Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 121
วาห์นใช้เวลาอยู่นานกว่าเขาจะนอนหลับลงได้ในค่ำคืนนั้น
แม้คาดไว้แล้วว่าอาจเกิดปัญหาจากกลิ่นอันแสนเย้ายวนบนเตียงนอน แต่สิ่งที่ทำให้เขาถ่างตาตื่นอยู่ได้ก็คือภาพที่เพิ่งดูไปเมื่อกี้นี้
เขารู้สึกเหมือนความรู้สึกใกล้จะระเบิดออกมาเต็มที แต่ในที่สุดมันก็เริ่มสงบลงเมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงประมาณเที่ยงคืน
—
วาห์นตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมาก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น
เขานอนไปได้ประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ และเริ่มทำความสะอาดร่างกายก่อนจะเตรียมออกไปข้างนอก
อนูบิสตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงมาจากห้องของเขา ดังนั้นเธอจึงออกมาพบเขาก่อนที่จะออกไป
พอได้เห็นสายตาอันแน่วแน่ของวาห์น อนูบิสที่รู้สึกกังวลจึงถามขึ้น
“นายท่าน? เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
วาห์นมองเธอด้วยสีหน้าเรียบๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“รับเงินนี่แล้วไปซื้อเสื้อผ้าให้เด็กๆ กับของเธอเอง รวมไปถึงของใช้จำเป็นด้วยนะ
ฉันไม่มั่นใจว่าวันนี้จะกลับมาที่นี่หรือเปล่า ดังนั้นไม่ต้องอยู่รอล่ะ”
วาห์นมอบถุงขนาดใหญ่ที่บรรจุเงินไว้กว่า 100,000 วาลิสซึ่งทำให้อนูบิสขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
วาห์นส่ายหัวและพูดต่อ
“ไม่ใช่เรื่องอันตรายอะไรหรอก แค่มีบางอย่างต้องไปทำไม่งั้นคงเป็นบ้าตายแน่ๆ
ฉันน่าจะกลับมาพรุ่งนี้หรืออย่างช้าที่สุดก็วันมะรืน
หากต้องการอะไรเพิ่มก็ไปบอกสึบากิให้ช่วยจัดการไปก่อนละกันนะ”
อนูบิสรู้สึกโล่งอกเมื่อได้ฟังเขาอธิบาย ดังนั้นเธอจึงโค้งศีรษะลงต่ำ
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้โชคดีกับสิ่งที่ต้องไปจัดการนะคะ นายท่าน”
วาห์นพยักหน้าเป็นการตอบรับและเดินออกจากประตูก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปที่ทางเหนือของเมืองซึ่งเป้าหมายของเขาก็คือโลกิแฟมิเลียนั่นเอง
แม้ระยะทางจะไกลพอสมควร แต่วาห์นก็ใช้เวลาน้อยกว่า 10 นาทีกับการเดินทางเกือบ 20 กิโลเมตร
นักผจญภัยและคนสัญจรไปมาในช่วงเวลานี้ต่างมองเขาและสงสัยว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาต้องเร่งรีบขนาดนั้น
บางคนถึงกับตะโกนถามว่าเขาต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า แต่วาห์นก็ตะโกนกลับไปบอกว่าไม่มีอะไรเพื่อไม่ให้พวกเขาคิดมากขณะวิ่งต่อไปเรื่อยๆ
และแล้ววาห์นก็มายืนอยู่ด้านนอกของคฤหาสน์ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเห็นมา
ที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ ‘คฤหาสน์สนธยา’ และเป็นบ้านของแฟมิเลียที่แข็งแกร่งที่สุดภายในเมือง หรือก็คือโลกิแฟมิเลียนั่นเอง
แม้วาห์นจะไม่เคยพบกับเทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์มาก่อน แต่ก็รู้ดีว่าการมาของเขาคงไม่ได้เป็นที่ต้อนรับมากนักเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไอส์
วาห์นตัดสินใจอย่างแน่วแน่และเดินผ่านประตูขนาดใหญ่เข้าไปในส่วนที่ดูเหมือนเป็นพื้นที่ต้อนรับของโรงแรมขนาดใหญ่
มีไม่กี่คนที่เดินไปมาอยู่แถวนั้น รวมไปถึงใครบางคนที่วาห์นรู้จักด้วย
เมื่อเห็นร่างกำยำที่ดูมั่นคงของแกเร็ธ วาห์นก็รู้สึกเหมือนได้หลบปัญหาก้อนใหญ่ไปแบบเฉียดฉิว
เขาเดินเข้าไปหาแกเร็ธอย่างรวดเร็ว ทำให้มีพนักงานบางคนพยายามเข้ามาขวางก่อนที่แกเร็ธจะโบกมือห้ามพวกเขาไว้
แกเร็ธยิ้มผ่านใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราก่อนจะพูดขึ้น
“ดีใจที่เห็นเธอหายดีแล้วนะ
หลังจากที่เธอหมดสติไประหว่างการต่อสู้กับจักเกอร์นอต ทุกคนก็ดูกังวลกันใหญ่
รอดมาก็ถือว่าทำได้ดีมากแล้วล่ะ ไอ้หนู”
วาห์นรู้สึกดีที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากของแกเร็ธ และเขาก็ยิ้มตอบก่อนจะโค้งให้
“ขอบคุณมากครับ แกเร็ธ แต่ผมมาที่นี่เพราะมีเรื่องอื่นน่ะ
ช่วยแจ้งทีโอน่าให้หน่อยได้ไหมครับว่าผมมาหา?”
