Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 120
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ทุกคนก็ใส่เสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนชุดและวาห์นก็อดไม่ได้ที่จะจ้องไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
—
(ย้อนกลับไปเมื่อกี้นี้)
รู้สึกว่าเขาประเมินค่าความมุ่งมั่นของตัวเองสูงเกินไปหน่อย
เพราะแม้จะตัดสินใจที่จะทำตัวให้เยือกเย็นและสงบนิ่ง สุดท้ายเขาก็เผลอสอดส่องสายตาออกไปเมื่อเข้ามาในห้องอาบน้ำ
เนื่องจากเหล่า ‘สุนัขล่าเนื้อ’ ต่างมีอายุเท่าๆ กับเขา วาห์นจึงอดไม่ได้ที่จะสำรวจเหล่าร่างตรงหน้าด้วยความอยากรู้
เด็กสาวแต่ละคนนั้นมีรูปร่างคล้ายกับอนูบิส แต่ก็มีขนาดตัวที่เล็กกว่าและดูผอมมากจนเรียกได้ว่าไม่มีไขมันส่วนเกินอยู่เลย
พวกเธอดูคล้ายกับทีโอน่าเว้นแต่ตรงส่วนหน้าอกนั้นจะดูใหญ่กว่าไปบ้าง
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาที่สุดก็คือหางสีดำที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำและกวัดแกว่งไปมาขณะที่ทุกคนต่างช่วยกันทำความสะอาดให้กันและกัน
พวกเขาดูเหมือนจะสังเกตเห็นสายตาของวาห์นแต่ก็ไม่ได้พยายามปกปิดอะไรซึ่งทำให้เขารู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม
วาห์นพบว่าตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในนี้ พวกเด็กๆ ต่างก็จ้องมองไปที่อาวุธกรำศึกของเขาด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะรีบเบือนหน้าหนี
เนื่องจากเขาไม่เคยเปรียบเทียบของตัวเองกับคนอื่นมาก่อน ตอนนี้วาห์นจึงได้โอกาสเหมาะและจ้องมองไปที่ ราซุย นัวร์ อาคิล และอาตาร์ ทันที
วาห์นพบว่าตั้งแต่ที่เข้ามาในนี้ พวกหนุ่มๆ ต่างก็พยายามรักษาระยะห่างกับเขาอยู่ตลอดเวลา
เขาพบว่าสายตาของพวกนั้นต่างมองไปตรงนู้นทีตรงนี้ทีแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นขณะมองเปรียบเทียบของกันและกัน
วาห์นเองก็ทำไม่ต่างกันนักและพบว่าของเขานั้นไม่ใช่แค่ใหญ่กว่าคนอื่นๆ ที่มีอายุเท่ากันไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้ว่าของพวกเด็กๆ จะมีขนาดที่แตกต่างกัน (ยกเว้นของคู่แฝด) แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่ายังไม่ต่างกันมากนัก
วาห์นสำรวจตัวเองและพยายามประเมินว่าของเขาน่าจะยาวเกือบ 18 ซม. ซึ่งดูประหลาดหากเทียบกับขนาดตัวที่เล็กและส่วนสูง 156 ซม. ของเขา
แม้จะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เขาก็เริ่มตระหนักแล้วว่าของตัวเองนั้นแปลกจริงๆ
แต่พอนึกย้อนไปถึงปฏิกิริยาของพวกสาวๆ ที่เคยเห็นมัน วาห์นก็เริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงมันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่
เขาทนสงสัยต่อไปไม่ไหวจึงถามอนูบิสด้วยเสียงเบาๆ
“…ถ้าของผู้ชายใหญ่เกินไปนี่มันเป็นเรื่องไม่ดีเหรอ?”
