Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 106
วาห์นรู้สึกว่าร่างกายของตนหนักอึ้งขณะที่ความเจ็บปวดรุนแรงแพร่กระจายออกไปทั่วศีรษะ
เขารู้สึกเหมือนกะโหลกกำลังแหวกออกและสมองถูกเปลี่ยนให้เป็นเนื้อบด
เขาคิดอะไรไม่ออกและทำได้แต่เพียงปล่อยให้ความเจ็บปวดเข้าครอบคลุมทั่วร่างจนเกือบจะถึงจุดที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าความเจ็บปวดนั้นเริ่มขึ้นเมื่อไหร่และมันจะจบลงตอนไหน
เขารู้สึกถึงความทรมานแบบไม่รู้จบราวกับว่าร่างกายของตัวเองกำลังถูกยืดขยายออกไปให้รองรับความเจ็บปวดได้มากขึ้น
ทันใดนั้นเอง ภายในส่วนลึกของร่างกายเขา ความรู้สึกสงบเยือกเย็นก็เริ่มก่อตัวขึ้นจากจุดที่เล็กที่สุดตรงศูนย์กลางของความเจ็บปวด
ความสงบเยือกเย็นค่อยๆ ขยายวงกว้างขึ้นราวกับมันกำลังพยายามลบล้างความเจ็บปวดทั้งหมดออกไป
แต่มันก็ไม่สามารถไล่ตามความเจ็บปวดที่ขยายตัวเร็วกว่ามันได้ทัน
วาห์นรู้สึกเหมือนดวงวิญญาณของตนเริ่มจะฉีกขาดเพราะการปะทะกันของพลังสองอย่างนี้
โดยที่อย่างหนึ่งเต็มไปด้วยพลังงานและชีวิต ขณะที่อีกอย่างดูเหมือนจะพยายามทำลายและลบล้างทุกอย่างออกไปให้หมด
วาห์นพยายามเพ่งจิตไปที่ความรู้สึก ‘สงบเยือกเย็น’ และพยายามดึงจิตใจของเขาให้ออกมาจากความเจ็บปวดที่กำลังทรมานร่างกายอย่างไม่รู้จบ
เขารู้สึกว่าสติของตัวเองกำลังมุ่งเข้าไปที่ศูนย์กลางของความรู้สึก แต่ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนที่เร็วแค่ไหนก็ไม่สามารถเข้าใกล้จุดหมายได้เลย
ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจในขณะที่วาห์นรู้สึกว่าตนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้และใกล้จะเสียสติเข้าไปทุกที
ทันใดนั้น วาห์นก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มและอบอุ่นที่ดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วราวกับกับจะมาช่วยเสริมพลังให้ความสงบเยือกเย็น
ความเจ็บปวดอย่างไร้ที่สิ้นสุดนั้นจู่ๆ ก็เริ่มหดเล็กลงไป ในขณะที่ความอบอุ่นแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและคอยขจัดมันออกไปจากจิตใจ
ตอนนี้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นไม่ได้ถูกไล่ต้อนอีกแล้ว ตอนนี้มันแพร่กระจายออกไปด้วยความเร็วเกินกว่าที่เขาจะรับรู้ได้
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ความสงบเยือกเย็นก็เข้าปกคลุมทั่วร่างของวาห์นและทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น
พอความเจ็บปวดหายไปหมด วาห์นก็เริ่มเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกอบอุ่นที่แพร่กระจายออกมาจากภายนอกจิตใจ
มันให้ความรู้สึกที่อ่อนโยน ใจดี และเต็มไปด้วยหลายๆ สิ่งที่วาห์นไม่อาจอธิบายออกมาได้
ทั้งหมดที่เขารู้ก็คือ มันให้ความรู้สึกที่ปลอดภัยและมั่นคงเป็นอย่างมากซึ่งคล้ายกับบางอย่างที่เขาเคยสูญเสียไปเมื่อนานมาแล้ว
ไม่นานความรู้สึกสงบเยือกเย็นก็เริ่มลดลงและยอมให้ความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความว่างเปล่าทั้งหมด
—
วาห์นเปิดตาขึ้นและรู้สึกแสบตาจากแสงสลัวรอบๆ บริเวณ
ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่มองเห็นก็คือร่างหญิงสาวที่กำลังหลับใหลอยู่ด้านข้างเตียงของเขา
ความคิดของวาห์นหยุดไปชั่วขณะเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมคนๆ นั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้
สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือเขากำลังจ้องมองเข้าไปในดวงตาของจักเกอร์นอตก่อนที่จิตใจจะถูกส่งเข้าไปอยู่ในความสิ้นหวังอย่างไม่รู้จบภายในมิติสีดำนั่น
พอรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของเขา ร่างนั่นก็ตื่นขึ้นและเริ่มจ้องเข้าไปในดวงตาของวาห์นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ทั้งสองจ้องกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หญิงสาวซึ่งก็คือ ‘เฮเฟสตัส’ จะยื่นแขนมาหาวาห์นและเริ่มโอบกอดเขาอย่างแนบแน่นและเต็มไปด้วยความรู้สึก
“ฮืออออ วาห์น คนงี่เง่า! อย่าทำให้ฉันกลัวแบบนี้สิ!”