เมื่อเห็นสายตาจริงเอาจังของวาห์น แกเร็ธก็รู้สึกสงสัยจึงถามขึ้น
“เป็นอะไรไปเหรอไอ้หนู นี่เรื่องด่วนหรือเปล่า?”
แม้จะคิดกับวาห์นไปในทางที่ดี แต่เขาก็ต้องระวังไม่ให้เหล่ารุ่นน้องตกอยู่ในอันตรายหากสามารถทำได้
พอเห็นสายตาสงสัยและออร่าวูบวาบของแกเร็ธ วาห์นก็พยายามสงบใจลงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ
“ขอร้องล่ะครับ โปรดบอกทีโอน่าให้ทีว่าผมมานี่เพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้
ถ้าเธอไม่ยินยอม ผมก็จะกลับออกไปทันทีเลย”
แกเร็ธเลิกคิ้วเมื่อเห็นความจริงใจจากสายตาและท่าทางของวาห์น
เขาถอนหายใจก่อนโบกมือเรียกเด็กหนุ่มคนหนึ่งและสั่งให้เขาไปบอกให้ทีโอน่าทราบ
พอเด็กคนนั้นออกไปแล้ว แกเร็ธก็หันมาทางวาห์นและถามด้วยน้ำเสียงต่ำๆ เช่นกัน
“เธอสัญญาอะไรไว้กับยัยเด็กจอมแก่นนั่นเหรอ?”
พอได้ยินคำถาม วาห์นก็อ้ำอึ้งไปชั่วขณะและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินๆ ขึ้นมา
แกเร็ธสังเกตและรู้ได้ทันทีว่าวาห์นกำลังคิดอะไรอยู่
เขาเริ่มหัวเราะเสียงดังขณะตบหลังของวาห์นแรงๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า คนหนุ่มสาวนี่มันดีจังเลยนะ!?”
สิบนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ทีโอน่าก็ยังไม่ปรากฏตัวขึ้นซึ่งทำให้วาห์นเริ่มรู้สึกสงสัยว่านี่อาจเป็นเรื่องที่ผิดพลาด
แกเร็ธเองก็คิดว่ามันผิดปกติก่อนที่เขาจะแสดงสีหน้าตื่นๆ และพูดให้วาห์นฟัง
“อ๊ะ ฉันรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
พวกสาวๆ น่าจะกำลังใช้เวลาร่วมกับไอส์อยู่ ทีโอน่าก็เลยปลีกตัวออกมาได้ยากหน่อย”
วาห์นรู้สึกโล่งใจหลังได้ยินคำอธิบายและถามต่อ
“ทำไมพวกเธอถึงไปอยู่กับไอส์เหรอครับ?”
แกเร็ธพยักหน้าและตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เอ้อ วันนี้เป็นวันเกิดของแม่หนูไง พวกเธอก็เลยเตรียมตัวจะออกไปฉลองกันน่ะ
เธอโชคดีมากเลยนะที่มาเร็ว ไม่งั้นก็คงคลาดกันไปแล้ว”
วาห์นพยักหน้าเห็นด้วยว่าเขานั้นโชคดีจริงๆ แต่แล้วก็มีบางอย่างมาสะกิดใจจนเขาเริ่มตื่นตระหนกเล็กน้อยขณะที่ถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“เมื่อกี้บอกว่า… วันเกิดของไอส์เหรอครับ?”