อนูบิสที่กำลังเพ่งสมาธิไปกับแผ่นหลังของวาห์นเกิดการหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินคำถาม
ทุกคนในห้องอาบน้ำต่างมองมาที่เขาด้วยสีหน้าแปลกๆ และวาห์นก็รู้สึกเหมือนได้ถามอะไรบางอย่างที่ไม่ควรถามออกไปเลย
พอผ่านไปครู่หนึ่ง อนูบิสก็มองไปที่เด็กๆ จนพวกเขาหันกลับไปอาบน้ำกันต่อ
ขณะที่ทุกคน ‘ไม่ได้ตั้งใจฟัง’ อนูบิสก็พูดกับวาห์นด้วยเสียงแผ่วเบา
“มันอาจจะสร้างปัญหาในบางกรณี แต่ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรหรอกนะคะ
มีผู้หญิงมากมายที่ชื่นชอบขนาดใหญ่กว่าปกติ ตราบใดที่ท่านมีฝีมือมากพอและดูแลจัดการพวกเธอได้เป็นอย่างดี…”
แม้จะรู้ว่าเธอแค่อธิบายให้ฟังเฉยๆ แต่วาห์นก็รู้สึกหนักอึ้งไปกับคำพูดเหล่านั้นและเริ่มคิดถึงเนื้อหาจากคำอธิบายของเธอ
พอเขาเริ่มคิดถึงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้นซึ่งสร้างความเงียบงันให้กับทุกคนในห้อง
และแล้วสิ่งที่เคยหลับใหลมาโดยตลอดก็เริ่มตื่นและผงกหัวขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับว่าจะแทงทะลุขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์
วาห์นรู้สึกประหลาดใจมากกับปฏิกิริยาจากร่างกายของตัวเอง แต่ความรู้สึกประหลาดใจนั่นก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว
สายตาของทุกคนภายในห้องดูเหมือนจะถูกดึงดูดไปที่ตรงนั้นหมดเลย
ราวกับว่าพวกเขาไม่อาจมองอย่างอื่นได้นอกจากอสูรร้ายที่กำลังพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ตนนี้
วาห์นได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังมาจากด้านหลังขณะที่เขากำลังสำรวจร่างกายของตัวเองอยู่
เมื่อหันไป เขาก็เห็นสายตาเพ่งเล็งไปทางด้านล่างของอนูบิส
มีความกลัวเล็กน้อยอยู่ในดวงตาคู่งามขณะที่เธอพูดขึ้น
“นั่น… อาจจะเป็นปัญหาสักหน่อยนะคะ”
พอคำพูดนั่นเข้าไปถึงประสาทการได้ยินของวาห์น เขาก็รู้สึกถึงความกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในจิตใจและมีผลทำให้ ‘มังกรผงาด’ เริ่มกลับไปจำศีลอีกครั้ง
เมื่อมองไปรอบๆ วาห์นก็เห็นพวกหนุ่มๆ มองมาที่เขาราวกับเห็นสัตว์ประหลาด
ในขณะที่พวกสาวๆ ต่างก็ขยับไปอีกด้านหนึ่งของห้องอาบน้ำเหมือนกับกำลังพยายามหนีเอาตัวรอด
พวกเธอต่างมีสีหน้าซีดเซียว และแม้แต่มาอัตที่เป็นพี่ใหญ่ของทั้งสามและมักจะมีสีหน้ามั่นอกมั่นใจอยู่ตลอดก็มีท่าทางเหมือนได้เจอกับศัตรูที่ไม่มีวันเอาชนะได้
วาห์นเริ่มกังวลกับเรื่องในอนาคตแล้วก็นึกถึงคำพูดหนึ่งที่ทีโอน่าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้
“ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก…”
เขาสงสัยจริงๆ ว่าเธอจะพูดคำนั้นได้อีกไหมหากเจอสถานการณ์เมื่อกี้นี้เข้าไป…
—
หลังจากสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เขาก็ส่งเด็กๆ เข้านอนก่อนจะเดินไปที่ห้องพักของตัวเอง
อนูบิสเดินตามหลังมาติดๆ และบรรยากาศในระหว่างการเดินทางสั้นๆ มันช่างอึดอัดซะเหลือเกิน
วาห์นยืนอยู่หน้าประตูห้องตัวเองและหันไปพูดกับอนูบิส