เฮเฟสตัสร้องไห้ออกมาด้วยท่าทางโศกเศร้าและใช้น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดซึ่งทำให้บางอย่างในหัวใจของวาห์นแทบจะฉีกขาด
น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาของวาห์นขณะที่เขาสวมกอดเฮเฟสตัสที่ยังคงร้องต่อไป
ความรู้สึกอบอุ่นที่ออกมาจากร่างของเธอนั้น ทำให้วาห์นรู้ว่าสิ่งที่นำเขาออกมาจากความมืดอันแสนเจ็บปวดก็คืออ้อมกอดของเธอนั่นเอง
เขาไม่รู้ว่าตัวเองหมดสติไปนานแค่ไหน แต่พอรู้ได้ว่าน่าจะมันผ่านไปนานพอสมควร
หากปราศจากความอบอุ่นอันอ่อนโยนของเธอ วาห์นก็ไม่มั่นใจว่าจะได้กลับออกมาจากนรกแห่งนั้นหรือเปล่า
สำหรับตอนนี้ วาห์นยอมให้เฮเฟสตัสกอดขณะที่เขาลูบหลังเพื่อทำให้เธอสบายใจและเป็นการตอบแทนสิ่งที่เธอทำให้กับเขาโดยที่เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เขาได้ยินเสียงด่าทอและคำสาปแช่งมากมายที่เธอกำลังพึมพำอยู่ แต่วาห์นก็ปล่อยให้เธอระบายมันออกมามากเท่าที่เธอต้องการ
ในที่สุดเธอก็เริ่มสงบลง วาห์นจึงเริ่มพูดก่อน
“ขอบคุณนะเฮเฟสตัส… ที่ช่วยฉันไว้ ถ้าไม่มีเธอฉันคิดว่าคงจะกลับมาด้วยตัวเองไม่ได้แน่ๆ เลย”
พอได้ยินคำพูดของวาห์น เฮเฟสตัสก็เพิ่มแรงกอดมากขึ้นก่อนจะกดหัวของวาห์นเข้ามาในอ้อมอกของเธอ
“คนโง่…”
เฮเฟสตัสอยากจะสาปแช่งเขาอีกรอบ แต่เมื่อเห็นสีหน้าขอบคุณและโล่งใจนั่น เธอก็สรรหาคำพูดมาต่อว่าเขาเพิ่มไม่ได้
เฮเฟสตัสจึงได้แต่พูดเบาๆ ออกมาแทน
“นายทำให้ฉันเป็นห่วงมากเลยนะ… วาห์น ฉันดีใจที่นายกลับมาได้”
ทั้งสองเพลิดเพลินไปกับอ้อมกอดของกันและกันจนกระทั่งมีหมอเดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนจำนวนมากที่ตามมาด้วย
“โห? ให้ตายสิ ในที่สุดก็ฟื้นสักที เธอนี่หลับเป็นตายไปนานเลยนะ”
วาห์นหันไปทางที่มาของเสียงและจำได้ว่านั่นคือร่างของคุณย่ามารินที่เขาคุ้นเคย
เธอเป็นหมอคนเดียวกับที่รักษาบาดแผลให้เขาตอนหมดสติอยู่ด้านนอกดันเจี้ยนเมื่อครั้งก่อน
ข้างหลังคุณย่าคือกลุ่มคนห้าคนที่กำลังมองวาห์นด้วยสีหน้ายินดีหลังจากที่เห็นว่าเขาฟื้นแล้ว
ก่อนที่วาห์นจะได้ทักทายพวกเธอ ลิลลี่และนาซ่าต่างก็วิ่งเข้ามาหา ขณะที่ไอส์ ทีโอน่า และยังมีเลฟิย่าต่างเดินเข้ามาหาแบบปกติ
