Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 13
พอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น วาห์นก็เตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับภารกิจทันที เนื่องจากช่องเก็บของเต็มแล้ว เขาจึงแยกของที่เก็บได้ยาวนานไว้หลังถ้ำเพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่
เพื่อเตรียมรับกับทุกสถานการณ์ เขาจึงเติมกับดักและอุปกรณ์ต่างๆ มากมายที่เขาใช้ในการล่าสัตว์ลงไปในช่องเก็บของ เขาคิดจะวางพวกมันไปตามเส้นทางหนีและหากสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เขาก็จะสามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย ก็อบลินตัวใดที่พยายามไล่ล่าเขาจะตกเป็นเหยื่อของกับดักแทน
เมื่อออกจากถ้ำ วาห์นพบว่าดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้า นี่เป็นเช้าที่มีอากาศเย็นสบายและเขารู้สึกถึงสายลมอันสดชื่นจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ หลังจากถามเวลากับพี่สาวแล้ว เขารู้ว่ามันเป็นเวลาเกือบๆ ตีสี่เท่านั้นซึ่งทำให้เขามีเวลาเหลือเฟือในการเตรียมตัวและสำรวจค่ายก็อบลิน
เขาไปที่สนามฝึกยิงธนูที่ทำไว้นอกถ้ำและตั้งเป้าฝึกไว้ที่ช่วงระยะ 10 ถึง 50 เมตร เพื่อเป็นการทดสอบ วาห์นตัดสินใจใช้ลูกศรกระดูกกับธนูคันเก่าของเขา เขาต้องการดูว่าตัวเองจะสร้างความเสียหายได้มากแค่ไหนโดยที่ไม่พึ่งคุณสมบัติพิเศษของธนูคันใหม่
หลังจากที่ลองเมื่อคืน เขาเข้าใจแล้วว่าสามารถใส่พลังงาน ‘ต้นกำเนิด’ เพื่อเพิ่มพลังโจมตีกายภาพและพลังโจมตีเวทของลูกศรได้อย่างละประมาณ 100 แต้มตามลำดับ เมื่อขึ้นลูกแล้ววาห์นก็ง้างธนูออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นค่าพลังโจมตีที่เปลี่ยนแปลงผ่านตัวระบบ ดูเหมือนกับว่าการแปลงพลังงานจะใช้เวลานานกว่าเมื่อคืนซึ่งเขาคิดว่าเป็นผลมาจากการพยายามยิงลูกศรนั้นต้องใช้สมาธิมากกว่าการถือมันไว้เฉยๆ
เมื่อค่าพลังโจมตีของลูกศรใกล้จะถึง 1,000 แต้ม วาห์นก็ปล่อยลูกศรออกไปที่เป้าระยะ 10 เมตร ลูกศรที่ยิงออกไปกลายเป็นลำแสงขณะที่มันเคลื่อนผ่านอากาศและเจาะทะลุเป้าหมาย มันทะลุผ่านต่อไปอีกหลายเมตรจนกระทั่งหายเข้าไปในหมู่ต้นไม้ด้านหลัง
วาห์นรู้สึกทึ่งกับพลังของลูกศรและเริ่มยกย่องตัวเองว่าของที่เราเลือกไว้เมื่อคืนนี่ไม่ผิดหวังจริงๆ (TL: เลือกเองคนเดียวว่างั้น ไม่มีใครช่วยเลือกเลยเนอะ) เขามองไปทางที่ลูกศรไปแล้วไปลับโดยไม่คิดจะไปตามเก็บมันให้เสียเวลาและถามพี่สาวเรื่องเวลาที่ใช้ในการชาร์จลูกศรให้มีพลังสูงสุด แทนที่จะใช้เวลา 10 วินาทีแบบเมื่อคืน เขากลับใช้เวลาไปถึง 17 วินาทีซึ่งเกือบจะเป็นอีกเท่าตัว