“ราตรีสวัสดิ์นะ อนูบิส”
เขาหมุนลูกบิดและเดินเข้าไปด้านในแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงอนูบิสดังไล่หลังมา
แม้ว่าเธอยังลังเลที่จะพูดในตอนแรก แต่อนูบิสก็ไม่อาจปล่อยให้วาห์นเดินจากไปด้วยท่าทาง ‘ไร้ชีวิตชีวา’ แบบนั้นได้
ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องในห้องอาบน้ำ เขาสูญเสียท่าทีของ ‘จ่าฝูง’ ไป และดูเหมือนว่าความมั่นใจของเขานั้นได้ลดต่ำลงจนแทบจะติดดิน
เพื่อช่วยเหลือเขา เธอถึงกับยอมกล้ำกลืนความกลัวลงไปและร้องเรียกวาห์นขณะพยายามเข้าไปในห้องด้วยกัน
“นายท่าน… หากท่านขาดความมั่นใจ ฉันก็ยินดีที่จะ ‘ช่วย’ นะคะ”
วาห์นมองเทพธิดาจากต่างแดนผู้งดงาม และมองเห็นออร่าที่กำลังผันผวนแม้เธอจะพยายามทำสีหน้าสงบเยือกเย็นก็ตาม
เขารู้ว่าเธอแค่เป็นห่วงและอยากจะช่วยเขา แต่วาห์นไม่ต้องการให้มีคนมา ‘เสียสละ’ เพื่อบรรเทาความกังวลของตัวเอง
เขาเข้าใจเจตนาของเธอเป็นอย่างดีและมันก็ฟื้นแรงกระตุ้นบางส่วนให้กลับมาอีกครั้งแม้ว่าเธอจะยังไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม
วาห์นยิ้มอย่างจริงใจบนใบหน้าและยื่นมือออกมาก่อนจะลูบหัวของอนูบิสอย่างอ่อนโยนพร้อมตอบเธอกลับ
“ขอบคุณนะอนูบิส แต่แค่เธอรู้สึกเป็นห่วงฉันก็พอแล้ว
ฉันรู้สึกภูมิใจที่มีบริวารซื่อสัตย์ แต่จะไม่ขอให้เธอมาแบกรับภาระทางจิตใจของฉันด้วยร่างกายของเธอเองหรอก”
พอวาห์นยื่นมือออกมาใกล้ จริงๆ แล้วอนูบิสก็กล้าๆ กลัวๆ จนต้องกัดฟันเล็กน้อยก่อนที่วาห์นจะเริ่มพูดขึ้น
เมื่อเห็นรอยยิ้มและความกังวลในดวงตาของเขา อนูบิสก็รู้สึกโล่งอกและเสียใจนิดๆ
แม้จะไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะสามารถปรนนิบัติกับวาห์นได้อย่างเหมาะสม แต่เธอก็ดีใจที่ดูเหมือนเขาจะสามารถฟื้นตัวได้เอง
ทว่าเพราะได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ไว้ก่อนแล้ว เธอจึงไม่ยอมถอยง่ายๆ แค่เพราะว่าเขาเป็นห่วงเธอ
อนูบิสพยายามจะพูดบางอย่างออกมา แต่วาห์นกลับใช้นิ้วชี้ดีดไปที่กลางหน้าผากเพื่อไม่ให้เธอพูดต่อ
“นี่คือการตัดสินของฉันนะอนูบิส ถ้าเธอเห็นว่าฉันเป็นนายของเธอจริงๆ เธอก็จะต้องเคารพในการตัดสินใจของฉัน”
วาห์นไม่เปิดช่องให้เธอโต้เถียงแต่อย่างใดขณะยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะปิดประตูห้อง
อนูบิสมองไปทางประตูอยู่พักหนึ่งขณะครุ่นคิดในใจถึงคำพูดและการกระทำของเขา
สุดท้ายแล้ว เธอก็ได้แต่ถอนหายใจและเดินไปทางห้องของตัวเองที่อยู่ติดกัน
หลังจากวาห์นปิดประตู เขาก็ได้รับการแจ้งเตือนว่าค่าความภักดีของอนูบิสไปถึง 95 แล้วซึ่งสร้างความประหลาดใจให้เขาอยู่บ้าง
เขาอยากรู้จริงๅ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาทำให้มันขึ้นถึง 100 และเรื่องนี้ก็เริ่มทำให้เขาสนใจมากจนต้องหยุดคิดเรื่องอื่นๆ ไปเลย
เมื่อมองเข้าไปในระบบ วาห์นพบว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ ใน ‘ดูค่าความชื่นชอบ’ ดังนั้นเขาจึงถามพี่สาว
(“พี่สาว ทำไมอนูบิสถึงไม่มีค่าความชื่นชอบล่ะ?”)
