มเริ่มกระจายออกไปจนครอบคลุมสีเขียวที่มีอยู่เดิมไปจนหมด
(TL: ผู้แปลคิดว่า สีน้ำเงินคือความเศร้า สีเขียวคือความอิจฉา)
วาห์นเข้าใจว่าถึงเบตจะพยายามซ่อนมันไว้ด้วยความโกรธ แต่เขากลับกำลังก็ทุกข์ทรมานอยู่ข้างใน
วาห์นพบว่าความซับซ้อนของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่น่าหงุดหงิดจริงๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเบตมีสิทธิ์ที่จะมาใส่อารมณ์กับเขาแทน
วาห์นจ้องเข้าไปในดวงตาสีเทาที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดของเบตและพูดออกมาเบาๆ
“สองปี…”
เบตขมวดคิ้วหลังได้ยินคำพูดของวาห์นจนต้องร้องถามเสียงดัง
“ ‘สองปี’ อะไรวะ ฮ้ะ!!”
วาห์นสบตานั่นขณะที่พูดต่อไปแบบชัดถ้อยชัดคำ
“ในอีกสองปี ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันไม่ใช่คนอ่อนแอแบบที่นายคิด ฉันจะแข็งแกร่งกว่านาย แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องทุกอย่างได้! แค่เพราะว่านายล้มเหลว มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะล้มเหลวตามนายไปนี่!”
ยิ่งวาห์นพูดนานเท่าไหร่ เขาก็ใส่อารมณ์เข้าไปมากขึ้นดังนั้นพอพูดไปถึงตอนท้ายๆ คำพูดก็กลายเป็นเสียงตะโกนแทน
เบตกัดฟันและดูราวกับอยากจะพุ่งใส่วาห์นตอนนี้เลย
เขามีความโกรธที่สุมอยู่ในดวงตามากพอจนผู้เห็นเหตุการณ์คิดว่าเขาคงอยากฉีกเด็กหนุ่มผมดำคนนี้เป็นชิ้นๆ แน่นอน
ไอส์ ทีโอน่า และทีโอเน่ต่างตื่นตัวและเตรียมพร้อมที่จะเข้ามาสกัดหากเบตคิดทำอะไรแผลงๆ
อย่างไรก็ตาม เบตกลับทำสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนด้วยการพูดขึ้นมาสั้นๆ
“อย่าลืมที่พูดไปซะล่ะ”
พอพูดปิดท้ายเสร็จ เบตก็ถ่มน้ำลายลงพื้นและเดินไปยืนถัดจากแกเร็ธ
เมื่อเห็นเขามายืนอยู่ข้างๆ แกเร็ธก็เอื้อมมือไปตบไหล่ของเบตและแสดงสีหน้าภูมิใจ
เบตมองเห็นสีหน้านั่นจึงกระเดาะลิ้นและเบือนหน้าหนีแทน
เพราะไม่มีใครคิดหวังว่าเบตจะสงบลง บรรยากาศก็เลยดูเงียบงันแบบไปต่อกันไม่ถูกจนกระทั่งแกเร็ธกระแอมเสียงดังออกไป
ฟินน์ที่เป็นหนึ่งในผู้ชมก็รีบปรบมือขึ้นดังๆ เพื่อให้ทุกคนหันมาสนใจเขาแทน
“โอเคถึงเวลาที่เราต้องไปกันแล้ว เรามีเวลาเหลือไม่มากที่จะเตรียมทุกอย่างให้เสร็จ ดังนั้นเราต้องรีบไปให้ถึงชั้น 14 ก่อน ขอให้ทุกคนหูไวตาไวเข้าไว้แล้วก็ระวังตัวให้มากๆ ด้วย”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพยักหน้าให้ฟินน์ขณะที่บางคนส่งเสียงเชียร์เบาๆ เพื่อพยายามปลุกใจตัวเอง
วาห์นเห็นว่าขวัญกำลังใจของคนส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างต่ำ เนื่องจากต่างก็ขาดความมั่นใจในการต่อสู้กับมอนสเตอร์อย่างจักเกอร์นอต
วาห์นอยากทำบางอย่างเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงปล่อยพลังเขตแดนออกไปจนมันครอบคลุมไปทั่วคณะสำรวจ
คนส่วนใหญ่จะสัมผัสถึงมันไม่ได้ แต่เขาก็เห็นสีหน้าสงสัยมองออกมาจากฝูงชนอยู่บ้าง
คนที่รู้สึกสนใจมากที่สุดคือริเวเรีย ซึ่งตอนนี้เธออยากรู้มากเลยว่า ‘ครั้งนี้’ เขาจะทำอะไรอีก