ในการทดลองต่อไป เขาตัดสินใจใช้ธนูคันใหม่กับลูกศรแบบเก่า เขาไม่แน่ใจว่าจะใส่พลังเข้าไปในคันธนูได้เท่าไหร่ เนื่องจากพลังโจมตีของคันธนูนั้นต่ำกว่าลูกศร เขาจึงจำกัดมันไว้ที่ 100 แต้ม ลูกศรแบบใหม่นั้นมีพลังมากและเขาไม่อยากเสี่ยงให้กุญแจสู่ความสำเร็จในการทำภารกิจนั้นเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์
เขาขึ้นลูกศรลงในคันธนูและเริ่มถ่ายพลังงาน ‘ต้นกำเนิด’ ในขณะที่สังเกตการเปลี่ยนแปลงของค่าสถานะ เขาสังเกตเห็นว่าเมื่อค่าพลังโจมตีเพิ่มขึ้น การง้างคันธนูก็ยากขึ้นตามไปด้วย น่าจะเป็นเพราะคันธนูมีขนาดใหญ่กว่าลูกศร พลังงานที่ใช้จึงต้องมากขึ้นไปอีก วาห์นเริ่มกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้งานของมัน
หลังจากผ่านไป 7 วินาที ในที่สุดค่าพลังโจมตีกายภาพและพลังโจมตีเวทก็เพิ่มขึ้นเป็น 100 แต้มแล้วเขาก็ปล่อยมันออกไป ตัวลูกศรมุ่งไปที่เป้าระยะ 20 เมตรอย่างเงียบเชียบ (เป้าระยะ 10 เมตรเละไปแล้ว) เมื่อไปถึงเป้าที่ทำจากไม้ ลูกศรก็ทะลุเข้าไปประมาณสามในสี่ส่วน ดูท่ามันจะเบากว่าลูกศรก่อนหน้านี้มาก แต่ข้อดีของมันก็คือขณะที่เดินทางไปยังเป้าหมายนั้นแทบไม่มีเสียงอะไรเลย เมื่อมองลงไปยังคันธนูที่ถืออยู่ เขาสังเกตเห็นว่าอักษรรูนบนพื้นผิวของมันยังคงปล่อยแสงออกมาซึ่งทำให้เขาลองตรวจสอบมันผ่านระบบ แม้ว่าคันธนูจะต้องใช้เวลาใส่พลังงานนานกว่าลูกศรแต่ดูเหมือนว่ามันจะรักษาพลังงานได้ในระยะเวลาหนึ่งก่อนที่ค่าพลังโจมตีจะลดลงอย่างช้าๆ
วาห์นค่อนข้างรู้สึกยินดีกับการค้นพบในครั้งนี้ จากนั้นเขาก็เตรียมทำการทดสอบขั้นสุดท้ายโดยใช้ ‘ธนูสั้นไม้ยูอาบอาคม’ กับ ‘ลูกศรกระดูกอาบอาคม’ เขารู้สึกว่าไปไม่ได้เลยที่จะแบ่งสมาธิให้กับทั้งคันธนูและลูกศรพร้อมกัน (TL: เหมือนฝึกตีกลองสองมือ) ดังนั้นเขาจึงทดลองใส่พลังงาน ‘ต้นกำเนิด’ ไปยังของทั้งสองชิ้นเท่าๆ กันและดูการเปลี่ยนแปลง ลูกศรนั้นแทบจะสูญเสียพลังงานเกือบทันทีเนื่องจากอักษรรูนที่ก้านของมันแค่ทำหน้าที่เป็นตัวส่งพลังงานเข้าไปในหัวลูกศรเท่านั้น ทันทีที่การส่งพลังงานหยุดลง พลังงานที่ส่งไปแล้วก็เริ่มสลายออกอย่างรวดเร็วตามที่เขาคาดไว้ ดูเหมือนว่าความซับซ้อนของอักษรรูนบนคันธนูจะทำให้ความสามารถในการกักเก็บพลังงานนั้นสูงกว่าตัวลูกศร