แน่นอนว่าเขาสัมผัสร่างกายของเธอไปหลายครั้งแล้วและมองเห็นออร่าของเธอด้วย แต่เธอกลับไม่มีชื่อแสดงอยู่ในนี้ด้วยเหตุผลบางประการ
พี่สาวเริ่มตอบกลับมา
(*สำหรับ ‘เดอะพาธ’ แล้วค่าความภักดีนั้นเป็นค่าสถานะที่อยู่เหนือค่าความชื่นชอบขึ้นไปอีก
สำหรับเหล่าลูกน้องของเธอ พวกเขาจะมีค่าความชื่นชอบและค่าความสนใจที่เต็มตั้งแต่ตอนแรก
โดยปกติแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครบางคนจะมาเป็นลูกน้องเธอโดยที่ไม่ถูกเธอกดดันจนต้องรู้สึกยอมจำนน หรือไม่งั้นพวกเขาก็ต้องมีค่าความชื่นชอบที่สูงเอามากๆ
อนูบิสดูเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางอย่างหลังจากได้เห็นดวงวิญญาณของเธอ ดังนั้นเธอก็เลยได้ข้ามขั้นตอนของค่าความชื่นชอบไปและกลายมาเป็นลูกน้องของเธอแทน*)
วาห์นรู้สึกประหลาดใจกับข้อมูลนี้มากและอดไม่ได้ที่จะถามต่อ
(“งั้นก็หมายความว่าถ้าผมได้รับ ‘ความปราถนาของในหัวใจ’ ของคนๆ นั้นมา ผมก็จะสามารถรับพวกเขาไว้เป็นลูกน้องได้งั้นเหรอ?”)
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง วาห์นก็เกิดความกังวลขึ้นมาว่าระบบของตัวเองแท้จริงแล้วอาจมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงอยู่
แต่แล้วเสียงของพี่สาวก็ออกมาช่วยปัดเป่าความกังวลให้อีกครั้ง
(*ไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปหรอกนะ
ค่าความภักดีเป็นหนึ่งใน ‘ค่าสถานะแฝง’ ที่จะได้รับผ่านระบบ
มันจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ที่ปรารถนาจะติดตามเธอในฐานะลูกน้องเท่านั้น และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่อยากจะสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเธอแบบปกติเลย*)
วาห์นรู้สึกโล่งอกหลังจากได้ยินคำชี้แจงของพี่สาว
ดูเหมือนว่ารูปแบบการทำงานของระบบจะมีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่เขาค้นพบ และก็เป็นเรื่องโชคดีจริงๆ ที่เขาไม่สามารถรับคนอื่นมาเป็นลูกน้องโดยอุบัติเหตุได้
เขาอยากจะช่วยเติมเต็ม ‘ความปราถนาของในหัวใจ’ ของเหล่าผู้ที่ห่วงใย
ทว่าเขาอาจจะล้มเลิกความคิดนี้ไปเลยหากผลลัพธ์ของมันต้องจบลงด้วยการที่ทุกคนกลายมาเป็นลูกน้องของเขา
พอเริ่มคิดเรื่องนี้ วาห์นก็จำได้ว่าเขาได้รับ [ความปราถนาของหัวใจ: ทีโอน่า] มาและยังไม่ได้ใช้มันเลย
เขานอนลงบนเตียงและรู้สึกว้าวุ่นกับกลิ่นอันคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ก็พยายามตั้งสติเข้าไว้ขณะเริ่มใช้ไอเท็ม
มันคล้ายกับประสบการณ์คั้งที่ผ่านๆ มา
อากาศรอบตัวเขาดูเหมือนจะถูกแช่แข็งขณะที่เวลาดูเหมือนจะหยุดลง
วาห์นไม่สามารถเคลื่อนไหวและได้แต่นอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ขณะที่มีภาพไหลเข้ามาในหัว
—