เด็กสาวทั้งสองน้ำตาคลอเบ้าขณะเข้ามาใกล้วาห์น โดยเฉพาะลิลลี่ที่กระโดดเข้าไปในอ้อมอกของเขาและเริ่มงอแง
เฮเฟสตัสได้ใช้เวลากับวาห์นไปบ้างแล้ว เธอจึงหลีกทางให้เหล่าสาวๆ ก่อนจะเดินออกไปคุยกับคุณย่ามาริน
ลิลลี่นั้นไม่ยอมสงบลงง่ายๆ ขณะที่ยังคงงอแงต่อไปเรื่อยๆ
แม้เขาจะพยายามปลอบเธอแล้ว แต่เธอก็เอาแต่ซุกหน้าไปกับชุดคนไข้ของเขา
นาซ่านั่งลงตรงตำแหน่งที่เฮเฟสตัสเคยอยู่พร้อมกับจ้องมาที่วาห์นด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา
เธอไม่ได้ร้องไห้เสียงดังแบบลิลลี่ แต่เสียงสะอื้นแบบเงียบๆ ของเธอก็ทำให้วาห์นรู้สึกแย่ยิ่งกว่าแบบที่ลิลลี่ทำอยู่เสียอีก
วาห์นสบตากับทีโอน่า ไอส์ และเลฟิย่า และพบว่าพวกเธอทำตัวสงบเสงี่ยมมากกว่าที่เขาคาดไว้
พอสังเกตเห็นท่าทางสับสนของเขา ทีโอน่าก็เปิดปากและกล่าวอธิบาย
“ตอนที่พวกเราพานายออกมาจากดันเจี้ยน สองคนนี้ก็ลุกลี้ลุกลนไปหมดหลังเห็นร่างหมดสติของนาย ตลอด 9 วันที่นายยังไม่ฟื้น พวกเธอก็แทบไม่ได้ออกห่างจากตัวนายเลย”
เมื่อได้ยินว่าเขาหมดสติไปถึง 9 วัน วาห์นก็รู้สึกตกใจมาก
ความพยายามครั้งสุดท้ายของจักเกอร์นอตนั้นสร้างความเสียหายมากกว่าที่เขาคาดเอาไว้ และเป็นไปได้สูงที่เขาจะอยู่ในสภาพปางตายมาตั้งแต่ตอนนั้น
พอได้เห็นเด็กสาวทั้งสองที่เขากล่าวอำลาอย่างมั่นใจในอดีต วาห์นก็รู้สึกปวดใจมาก
เขาวางมือของตนลงบนหัวทั้งสองและกระซิบเบาๆ
“ขอโทษนะ… ลิลลี่… นาซ่า ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พวกเธอเป็นกังวลเลย”
“นายรู้ใช่ไหมว่าคนที่เป็นห่วงไม่ได้มีแค่สองคนนี้หรอกนะ~? ทั้งไอส์กับเลฟิย่าก็จิตตกตลอดนับตั้งแต่ที่นายไม่ยอมฟื้นขึ้นมา”
วาห์นมองไปทางไอส์กับเลฟิย่าและเห็นสายตาเศร้าสร้อยของไอส์ได้อย่างชัดเจน
ไอส์มองไปที่วาห์นตรงๆ และพูดขึ้น
“ดีใจที่นายฟื้นแล้ว ฉันเป็นห่วงมาก”
ไอส์ไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่ทีโอน่าพูดออกมาแม้แต่น้อย แต่เลฟิย่าดูเหมือนจะลังเลนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้นมาบ้าง
“ฉันเองก็ดีใจที่นายฟื้น…”
วาห์นดีใจที่ได้รับความห่วงใยจากเด็กสาวทั้งสอง แต่เขาก็สับสนเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะถามขณะมองไปทางทีโอน่า
“แล้วเธอไม่รู้สึกเป็นห่วงแบบคนอื่นเหรอ?”