เขาชาร์จคันธนูไว้ที่พลังโจมตีประมาณ 110 แต้ม ก่อนที่จะเพ่งสมาธิไปที่ลูกศรแทน หลังจากนั้นประมาณยี่สิบวินาที ลูกศรก็ถูกชาร์จจนเต็มและเขาพบว่าพลังโจมตีของคันธนูลดลงไปเพียง 8 แต้มเท่านั้น
เขาเพ่งสมาธิจนถึงขีดสุด เล็งออกไปที่เป้าระยะ 50 เมตร แล้วก็ปล่อยลูกศรออกไป เมื่อเปรียบเทียบกับการทดลองครั้งแรกที่มันออกไปพร้อมเสียงอันดัง ตอนนี้ลูกศรแล่นไปอย่างเงียบเชียบซึ่งวาห์นสันนิษฐานว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษของธนู เกือบจะในทันทีที่เขาคิดเสร็จ ลูกศรก็กระทบกับเป้าหมายและทะลุผ่านได้อย่างง่ายดาย มันผ่านออกไปด้านหลังราวกับไม่มีอะไรจะขวางมันได้และหายเขาไปในป่า
หลังจากเสร็จสิ้นการทดลอง เขาก็อุ่นเครื่องด้วยการฝึกเดินทางผ่านป่า หากเทียบกับการเดินทางผ่านป่าครั้งแรกของเขาล่ะก็ มันต่างกันดั่งกับฟ้ากับเหว เขายังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแบบเงียบเชียบราวกับไร้สิ่งกีดขวาง รอยขีดข่วนและรอยถลอกมากมายที่เขาได้รับจากการเดินป่าครั้งแรกนั้นเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องตลก
เมื่อพอใจกับผลการทดสอบทุกอย่างแล้ว วาห์นจึงตัดสินใจพักและทานอาหารเช้า แม้ว่าเขาจะยิงลูกศรไปเพียงสามดอก แต่มันก็ทำให้เกิดความรู้สึกตื้อๆ ซึ่งพี่สาวบอกว่าเขาเป็นผลมาจากการใช้ ‘มานา’ ไปในปริมาณมาก
หลังทานอาหารเช้าเสร็จเขาก็เตรียมการครั้งสุดท้ายและเริ่มมุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่ซึ่งเขามองเห็นแม่น้ำตามที่ระบุบนแผนที่ หากโชคดี เขาก็จะลาดตระเวนไปทั่วพื้นที่และกำหนดที่ตั้งของหัวหน้าเผ่าได้ก่อนที่จะเข้าโจมตี
หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที วาห์นก็ออกไปพ้นรัศมี 1 กิโลเมตร ที่อยู่รอบถ้ำของตนเอง จากนั้นไม่นานเขาก็มาถึงเขตที่ระบุไว้บนแผนที่และเริ่มชะลอความเร็วลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับ เขาเลือกสำรวจพื้นที่ราบขนาดใหญ่หรือสถานที่ที่ดูพิเศษเนื่องจากประสบการณ์ของเขากับพวกก็อบลินทำให้เขารู้ดีว่าพวกมันชอบที่จะเดินเล่นบนพื้นที่เปิดโล่ง
เขาค้นหาอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงโดยไม่พบเบาะแสอะไรเลย แต่ก็ไม่มีสิ่งมารบกวนเช่นกัน เขาจึงใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มรายละเอียดให้แผนที่ของเขาขณะที่เดินต่อไปเรื่อยๆ เมื่อมาถึงแม่น้ำที่พี่สาวสงสัยว่าเป็นที่อยู่ของหัวหน้าเผ่า เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวแบบซิกแซกในขณะที่วางกับดักเป็นระยะ