วาห์นอยู่เพียงลำพักภายในความมืดและรู้ว่าข้างนอกนั่นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเศร้า
สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจเขาสงบได้ก็คือเด็กสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆ กาย
เมื่อมองใกล้ๆ เขาก็ตระหนักว่าเด็กสาวคนนี้ดูคล้ายกับทีโอเน่และทีโอน่ามาก แต่เธอยังดูเด็กอยู่และน่าจะมีอายุประมาณ 5 – 6 ขวบ
เธอแทบจะไม่ได้ใส่อะไรเลยและสิ่งที่ยับยั้งไม่ให้ร่างของเธอเปลือยเปล่าก็คือผ้าขนาดเล็กสองชิ้นที่พันอยู่รอบอกและเอวของเธอ
เมื่อสำรวจ ‘ตัวเอง’ วาห์นก็พบว่าเขาก็กำลังใส่ชุดที่คล้ายกัน และตอนนี้ก็ได้มาอยู่ในร่างของเด็กสาวตัวน้อยเช่นกัน
แต่วาห์นพอจะรู้อยู่แล้วว่าอาจต้องเจอกับอะไรบ้างและเข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในมุมมองของทีโอน่า
เขารู้สึกได้ถึงความเศร้าอย่างรุนแรงภายในหัวใจขณะที่เธอต้านทานอากาศของค่ำคืนอันหนาวเหน็บด้วยการหาความอบอุ่นจากร่างของพี่สาวฝาแฝด
ในฐานะที่เป็นแฝดเพียงคู่เดียวในหมู่ชาวอเมซอน ทั้งคู่ต่างถูกเด็กคนอื่นรังเกียจและกลั่นแกล้งซึ่งแม้แต่พวกผู้ใหญ่เองก็ยังหลีกเลี่ยงพวกเธอ
ทุกคนปฏิบัติราวกับทั้งคู่เป็นตัวหายนะ ยกเว้นแต่เทพธิดาคาลีผู้ที่ดูเหมือนจะให้ความสนใจในตัวพวกเธอมากเป็นพิเศษ
โชคร้ายหน่อยที่ความสนใจของเธอนั้นถูกแสดงออกมาเป็นบททดสอบหลายหลายอย่างซึ่งรวมไปถึงการให้เด็กสาวทั้งสองต่อสู้กับผู้อื่น
ทีโอน่าถูกบังคับให้ใช้เวลาไปกับการต่อสู้กับคนมากมายและเธอก็ไม่ชอบความรู้สึกตอนที่แพ้เท่าไหร่เลย
ดังนั้นสิ่งเดียวที่เธอทำได้ก็คือการเอาชนะอีกฝ่ายให้จงได้
เธอมักจะใช้เวลาที่เหลืออีกครึ่งวันไปกับการเช็ดคราบเลือดจากร่างกายด้วยความรู้สึกคลื่นไส้
เธอไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการหลบหนีจากชีวิตอันโหดร้าย จากผู้คนที่ไม่สนหัวเธอ และจากวงจรอันเจ็บปวด โหดร้ายและไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะยังไม่สามารถหนีออกจากความทรมานเหล่านี้ได้ สิ่งเดียวที่ปลอบใจเธอก็คือความเชื่อที่ว่าหากเธอไม่ยอมแพ้ สักวันหนึ่งจะมีวีรบุรุษมาปรากฏตัวและปลดปล่อยเธอออกจากสถานจองจำแห่งนี้
เธอจินตนาการถึงชายหนุ่มรูปงามที่จะปรากฏตัวขึ้นในอีกไม่ช้าและช่วยเหลือเธอกับพี่สาว
แต่เมื่อหลายปีผ่านไป ความเชื่อนั่นก็ค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน
ตอนนี้เธอแข็งแกร่งขึ้นมากและสามารถชนะการต่อสู้ได้เกือบทุกครั้ง จนกระทั่งในที่สุดเธอก็มาอยู่ในจุดสูงสุดของเด็กรุ่นเดียวกัน
สุดท้ายเธอกับพี่สาวก็ได้รับอิสระด้วยความพยายามของตัวเองโดยที่ไม่มีวีรบุรุษที่ไหนมาช่วย
อย่างไรก็ตาม ถึงเธอจะได้รับอนุญาตให้ออกเดินทางไปทั่วโลกแต่ก็มักจะมีความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไปจากหัวใจ
ชาวอเมซอนคนอื่นนั้นเอาแต่คอยตามหาผู้ชายที่แข็งแกร่งและมีลูกด้วยกัน แต่ทีโอน่านั้นต้องการอะไรบางอย่างที่ต่างออกไป
เธอเกิดความมุ่งมั่นในการออกตามหาวีรบุรุษที่ไม่ยอมมาช่วยเธอในวัยเด็กอย่างไม่ลดละ
เธออยากจะพบกับคนๆ นั้นเพื่อที่จะได้ถามว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมปรากฏตัวออกมาช่วยในขณะที่เธอกำลังโหยหาอิสรภาพอย่างสิ้นหวัง
เมื่อเวลาผ่านไป ความพยายามในการตามหา ‘วีรบุรุษ’ ของเธอก็เริ่มผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย
ตอนนี้เธอแค่อยากพบใครก็ตามที่มีคุณสมบัติตรงตามที่เธอคิดไว้
แม้ว่าเธอจะสู้แพ้หรือได้พบกับชายที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย แต่คนพวกนั้นก็ไม่เคยทำให้เธอรู้สึกพอใจได้เลย
ทีโอน่าเริ่มเกลียดชังบุรุษที่คิดว่าจะเอาชนะใจเธอได้ง่ายๆ เพียงเพราะว่าเธอเป็นชาวอเมซอนและพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเธอในตอนนั้น
เพื่อหลบหนีจากการตามล่า เธอจึงพยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งจนถึงจุดที่ไม่มีใครจะมาแตะต้องเธอได้
สุดท้ายแล้วทั้งเธอและพี่สาว ก็ได้มายืนอยู่บนจุดที่คนส่วนใหญ่ไม่มีวันได้มาถึง
แต่ไม่ว่าเธอจะเดินทางไปไกลแค่ไหนหรือแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่ ทีโอน่าก็ไม่เคยพบเจอวีรบุรุษที่ออกตามหาอยู่เลย
เธอเริ่มรู้สึกว่ามีความว่างเปล่าเกิดขึ้นภายในจิตใจจนต้องพยายามเติมเต็มช่องว่างนั่นด้วยท่าทางขี้เล่นและไม่สนโลก
เมื่อพี่สาวของเธอพบใครบางคนที่คิดว่าใช่ ทีโอน่าก็รู้สึกดีใจไปกับเธอด้วย แต่มันก็ทำให้ความว่างเปล่าภายในใจของเธอขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
มันถึงจุดที่ว่าหากเผลอใจไปเพียงนิดเดียว ทีโอน่าก็จะเริ่มรู้สึกเกลียดพี่สาวฝาแฝดขึ้นมาแทน
แถมตั้งแต่ที่ทีโอเน่ไปตกหลุมรักกับฟินน์ หน้าอกของเธอก็เริ่มใหญ่ขึ้นและทั้งคู่ก็ดูไม่เหมือนฝาแฝดกันอีกแล้ว
ตอนนี้ทีโอน่ารู้สึกเหมือนกับคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจความทุกข์ทรมานและอยู่เคียงข้างเธอเสมอกำลังจะทิ้งเธอไว้ข้างหลังแทน
เธอพบว่าสิ่งเดียวที่ปลอบใจความทุกข์ของเธอได้คือการต่อสู้ และเธอก็สู้หนักถึงขนาดได้รับสกิลอย่าง [เบอร์เซิร์กเกอร์] และยังได้รับฉายาว่า ‘อเมซอน’ ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ความสำเร็จของเธอ
ตอนนี้เธอถือได้ว่าเป็นหนึ่งในไอดอลของชาวอเมซอนทุกคนและนั่นก็ดูจะเป็นภาระที่เข้ามาเสริมพลังให้กลับความว่างเปล่าขึ้นไปอีก
ในตอนที่เธอกำลังจะยอมแพ้ ทีโอน่าก็พบบางอย่างที่ฉุดเธอขึ้นมาจากความมืดมิด
ในช่วงเวลาที่เธอต้องการมากที่สุด ในที่สุดวีรบุรุษก็มาปรากฏกายต่อหน้าเธอ
เธอได้ยินข่าวลืออันแสนกล้าหาญของเขาและอดใจรอเพื่อที่จะพบกับเด็กหนุ่มที่ผู้คนเรียกขานว่า ‘วัลแคน’ จนทนแทบไม่ไหว
