Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 134
วาห์นตื่นขึ้นมาในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยอาการมึนงง
เมื่อวานนี้มีแต่เรื่องเครียดๆ และกดดันอยู่ตลอด ซึ่งแม้เขาจะฟื้นเรี่ยวแรงและพลังจนเต็มแล้ว แต่จิตใจของก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ดี
พอเขาลุกขึ้นจากเตียงและมองกลับมาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเฮเฟสตัสไม่อยู่แล้ว
เขารู้สึกเสียใจนิดๆ แต่ก็คิดว่าเธอน่าจะมีเรื่องที่ต้องไปจัดการและคงไม่อยากปลุกเขา
เนื่องจากยังไม่มีแผนสำหรับวันนี้ วาห์นจึงอยากดูให้แน่ใจว่าทุกอย่างในบ้านราบรื่นดี
เขารู้สึกผิดกับการปล่อยให้อนูบิสเป็นคนจัดการทุกอย่างเมื่อวานนี้ บวกกับการที่เขาเป็นคนจัดตารางเวลาฝึกแต่กลับไม่ว่างเสียเอง
ในฐานะ ‘จ่าฝูง’ เขาจำเป็นต้องรักษาคำพูดให้ได้มากที่สุดไม่งั้นมันอาจจะกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต
พอออกมาจากห้อง วาห์นก็เกือบจะสะดุดล้มเมื่อพบเข้ากับอนูบิสที่ยืนรอเขาอยู่หน้าห้อง
เธอทำราวกับไม่เห็นความซุ่มซ่ามของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ นายท่าน”
เธอโค้งคำนับให้หลังจากพูดเสร็จขณะที่วาห์นกล่าวทักทายกลับไป
เขาสังเกตเห็นว่าแม้จะทักทายกลับไปแล้ว แต่อนูบิสก็ยังก้มหัวต่อไปเรื่อยๆ จนเขาต้องยื่นมือออกมาลูบมัน
พอมือของเขาสัมผัสเข้ากับใบหูนุ่มฟู หางของอนูบิสก็เริ่มแกว่งไปมาก่อนที่วาห์นจะค่อยๆ ดึงมือออก
พอได้สิ่งที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว อนูบิสก็ยิ้มนิดๆ ก่อนจะแจ้งข่าวให้วาห์นทราบ
“ท่านเฮเฟสตัสกลับไปแล้วนะคะ แต่เธอฝากข้อความไว้ให้กับนายท่านด้วย
เธอบอกว่าจะไปเตรียมการบางอย่าง และขอให้นายท่านเร่งพัฒนาฝีมือตีเหล็กให้เร็วที่สุดค่ะ”
พอนึกถึงภาพเฮเฟสตัสในสภาพหน้าแดงก่ำมาเชียร์ให้เขาเร่งมือ หัวใจของวาห์นก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินไปยังลานฝึกอบรมที่วาห์นกำหนดให้อยู่ที่ด้านทิศเหนือของที่พัก
พวกเด็กๆ นั้นตื่นขึ้นมาแต่เช้าตามเวลาที่เขาบอกอย่างพร้อมเพรียง และตอนนี้ก็กำลังรอการมาถึงของวาห์นในท่านั่งคุกเข่า
เมื่อวาห์นมาประจำที่ด้านหน้า พวกเขาจึงโค้งคำนับและตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“อรุณสวัสดิ์ครับ/ค่ะ นายท่าน!”
วาห์นได้แต่ถอนหายใจข้างในและพยักหน้าอย่างมั่นใจก่อนจะคำนับเด็กๆ กลับไป
เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เงยหน้าขึ้นแล้วก็เตรียมตัวให้พร้อม
ฉันจะสอนวิธีการปรับปรุงฟุตเวิร์คให้พวกเธอ รวมไปถึงทักษะที่มีชื่อว่าเทคนิค ‘การต่อสู้ระยะประชิด’ ด้วย
ฉันรู้มาคร่าวๆ แล้วว่าทุกคนแข็งแกร่งประมาณไหน แต่จากนี้ไปพวกเราจะทำการฝึกซ้อมเพื่อสร้างความคุ้นเคยในการต่อสู้จริง”
วาห์เห็นว่าเด็กๆ กำลังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง เขาจึงพยักหน้าและพูดต่อ
“อย่างที่ฉันพูดไว้ก่อนหน้านี้ พวกเธอสามารถใช้เวลาได้อย่างอิสระหลังจบช่วงฝึก
แต่ฉันขอห้ามไม่ให้ใครเข้าไปในดันเจี้ยนคนเดียวโดยที่ไม่บอกฉันหรืออนูบิสไว้ก่อน
พวกเธอมีประสบการณ์การทำงานเป็นทีมอยู่แล้ว ดังนั้นฉันจึงมั่นใจว่าทุกคนจะสามารถเติบโตได้เร็วขึ้นหลังจากจบการฝึกฝน
เป้าหมายของพวกเธอน่าจะเป็น…”