ห่างออกไป 500 เมตรจากจุดหมายของเขา ในที่สุดวาห์นก็พบกับกลุ่มก็อบลินกลุ่มแรก พวกมันสร้างค่ายเล็กๆ ใกล้กับซากต้นไม้ใหญ่ ดูจากพฤติกรรมของพวกมัน วาห์นจึงสันนิษฐานว่าพวกมันกำลังทำหน้าที่ลาดตระเวนหรือไปก็เป็นด่านหน้า การปรากฏตัวของพวกมันชี้ให้เห็นว่าความคิดของเขาเกี่ยวกับ ‘หมู่บ้าน’ หรือ ‘รัง’ ที่อยู่ใกล้เคียงนั้นมีความเป็นไปได้สูงมาก
แทนที่จะเเข้าปะทะกับพวกก็อบลินในทันที วาห์นตัดสินใจรอประมาณครึ่งชั่วโมงในขณะที่สำรวจรอบๆ ค่ายอย่างไม่เร่งรีบ ประสบการณ์ก่อนหน้าที่ถูกก็อบลินซุ่มโจมตีได้ทิ้งแผลเอาไว้ในใจของเขาและเขาต้องการดูให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งที่คาดไม่ถึงรอเขาอยู่หากล้มเหลวในการสังหารพวกมันอย่างรวดเร็ว
สัญชาตญาณของเขาพิสูจน์แล้วว่าตัวเองทำถูก เมื่อพบว่ามีก็อบลินอีกสองตัวโผล่มาสมทบกับสามตัวที่เหลือหลังผ่านไปยี่สิบนาที ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังทำการ ‘เปลี่ยนเวรยาม’ เพราะมีก็อบลินสองตัวเดินออกไปหลังจากที่ตัวใหม่เข้ามาสมทบ
เขาไตร่ตรองว่าควรจะตามทั้งสองไปหรือไม่ พอคิดดูดีๆ จึงเปลี่ยนใจเพราะไม่ต้องการปล่อยก็อบลินสามตัวที่เหลือทิ้งไว้ในเส้นทางหลบหนีของเขา เขารออีกสิบนาทีเพื่อให้ก็อบลินชุดใหม่เข้ามาประจำจุดเฝ้ายามและเพื่อเตรียมการขั้นสุดท้ายในขณะที่พวกมันไม่ทันระวังตัว
เขาใช้สกิลอำพรางตัวเพื่อเข้าไปในระยะ 15 เมตรโดยที่พวกมันไม่รู้เรื่องรู้ราว เนื่องจากพวกมันเป็นก็อบลินธรรมดาๆ เขาจึงตัดสินใจกำจัดพวกมันโดยใช้ธนูสั้นไม้ยูอันเก่า เมื่อจับเป้าหมายแรกได้ วาห์นก็ปล่อยลูกศรออกมาทันทีในขณะที่ใช้คำสั่งทางจิตเพื่อขึ้นลูกที่สองในขณะที่ลูกศรดอกแรกยังบินไปไม่ถึงเป้าหมาย ด้วยการเคลื่อนไหวที่ฝึกมาอย่างหนัก เขาง้างคันธนูและเล็งออกไปในขณะที่ลูกศรดอกแรกพุ่งทะลุผ่านเข้าเบ้าตาของเป้าหมายตัวแรก
ก็อบลินอีกสองคนหันขวับไปทางพรรคพวกและในช่วงเวลาสั้นๆ พวกมันทั้งสองก็ทำสีหน้าตกตะลึงพร้อมกับที่ลูกศรดอกที่สองกระแทกเข้าไปที่คอของเจ้าตัวที่ยืนอยู่ไกลสุด
ก็อบลินตัวสุดท้ายราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากฝันร้าย รีบหันหลังกลับและออกวิ่งพร้อมส่งเสียงร้องขึ้นไปบนฟ้า ดูเหมือนกับว่ามันพยายามขอความช่วยเหลือขณะกำลังหนีออกจากพื้นที่สังหาร น่าเสียดายที่มันหนีไปทางกับดักที่วาห์นวางไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อเจ้าก็อบลินล้มลงและพยายามลุกขึ้นเพื่อหนีต่อ ลูกศรดอกที่สามก็พุ่งไปตรึงร่างและชีวิตของมันไว้ที่ตรงนั้นทันที