วาห์นยื่นมือออกมาและพยายามผสาน [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เขาไปในเขตแดน
เพราะเขาเคยผสานสกิลต่างๆ เข้าไปหลายครั้งแล้ว วาห์นหวังว่าครั้งนี้ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แสงสีขาวอ่อนโยนที่เกือบจะมองไม่เห็นจากฝ่ามือของเขาเริ่มแผ่ออกไปทางฝูงชนอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกเหมือนมีพลังงานอุ่นๆ พุ่งเข้าสู่ร่างของตนและทำให้ความวิตกกังวลทั้งหมดค่อยๆ จางหายไป
เมื่อมองไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังยื่นมือออกมาก็เข้าใจทันทีว่าเขากำลังพยายามทำให้ทุกคนรู้สึกดีขึ้น
บางคนจำหน้าวาห์นได้จาก ‘เหตุการณ์’ ก่อนหน้านี้ ขณะที่คนอื่นๆ รู้จักเขาจากภาพที่สมาชิกของเฮเฟสตัสแฟมิเลียเอามาให้ดู
วาห์นสังเกตเห็นว่าตนทำสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงเริ่มพยายามผสานพลังงานเข้าไปให้มากกว่าเดิม
แสงสีขาวเริ่มกระจายออกมาจากฝ่ามือของเขาขณะที่มันส่งผลให้เห็นอย่างชัดเจน
นักผจญภัยบางคนเริ่มหัวเราะขณะที่คนอื่นๆ เริ่มมองไปทางพรรคพวกและเห็นแววตามุ่งมั่นที่มองกลับมา
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากตาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องมาทำตัวราวกับจะไว้ทุกข์ให้ตัวเอง
การได้เห็นเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ พยายามอย่างหนักนั้นกลับกลายเป็นแรงบันดาลใจทันทรงพลังให้กับนักผจญภัยเจนศึกหลายคน
ฟินน์ยิ้มอย่างชื่นชมไปทางวาห์นในขณะที่เขาตะโกนออกมาดังๆ
“หายเครียดกันแล้วก็ไปฆ่าจักเกอร์นอตสักตัวสองตัวเถอะ! ถ้าเราร่วมมือกัน จะมาสักกี่ตัวก็ไม่เห็นต้องกลัวเลย~!”
คราวนี้แทนที่จะรับทราบคำสั่งของเขาแบบเบาๆ ทุกคนต่างโห่ร้องเสียงดังขึ้นมาแทน
“โอ้ววววววว~! ฆ่าจักเกอร์นอต!”
พวกเขาเริ่มเดินไปทางบันไดด้วยขวัญกำลังใจที่ดีกว่าเดิมมาก
ทีโอน่าที่ยืนอยู่ข้างวาห์นเริ่มกอดเขาจากด้านหลังและหัวเราะเบาๆ
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่านายจะเป็นวีรบุรุษจริงๆ สินะ แค่โบกมือนิดเดียวสภาพของทุกคนก็ดีขึ้นมากเลย!”
พอทีโอน่ามาเกาะหลัง วาห์นก็รู้สึกถึงความนุ่มนิ่มที่มากดทับตัวของเขาอยู่
อารมณ์ของเขาเริ่มว้าวุ่นขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับที่มีการแจ้งเตือนดังขึ้นในหัว
//[หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพิ่มขึ้นเป็นระดับ: B//
ทันใดนั้นแสงจากมือของเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีก
สิ่งที่แสง ‘ฟื้นฟู’ นี้นำพามาด้วยก็คือความรู้สึกตื่นเต้นที่ผุดขึ้นมาในใจของทุกคน
พวกเขาเริ่มส่งเสียงเชียร์ที่ดังกว่าเดิมและวาห์นก็รู้สึกว่าบรรยากาศทั้งหมดเริ่มเป็นไปตามทิศทางเดียวกันแล้ว
ทีโอน่าที่ยังเกาะหลังวาห์นอยู่เริ่มหัวเราะเสียงดังก่อนจะหอมแก้มเขา
เธอปล่อยมือจากคอของเด็กหนุ่มและค่อยๆ ยกอาวุธขนาดใหญ่ขึ้นมาพาดไหล่
“ไปเถอะๆ~! สู่ชัยชนะ~!!”