วาห์นนึกถึง ‘คำสัญญา’ ที่ให้ไว้กับไอส์และเริ่มภาวนาขอให้ตนฟังผิด
แม้ว่าแกเร็ธจะสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของวาห์น แต่เขาก็พยักหน้าและพูดยืนยันคำเดิม
“ใช่แล้ว วันนี้แม่หนูจะมีอายุครบ 14 ปีพอดี พวกเธอก็เลยอยากจะออกไปฉลองกันข้างนอก
แม่หนูนั่นไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้พอเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ควรฝึกไว้บ้าง”
แกเร็ธเริ่มหัวเราะออกมาหลังพูดจบ
ในฐานะเผ่าคนแคระ เขามีนิสัยชื่นชอบและรักการดื่มแอลกอฮอล์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยังชื่นชมเหล่าผู้ที่คอแข็งคอทองแดงมากเป็นพิเศษ
เสียงหัวเราะอันอบอุ่นของแกเร็ธนั้นเป็นเหมือนเสียงระฆังบอกเวลาตายของวาห์นดีๆ นี่เอง
ถ้าตอนนั้นไอส์ไม่ได้พูดเล่นๆ งั้นก็หมายความว่าเธอเองก็คงอยากมีอะไรกับเขาเมื่ออายุครบ 14 ปีพอดี
แม้มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นวันนี้ แต่เขาก็รู้ว่าไอส์ไม่ใช่คนประเภทที่จะมาเฝ้ารอในสิ่งที่เธอให้ความสนใจจริงๆ
เสียงตะโกนดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งของประตู ราวกับเป็นเสียงแจ้งเตือนถึงหายนะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
วาห์นมองเห็นอะไรบางอย่างสีน้ำตาลแวบๆ เข้ามาและต้องรีบอ้าแขนออกเพื่อรับทีโอน่าที่พุ่งเข้ามาในอ้อมแขน
เธอเริ่มเอาหัวมาคลอเคลียกับแผงอกของเขาในทันที แต่วาห์นต้องหันไปสนใจกลุ่มคนมากมายที่เดินตามหลังเธอมา
ไอส์เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับโลกิ ริเวเรีย ทีโอเน่ และเลฟิย่า
เมื่อเห็นสีหน้าที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน วาห์นก็รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในทุ่งระเบิด
ไอส์กำลังยิ้มนิดๆ และแสดงแววตา ‘คาดหวัง’ ขณะมองไปที่วาห์นซึ่งต่างไปจากสีหน้าปกติอย่างชัดเจน
โลกิเดินมาพร้อมกับไอส์ขณะมองวาห์นด้วยสายตาเจ้าเล่ห์และทำให้เขารู้สึกเหมือนเธอเป็นอสรพิษที่บังเอิญมาเจอเข้ากับหนูนาแบบพอดิบพอดี
รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นดูเหมือนปีศาจที่กำลังเชื้อเชิญมากกว่าการแสดงความดีใจ
ริเวเรียมีสีหน้าเอือมๆ ส่วนทีโอเน่และเลฟิย่าต่างดูหงุดหงิดขณะเดินเข้ามาใกล้
ทีโอน่าสังเกตเห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ของวาห์นจึงเอียงคอและถามเขา
“มีอะไรเหรอ วาห์น?”
เมื่อคนส่งสารเข้ามาบอกเธอถึงข้อความนั่น ทีโอน่าก็เกือบจะหักคอเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายเพื่อเค้นถามว่าวาห์นอยู่ไหน
ต้องใช้เวลาไปพอสมควรก่อนที่ทีโอเน่และไอส์จะแงะเอาเด็กหนุ่มออกมาได้
โลกิที่อยู่แถวนั้นและกำลังเพลิดเพลินไปกับการเตรียมงานเลี้ยงเริ่มหันไปหยอกล้อทีโอน่าและถามว่ามีเรื่องอะไรแน่
ทีโอน่าจึงบอกเหล่าสาวๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เธอและวาห์นได้ให้สัญญากันไว้แบบไม่รู้สึกสะทกสะท้าน
เนื่องจากคิดว่าคงต้องรอไปอีกนาน ตอนนี้เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นจนแทบเป็นบ้า
ทีโอเน่ดูเหมือนจะไม่พอใจกับสถานการณ์นี้มาก แต่โลกิกลับคิดว่ามันดูน่าสนุกดี อย่างน้อยก็กระทั่งมีบางคนพูดขึ้นมา
“…อ้า ฉันเองก็สัญญาไว้เหมือนกัน”
ราวกับว่าจะไม่ยอมแพ้ให้กับทีโอน่าง่ายๆ ไอส์เองก็พูดขึ้นมาเบาๆ แต่ฟังดูหนักแน่น
โลกิมองไปทางเด็กสาวที่ปั้นมากับมือและถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
“โอ๋ ไอส์~? เธอไปสัญญาอะไรไว้เหรอ?”