วาห์นรวบรวมของที่ได้มาอย่างรวดเร็วและถอยห่างไปจากตรงนั้นประมาณ 100 เมตร เขาพยายามหาจุดเหมาะสมเพื่อใช้สังเกตการตอบสนองของก็อบลินที่กำลังมาสมทบ สิบนาทีต่อมาก็มีกลุ่มก็อบลินเก้าตัววิ่งมายังตำแหน่งที่วาห์นเพิ่งฆ่าพวกพ้องมันไปสามตัว พวกมันดูโกรธแค้นและเริ่มกระจายออกไปทั่วบริเวณเพื่อตามหาคนทำ
เพราะเขาวางกับดักหลายชนิดไว้ในพื้นที่ วาห์นรู้สึกพอใจที่เห็นก็อบลินสองตัวได้รับบาดเจ็บหนักเมื่อขาของพวกมันติดกับดักหมีเข้า นอกจากนั้นตัวอื่นๆ ก็ไปสะดุดกับดักเชือกที่เขาวางกระจายออกไปก่อนที่พวกมันจะล้มเลิกการค้นหาในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกมันทิ้งสมาชิกเอาไว้สามตัว ส่วนที่เหลือก็พาก็อบลินที่บาดเจ็บสาหัสสองตัวกลับไปตามทางที่วาห์นสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นค่ายหลัก
“ใช้เวลาแค่สิบนาทีพวกมันก็ตามมาตรวจแล้วเหรอ พี่สาว พี่สามารถวิเคราะห์ระยะทางที่กลุ่มก็อบลินสามารถวิ่งได้แล้วก็ทำเครื่องหมายพื้นที่ที่น่าจะเป็นค่ายหลักของพวกมันได้ไหม”
(*ได้สิวาห์น กำลังวิเคราะห์ข้อมูล… โปรดยืนยันพิกัดใหม่บนแผนที่*)
หลังจากยืนยันพิกัดใหม่ วาห์นก็รวบรวมกับดักที่เหลือก่อนจะเดินทางกลับบ้าน ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะจบวันแล้วและเขาต้องการกลับออกมาก่อนที่ความมืดจะเขาปกคลุมเพราะมันเป็นเรื่องไม่ฉลาดเลยที่จะเข้าปะทะกับพวกก็อบลินที่ลาดตระเวนในตอนกลางคืนเนื่องจากพวกมันมองเห็นในที่มืดได้ในระดับหนึ่ง
หลังจากถอยห่างไปประมาณ 200 เมตร วาห์นก็เกิดแรงบันดาลใจชั่วครู่และเขาก็หันหน้าไปยังทิศที่ค่ายหลักของพวกก็อบลินตั้งอยู่…
มือทั้งสองข้างเตรียมคันธนูและลูกศรเวทมนตร์ขึ้นมา จากนั้นก็เล็งและถ่ายพลังเข้าไปในลูกศรแบบเต็มกำลัง เขาปล่อยลูกศรออกไปและเฝ้าดูมันกระทบเข้ากับเป้าหมาย หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ถอยห่างออกมา
ในฝั่งของก็อบลินนั้นต่างรู้สึกตื่นตัวและรอคอยการปรากฏกายของศัตรูที่ลอบโจมตีค่ายของพวกมัน พวกมันกระจายกันออกไปเล็กน้อยและเคลื่อนที่ไปรอบๆ เพื่อตรวจหาเสียงหรือการเคลื่อนไหวน่าสงสัย ก็อบลินตัวที่ใหญ่ที่สุดในหมู่พวกมันถึงกับปีนซากต้นไม้เพื่อจะได้เฝ้าดูจากที่สูง เมื่อมองเข้าไปในที่ไกลๆ มันก็เห็นประกายสีทองที่ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่มันจะเข้าได้ว่านั่นคืออะไร ความมืดก็เข้าปกคลุมจิตใจในขณะที่แสงสีทองทะลุผ่านสมองของมันไป…
—————