ทีโอน่าร่าเริงแบบสุดๆ ขณะเริ่มกวัดแกร่งมือซ้ายไปมาราวกับจะรำอาวุธและเดินตามนักผจญภัยกลุ่มใหญ่ไปติดๆ
วาห์นรู้สึกงงๆ กับท่าทางของเธอและกลับมามีสติอีกครั้งเมื่อปาร์ตี้หลักของโลกิแฟมิเลียเดินผ่านมาพอดี
ไอส์เข้ามาหาเขาและจ้องมองแสงที่เปล่งออกมาจากมือ
เธอยื่นมือและพยายามสัมผัสแสงนั่นก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
“รู้สึกดี เป็นแสงที่ใช้กับเลฟิย่าใช่ไหม?”
พอได้ยินไอส์เอ่ยชื่อของตัวเอง เลฟิย่าที่อยู่ข้างหลังก็เริ่มหน้าแดงและนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต
เธอเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่า ‘แสง’ นั่นมีคุณสมบัติ ‘ฟื้นฟู’ แต่พอได้ยินไอส์พูดมันออกมาแบบตรงๆ ก็ทำให้เธอรู้สึกเขินแบบไม่รู้สาเหตุ
วาห์นพยักหน้าตอบไอส์ซึ่งทำให้เธอคว้ามือของเขาและวางมันไว้บนหัวของเธอ
เธอหลับตาและเผยอปากออกเล็กน้อยขณะเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกที่มาจากฝ่ามือนั่น
“อืม สบายดีจัง”
วาห์นตกใจกับการกระทำของเธอจนและพลังงานของเขาปั่นป่วนไปบ้างและเกือบจะสลายหายไป
พอสัมผัสความอึดอัดของเขาได้ ไอส์ก็รู้สึกเขินๆ ก่อนจะหยิบมือของเขาออก
เธอเริ่มเดินตามคนอื่นๆ ไปก่อนจะมองกลับมาหาวาห์น
“มาเถอะ…”
เธอยื่นมือออกมา ทว่าวาห์นกลับเดินไปคว้ามันเอาไว้แทน
จริงๆ แล้วไอส์ตั้งใจจะทำมือเพื่อบอกให้เขารีบตามไป แต่พอเห็นวาห์นเข้ามาจับมือเธอไว้พร้อมสัมผัสได้ถึงพลังงานอันอบอุ่นก็เลยปิดปากเงียบไม่พูดอะไร
ไอส์มาเดินข้างๆ วาห์นขณะที่พวกเขาตามหลังทุกคนอยู่เล็กน้อย
เลฟิย่าที่เดินตามหลังมานั้นมีสีหน้าตึงๆ และดูราวกับกำลังรู้สึกขัดแย้งอยู่ภายในใจ
วาห์นและไอส์ต่างสังเกตเห็นท่าทางของเอลฟ์ตัวน้อยจนกระทั่งไอส์ก็ยื่นมืออีกข้างออกมา
“เลฟิย่า มาสิ…”
เลฟิย่าที่กำลังอยู่ในโลกของตัวเองนั้นตื่นขั้นมาทันทีเมื่อได้ยินไอส์เรียกชื่อ
พอเห็นมือที่ยื่นออกมา ใบหน้าของเธอก็สว่างราวกับไฟนีออนที่มีสีแดงๆ แต้มอยู่เล็กน้อย
เธอรีบเดินเข้ามาจับมือที่ยื่นให้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เธอยิ้มอย่างมีความสุขขณะเดินเคียงข้างไปกับไอส์… แล้วก็วาห์น