ไอส์หันไปมองทุกคนก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ทีโอน่า
“วาห์นกับฉัน…
พวกเราจะมีอะไรกันพอฉันอายุครบ 14…
ฉันจะไปหาเขาด้วย”
พอไอส์พูดจบ ความเงียบก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งห้องจนแทบจะได้ยินเสียงเดินเท้าของผู้สัญจรไปมาที่อยู่นอกคฤหาสน์
ไม่มีใครพูดอะไรไปนานมากๆ จนกระทั่งทีโอน่าทำลายความเงียบ
“ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ยังไงฉันก็จะเป็นคนแรก
วาห์นมานี่เพื่อหาฉันโดยเฉพาะ ดังนั้นเธอก็ต้องรอไปก่อนนะ”
ทีโอน่าคาดไว้แล้วว่าไอส์ต้องมาไม้นี้ ดังนั้นเธอจึงรู้สึกประหลาดใจน้อยที่สุด
หลังได้ยินคำพูดสวนกลับนั่น ทั่วทั้งห้องก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งและพวกเธอก็ใช้เวลาสองสามนาทีไปกับการอธิบายให้โลกิฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดันเจี้ยน
หลังคุยกันเสร็จ โลกิก็เริ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟก่อนจะเดินนำคนทั้งกลุ่มไปพบเด็กหนุ่มที่สร้างปัญหาครั้งใหญ่ให้กับแฟมิเลียของเธอ
แม้เธอจะสนใจในตัววาห์นเนื่องจากได้ยินคำบอกเล่ามาจากฟินน์และริเวเรีย
แต่ก็ไม่คาดคิดเลยว่าก่อนจะได้พบกับวาห์นอย่างเป็นทางการ เขากลับ ‘ช่วงชิง’ สมาชิกที่แข็งแกร่งในแฟมิเลียของเธอไปแล้วถึงสองคน
ในที่สุดโลกิก็ได้พบกับวาห์นเป็นครั้งแรกและเธอก็ต้องยอมรับว่าเขาทั้งหล่อและดูเด็กมาก
เธอรู้แล้วว่าทำไมพวกเด็กๆ ถึงได้หลงเขานักหนา เพราะแม้แต่เธอเองก็ยังอยากจะเย้าแหย่เด็กหนุ่มคนนี้หากไม่มีสถานการณ์ปัจจุบันมาค้ำคออยู่
เมื่อกลุ่มคนที่เหลือมาถึง โลกิก็ยังจ้องมองวาห์นต่อไปพร้อมกับพูดขึ้น
“เธอคือ ‘วัลแคน’ วาห์น เมสัน สินะ? ฉันได้ยินเรื่องของเธอมาเยอะเลย… เรามาคุยกันหน่อยไหม?”
วาห์นมองเห็นออร่าจากตัวโลกิซึ่งมีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับของคนอื่น และมันก็เต็มไปด้วยสีม่วงและสีแดงสด
แม้จะพอเข้าใจว่าทำไมเธอถึงรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นออร่าที่ดูปั่นป่วนแบบนี้มาก่อนเลย
เขารู้สึกเหมือนว่าถ้าเผลอไปนิดเดียวก็อาจจะถูกพลังงานปั่นป่วนนี่กลืนกินเข้าไป
แต่พอเห็นทีโอน่าที่อยู่ด้านข้างและนึกถึงสาเหตุที่มานี่ เขาก็จ้องประสานตากับโลกิและตอบกลับไป
“ได้สิ นำทางเลยครับ”
โลกิรู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นวาห์นยังใจเย็นอยู่ได้แม้จะโดนรังสีอำมหิตของเธอเข้าไปเต็มๆ
แต่เนื่องจากมีสายตามากมายกำลังมองดูอยู่ เธอจึงนำทั้งกลุ่มเข้าไปในห้องส่วนตัวที่มีเขตแดนและผนึกเพื่อปิดกั้นไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกไป
วาห์นนั่งลงบนหนึ่งในโซฟาสี่ตัว ขณะที่คนอื่นเริ่มหาที่นั่งเช่นกัน
ทีโอน่าและไอส์ต่างมานั่งอยู่ข้างๆ เขา ขณะที่โลกินั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
วาห์นนั้นรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าบ่าวที่กำลังมาสู่ขอเจ้าสาวสองคนนี้ไป และตอนนี้เขาก็ต้องมารับมือกับเจ้าที่ซะก่อน…
เมื่อเห็นสองสาวมานั่งข้างๆ วาห์น โลกิก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะนั่งลงแบบไม่ค่อยเป็นกุลสตรีเท่าไหร่
ดวงตาของวาห์นปั่นป่วนเมื่อเห็นภาพนี้ และความปั่นป่วนนั่นก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของโลกิจนเธอยิ้มออกมาและถามขึ้น
“โอ้? มีดอกไม้งามทั้งสองข้างแล้วยังกล้าคิดอกุศลกับเทพธิดาผู้นี้อีกเหรอ?