หลังจากรู้ที่อยู่ของเขา เธอก็โน้มน้าวแกเร็ธจนเขาอนุญาตให้เธอติดตามเขาไปด้วยเพื่อพบเด็กหนุ่มที่เธอตามหามานาน
อย่างที่เธอหวังเอาไว้เลย เด็กหนุ่มเป็นคนจิตใจดีและดูน่าเชื่อถือ
เขามีออร่าที่ทำให้เธอรู้สึกสงบและตื่นเต้น และด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ เขาก็อยากจะสู้กับเธอขึ้นมาซะอย่างนั้น
ทีโอน่าตื่นเต้นมากเพราะเธอจะได้รู้ถึงความสามารถของวีรบุรุษคนนี้จากมือของเธอเอง
แม้จะอ่อนแอกว่าที่เธอคาดเอาไว้ แต่เขาก็ถือได้ว่าแข็งแกร่งมากสำหรับนักผจญภัยเลเวล 2 และเธอยังรู้ด้วยว่าเขากำลังเก็บซ่อนพละกำลังเอาไว้อีก
เธอตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นความสามารถแบบเต็มที่ของเขาในอนาคต
โชคดีเหลือเกินเพราะถัดจากนั้นไปไม่ถึงสัปดาห์ ทีโอน่าก็ได้เห็นวีรบุรุษของเธอต่อสู้กับศัตรูที่เขาไม่น่าจะเอาชนะได้
แต่ไม่ว่าจะล้มลงไปกี่ครั้ง เขาก็จะลุกกลับขึ้นมาตลอดเหมือนกับที่เธอจินตนาการไว้เลย
และไม่เพียงแค่นั้นเพราะเขายังแข็งแกร่งขึ้นมากและค่อยๆ เอาชนะคู่ต่อสู้นั่นลงได้
มีบางช่วงที่ดูเหมือนเขาจะพลาดท่าเสียทีและเธอก็เกือบจะพุ่งออกไปช่วยเขาแล้ว แต่สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น
เขาพุ่งโจมตีเข้าไปเป็นครั้งสุดท้ายและทันใดนั้นก็เอาชนะสัตว์ร้ายตัวยักษ์ที่เคยเล่นงานเขาลงได้
ทีโอน่าไม่อาจเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ได้อีกแล้วพุ่งเขาไปหาเด็กหนุ่มจนเขาล้มลงกับพื้น
เธอรู้ว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อวาห์นคือคนที่เธอเฝ้าตามหามาตลอด
เหตุผลที่เขาไม่ได้มาช่วยเธอก็เพราะว่าเขายังเด็กอยู่เช่นกัน
เธอพอมองออกว่าเขาเองก็ผ่านเรื่องเลวร้ายมามาก และดูเหมือนว่าตอนนั้นเขาจะง่วนอยู่กับการช่วยเหลือตัวเองทำให้ไม่ว่างมาช่วยเหลือคนอื่น
ความไม่พอใจทั้งหมดที่มีต่อวีรบุรุษในจิตใจของเธอสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยและถูกแทนที่ด้วยภาพของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
ทีโอน่าถูกความรู้สึกเข้าครอบงำและไม่สามารถเก็บมันเอาไว้ได้อีกต่อไป
เธอจ้องมองเด็กหนุ่มที่ถูกเธอกดทับเอาไว้บนพื้นและพูดออกมา
“ฉันอยากมีลูกกับนาย!”
—
ภาพตัดกลับมาสู่เวลาปัจจุบันและวาห์นก็ได้แต่นอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพมึนงง
มันรู้สึกราวกับเขาได้สัมผัสกับช่วงเวลาทั้งชีวิตของทีโอน่า
ทั้งความเจ็บปวดและความทุกข์ของเธอ ซึ่งทำให้เขารู้สึกสงสารเด็กสาวที่ถูกบังคับให้แข็งแกร่งขึ้นโดยที่เธอไม่ต้องการมากเหลือเกิน
แม้เขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะอยู่เคียงข้างเธอในอนาคต แต่ตอนนี้วาห์นยิ่งมุ่งมั่นที่จะทำให้ความฝันของเด็กสาวผู้นั้นเป็นจริง
ไม่ว่าเธออยากจะได้ลูกกี่คน วาห์นก็จะมอบมันให้จนกว่าเธอจะรู้สึกพอใจให้จงได้