ทีโอน่ายิ้มออกมาจนเห็นฟันขาวพร้อมกับดวงตาเต็มไปด้วยความเร่าร้อน
“ไม่เลย~! ตลอดเวลาที่นายยังไม่ฟื้น ฉันก็คอยบอกทุกคนแล้วว่าเดี๋ยวนายก็ตื่น! ไม่มีทางที่วีรบุรุษจะแพ้เพราะเรื่องแค่นี้หรอก ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า-แค่ก!”
ในตอนท้ายที่เธอหัวเราะ ทีโอน่าสำลักเล็กน้อยและวาห์นก็รับรู้ได้ว่าถึงเธอเชื่อแบบสนิทใจว่าเขาจะฟื้น แต่เธอก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่เช่นกัน
วาห์นเริ่มหัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากเห็นทีโอน่าปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม และดูเหมือนทั่วทั้งห้องจะเงียบไปเนื่องจากเขาไม่สามารถข่มอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาได้
เมื่อเห็นว่ามีหลายคนที่เป็นกังวลเรื่องของเขา วาห์นก็รู้สึกดีใจและมีความสุขแบบล้นเหลือ
การกระทำของทีโอน่าเป็นเหมือนตัวจุดระเบิดอารมณ์และแม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดที่ทำให้พวกเธอเป็นห่วง แต่ก็ไม่สามารถอดกลั้นความดีใจนี้ได้เลย
ทุกคนภายในห้องต่างจ้องมองเด็กหนุ่มที่กำลังหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน
ตอนนี้เขาเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังยิ้มกว้างให้กับทุกคนขณะที่ยังคงร้องไห้ไปพร้อมๆ กันด้วย
ทุกคนที่อยู่ในห้องสัมผัสได้ถึงความโล่งอกและความสุขจากน้ำเสียงของเขา และตอนนี้พวกเธอเองก็มีความสุขเช่นกัน
บัดนี้ความรู้สึกเศร้าเสียใจได้ถูกขับไล่ออกไปจากที่นี่หมดแล้ว
—
หลังจากที่ทุกอย่างสงบลง วาห์นก็ได้มาไล่กอดเด็กสาวทุกคนก่อนที่คุณย่ามารินจะไล่ตะเพิดพวกเธอทั้งหมดออกจากห้องผู้ป่วย
แม้แต่เลฟิย่าเองก็มากอดวาห์นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ
เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว คนที่ยังอยู่ภายในห้องก็มีแค่คุณย่ามาริน เฮเฟสตัส และวาห์น
เฮเฟสตัสนั่งอยู่ด้านข้างเตียงและกุมมือของวาห์นเอาไว้ขณะที่คุณย่ามารินเริ่มพูดขึ้น
“เจ้าหนู บอกตามตรงนะว่าฉันไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ หลังจากที่โลกิแฟมิเลียพาเธอเข้ามา ฉันก็ตรวจสอบสภาพร่างกายทุกส่วนของเธอและสรุปออกมาได้ว่าเธอน่าจะเสียชีวิตไปแล้วด้วยซ้ำ สมองของเธอได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจนของเหลวภายในสมองเพิ่มสูงขึ้นและแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้เธอตาย แต่เธอก็น่าจะอยู่ในสภาวะโคม่าไปตลอดชีวิต”
คุณย่ามารินมองไปที่วาห์นราวกับว่าเขาเป็นศพเดินได้
“สำหรับตอนนี้ เธอจะต้องหยุดพักการออกผจญภัยไปสักระยะหนึ่ง ฉันขอแนะนำให้เธอใช้เวลาพักฟื้นไปสักระยะก่อนเพื่อดูว่ายังมีผลข้างเคียงตามมาทีหลังอีกหรือไม่ หากไม่เกิดอะไรขึ้นภายใน 3 เดือนต่อจากนี้ เธอก็น่าจะกลับเข้าไปในดันเจี้ยนได้ และอย่าคิดพยายามแอบเข้าไปล่ะ เพราะฉันได้แจ้งพนักงานกิลด์ทุกคนไว้แล้ว และหากถูกจับได้ก็เตรียมรอรับบทลงโทษได้เลย”