ค่อนข้างโลภใช้ได้เลยนะ…วาห์น เมสัน”
วาห์นเกือบกล่าวปฏิเสธเนื่องจากมันเป็นเพราะท่านั่งแปลกๆ ของเธอต่างหาก
แต่พอนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่เขาทำไว้กับคนอื่นในอดีต แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อคำแก้ตัวของตัวเองเลย
แทนที่จะตอบโต้การยั่วยุของเธอ วาห์นรวบรวมกล้าและตอบกลับไป
“ผมขอโทษที่มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า แต่ผมมีลางสังหรณ์ว่าหากไม่มาที่นี่ในวันนี้ก็อาจจะสูญเสียบางอย่างที่สำคัญไป”
แม้มันจะไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่เขามาที่นี่ แต่วาห์นก็รู้ว่าที่พูดไปนั้นมีเค้าความจริงอยู่บ้าง
เขารู้สึกว่าถ้าเมินเฉยกับความทุกข์ทรมานของทีโอน่านานเกินไป เขาจะต้องจบลงด้วยการเกลียดตัวเองแน่ๆ
โลกิจ้องมองวาห์นและพบว่า ‘ความกล้า’ ของเขาดูน่าชื่นชมดี แต่เธอก็มองออกว่ามีบางอย่างอยู่เบื้องหลังคำพูดนั่นอีก
โลกิพยายามหาช่องโหว่ในคำพูดของวาห์นไปเรื่อยๆ
พอมองไปมาระหว่างทีโอน่าและไอส์แล้ว เธอจึงตัดสินใจถามขึ้น
“ฉันได้ยินว่าเธอมาหาทีโอน่า ถูกต้องไหม? แล้วเรื่องสัญญาของเธอกับไอส์ล่ะ? อย่าบอกนะว่า เธอตั้งใจจะพาทั้งสองคนไปพร้อมกันเลย?”
วาห์นกระตุกหลังจากได้ยินคำพูดของเธอ
ไม่ว่าเขาจะพยายามตอบออกไปในรูปแบบไหน เขาก็มาเพื่อพบกับทีโอน่าจริงๆ ไม่ใช่ไอส์
หากบอกออกไปว่าต้องการพาทั้งสองไปสานสัมพันธ์แบบแน่นแฟ้น เขารู้เลยว่าบรรยากาศอึมครึมตอนนี้ต้องระเบิดใส่ตัวเองแน่นอน
ขณะที่กำลังคิดคำพูดอยู่ก็มีเสียงของไอส์ดังออกมาจากด้านซ้ายของเขา
“ฉันไม่ได้บอกเขาเรื่องวันเกิดค่ะ”
ไอส์จำได้ว่าบอกวาห์นไปว่าเธออยากจะลองมีอะไรกันตอนที่อายุครบ 14 แต่กลับลืมบอกเขาว่าวันเกิดของเธอคือวันไหน
แม้เขาจะมาหาทีโอน่าเป็นหลัก แต่เธอรู้สึกเหมือนตัวเองต้องแพ้แน่หากยอมถอยตอนนี้โดยที่ยังไม่ได้สู้อะไรเลย
โลกิขมวดคิ้วหลังได้ยินคำตอบจากไอส์แทน
หากวาห์นเป็นคนตอบเอง เธอก็จะใช้เรื่องนี้มาตอบโต้เขาได้
แต่ถ้าไอส์เป็นคนตอบ เธอก็จะทำอะไรเขาไม่ได้เลย
โลกิหันไปมองทีโอน่าก่อนกลับไปมองวาห์นอีกครั้งและพูดต่อ
“อย่างนั้นก็ได้ แต่เธอต้องการจะเปลี่ยนแผนแล้วพาไอส์ไปด้วยเหรอ?
ถึงริเวเรียจะสอนเรื่องนี้ไปบ้างแล้ว แต่คิดว่าเธอจะสามารถดูแลผู้หญิงสองคนพร้อมกันได้งั้นสิ?”
เพราะวาห์นไม่เคยลงสนามจริงมาก่อน เขาจึงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ยังไงดี
เหตุการณ์เมื่อคืนยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา
แม้จะมีความมั่นใจว่าทีโอน่าคงจะเอาอยู่ แต่ไอส์นั้นตัวเล็กและดูบอบบางกว่าทีโอน่ามาก
ทีโอน่าเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างแข็งแรงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนไอส์ช่างดูบอบบางมากราวกับเป็นตุ๊กตาที่เขาเคยเห็นตามตลาด
ขณะที่วาห์นกำลังครุ่นคิด รอบนี้ก็เป็นทีของทีโอน่าที่พูดขึ้นบ้าง
“ฉันไม่สนใจหรอกค่ะ ต่อให้วาห์นพาผู้หญิงทุกคนในห้องนี้ไปด้วยก็ตามเถอะ~! ฉันรู้ว่าเขาต้องจัดการได้แน่นอน!”
เป็นอีกครั้งที่ทั่วทั้งห้องกลายเป็นป่าช้าหลังได้ยินสิ่งที่ทีโอน่าพูด
ดูเหมือนว่าเธอจะสนุกกับเหตุการณ์นี้มากและมีรอยยิ้มกว้างขณะที่พูดมันออกมา
ตราบใดที่ได้เป็นคนแรกของวาห์น เธอก็ไม่สนใจหรอกว่าใครจะเป็นคนต่อๆ ไป
โลกิมองทีโอน่าราวกับได้เจอคนที่งี่เง่าที่สุดในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมา
ปากของเธอเบิกกว้างและร่างกายกลับแข็งทื่อและอยู่ในท่าเดียวกับตอนที่ถามคำถามออกไป
พอได้สติขึ้นมาบ้างแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกรำคาญกับสองสาวที่ค่อยตอบแทนอยู่เรื่อย
เธอพูดแบบดุๆ
“พวกเธอน่ะเงียบไปก่อนเลย! คิดเหรอว่าฉันจะปล่อยให้เด็กประหลาดนี่พาพวกเธอไปจากฉันโดยที่ยังตอบคำถามด้วยตัวเองไม่ได้เลยสักข้อเลย!?”
โลกิเริ่มตีโพยตีพายราวกับเป็นปิศาจเกรี้ยวกราด และโชคดีที่ไม่มีใครนั่งอยู่กับเธอเลยไม่งั้นคงจะโดนลูกหลงไปด้วย
หลังจากสงบลงแล้ว โลกิก็เอนตัวไปข้างหน้าเหมือนพวกนักเลงและถามต่อ
“เจ้าหนู รอบนี้ต้องตอบเองแล้วนะ
ฉันอยากรู้เหลือเกินว่าเธอตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
ถ้าแค่เรื่องมีอะไรกันล่ะก็ แน่นอน เอาสิ ไงก็ได้ ฉันไม่ถืออยู่แล้ว
พวกเธอทุกคนยังเป็นแค่เด็กอมมือกันอยู่เลย และกิจกรรมอะไรแบบนั้นก็เป็นเรื่องธรรมชาติจะตาย
แต่ว่านะ เธอคงรู้อยู่แล้วว่าบทบาทหน้าที่ของเด็กสองคนนี้มีความสำคัญต่อแฟมิเลียมากขนาดไหน
จะเป็นยังไงล่ะถ้าพวกเธอท้องหรือมีสภาพย่ำแย่จนไม่สามารถทำงานได้?
หากเธอไม่ระวังเรื่องพวกนี้ หลายคนอาจต้องมาจบชีวิตลงเนื่องจากความเห็นแก่ตัวของเธอเองนะ
หากมาทำให้นักผจญภัยเลเวล 5 ถึงสองคนไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ นักผจญภัยเลเวล 3 จิ๊บจ๊อยแบบเธอจะไปทำอะไรได้ล่ะ?”