คุณย่ามารินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และวาห์นก็รู้สึกว่างานนี้คงจะพูดต่อรองอะไรไม่ได้เลย
จากด้านข้างของเขา เฮเฟสตัสตัดสินใจพูดขึ้นราวกับจะสนับสนุนคำพูดของคุณย่ามาริน
“ไม่ต้องห่วง จนกว่าฉันจะยืนยันด้วยตาตัวเองได้ว่าเขาแข็งแรงและหายดีแล้ว ฉันจะไม่ยอมให้เขาเข้าไปในดันเจี้ยนเด็ดขาด แม้ว่าจะต้องขังเขาเอาไว้ในห้องทำงานตลอดระยะสามเดือนก็ตาม”
เฮเฟสตัสเองก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่ต่างจากคุณย่ามารินเท่าไหร่
คำพูดของเธอทำให้วาห์นรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสายตาห่วงใยของเธอ เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ
วาห์นมองเห็นจากในระบบว่าเขามีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์พร้อม
แต่เขาก็รู้สึกเป็นหนี้ทุกคนที่เขาทำให้เป็นห่วงจึงตัดสินใจพักต่ออีกระยะหนึ่ง
เขาสามารถใช้เวลานี้เพื่อพัฒนาสกิลช่างตีเหล็กและเรียนรู้เรื่องยากับนาซ่าแทนได้
แถมวาห์นเองก็ยังไม่เคยได้ไปสำรวจรอบเมืองเลยด้วย
นี่ถือได้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะทำแบบนั้นในระหว่างที่เขาเข้าไปในดันเจี้ยนไม่ได้
เขาหยักหน้าขณะมองไปทางผู้หญิงที่ ‘ดุร้าย’ ทั้งสองและพูดขึ้น
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะใช้เวลาสามเดือนต่อจากนี้เพื่อพักฟื้น แถมตอนนี้ยังไม่มีแผนที่จะต้องรีบกลับเข้าไปในดันเจี้ยนด้วย”
คุณย่ามารินพยักหน้าให้ ขณะที่เฮเฟสตัสถอนหายใจอย่างโล่งอก
เธอรู้ว่าหากวาห์นต้องการ เขาก็คงจะหาทางเข้าไปในดันเจี้ยนได้อยู่ดี
เมื่อเห็นเขาให้ความร่วมมือ ความรู้สึกเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งสองสัปดาห์ก็เริ่มลดลง
เฮเฟสตัสถามคุณย่ามารินต่อ
“เขาจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่เหรอ?”
คุณหมอส่ายหัวและรีบพูดออกมา
“พาเขากลับไปเถอะ ตามการวิเคราะห์ของฉัน เขาน่าจะต้องนอนบนเตียงไปตลอดชีวิต
ซึ่งก็หมายความว่าเขาจะต้องมีบางอย่างที่พิเศษและดึงเขากลับมาสู่โลกคนเป็นได้
ฉันจะไม่ไปยุ่งกับความลับในแฟมิเลียของท่านหรอกนะ แค่จ่ายค่ารักษาให้ครบก็พอแล้ว”
คุณย่ามารินสู้สึกปวดหัวกับคนไข้แบบวาห์นมาก
ดูเหมือนทุกครั้งที่เธอเจอเขา มันมักจะทำให้อายุของเธอเพิ่มขึ้นมาอีกหลายปี
เมื่อได้ยิน ‘คำอนุญาต’ ของคุณย่ามาริน เฮเฟสตัสก็เผยรอยยิ้มกว้าง
เธอมองไปทางวาห์นและกล่าวคำพูดที่ฟังดูกินใจมากที่สุดในรอบหลายล้านปีที่ผ่านมา
“กลับบ้านกันเถอะ วาห์น”
วาห์นสังเกตเห็นว่าเฮเฟสตัสกำลังมีความสุขมาก และยังรู้สึกอีกว่าอารมณ์ของเธอได้ซึมซับเข้ามาในตัวเขาจากมือที่กำลังสัมผัสกันอยู่
เขาพยักหน้าก่อนยิ้มตอบ
“กลับบ้านกันเถอะ”