วาห์นหยุดไปครู่หนึ่งและจ้องมองดวงตาที่เปล่งประกายของเชียนโธรปน้อยแต่ละคน
หลังจากกวาดตามองไปทั่วแล้ว เขาก็พูดต่อ
“เลเวล 5”
เด็กๆ ต่างรู้สึกประหลาดใจกับคำประกาศของเขา
แม้แต่อนูบิสเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตั้งเป้าหมายแรกไว้ ‘สูง’ เหลือเกิน
เมื่อสังเกตเห็นความงุนงงของทุกคน วาห์นก็เริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันได้พบกับเหล่านักผจญภัยเลเวล 5 มากมายที่มีอายุไล่เลี่ยกับพวกเธอแถมนับวันพวกเขาก็ยิ่งแกร่งขึ้นอีกเรื่อยๆ
ทุกคนพยายามอย่างหนักและฉันคิดว่าพวกเขาน่าประสบความสำเร็จมากกว่านี้ในอนาคต
หากแค่ฝันถึง ‘เลวลต่อไป’ พวกเธอก็จะไม่มีวันก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้
จงมีความมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นในการฝึกฝน และอย่าหยุดพยายามเพื่อทำให้ได้ตามเป้า”
อนูบิสเผยแววตาครุ่นคิด แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นก็ไม่อาจปกปิดความซาบซึ้งต่อคำพูดของวาห์นได้
เด็กๆ แต่ละคนเริ่มจ้องมองเขาด้วยสายตาลุกโชนขณะที่ตะโกนออกมาสุดเสียง
“ครับ/ค่ะ นายท่าน!!!”
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตื่นเต้นมากจนหางส่ายไปมาอย่างแรงและอยากจะเริ่มซ้อมเต็มแก่แล้ว
วาห์นยิ้มอย่างภูมิใจขณะค่อยๆ ปลดปล่อยพลังเขตแดนและแปลงเป็นร่างพยัคฆ์ขาว
เนื่องจากเขาไม่ได้ผสานหรือใส่เจตนาเข้าไปในเขตแดน พวกเด็กๆ จึงยังสัมผัสถึงมันไม่ได้
แต่ทว่าดวงตาของอนูบิสกลับเริ่มเปล่งประกายราวกับแสงจันทร์ขณะสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเขา
เธอคิดเหมือนกับเฮเฟสตัสและโลกิที่สงสัยว่าวาห์นใช้ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ ได้ และทำให้ยิ่งอยากติดตามเขาต่อไปเรื่อยๆ
ในขณะที่วาห์นกำลังเตรียมตัวเพื่อฝึกสอน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนในหัวจนเสียหลักไปเล็กน้อย
ระบบแจ้งให้เขาทราบว่าค่าความภักดีของอนูบิสได้ขึ้นมาถึง 98 แต้มแล้ว และเขาสังเกตเห็นว่าเธอกำลังมองมาด้วยสายตาที่ไม่ต่างไปจากพวกเด็กๆ เลย
เขาจ้องกลับไปและพูดขึ้นอย่างช้าๆ
“แล้วเธอล่ะ? จะฝึกด้วยหรือว่าจะดูอยู่ด้านข้าง? “
อนูบิสส่ายหัวขณะยิ้มตอบและพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข
“แค่ได้ดูอยู่ข้างๆ ก็ดีมากแล้วค่ะ
หากต้องการความช่วยเหลือ โปรดบอกฉันมาได้เลยนะคะ นายท่าน”
จากนั้นเธอก็โค้งคำนับเล็กน้อยและเดินห่างออกไปในขณะที่วาห์นได้แต่มองตามหางที่ส่ายไปมา
วาห์นพบว่าลักษณะเฉพาะของเผ่าเชียนโธรปนั้นน่าสนใจและมองแค่ไหนก็ไม่เบื่อ
พอเห็นหางฟูนุ่มตรงสะโพกงามของอนูบิส เขาก็ต้องกลืนน้ำลายไปบ้างก่อนคิดในใจว่าอยากจะไปลูบมันเล่นเหลือเกิน
หูของอนูบิสกระตุกราวกับสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง ขณะที่เธอหันกลับมามองวาห์นและถามขึ้น
“นายท่านอยากจะจับหางของฉันเหรอคะ?”
แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่อนูบิสรู้สึกเหมือนสัญชาตญาณของเธอกำลังบอกว่าวาห์นมีความคิดอยากจะทำแบบนั้น
มันทำให้ใจของเธอสั่นไหวเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยสีหน้าคาดหวัง
คิ้วของวาห์นเลิกขึ้นสูงขณะที่เขากระแอมแก้เขินก่อนจะตอบกลับ
“ฉันต้องฝึกเด็กๆ แล้วนะ ตอนนี้ยังไม่มีเวลามาทำแบบนั้นหรอก”
เพราะต้องมาแก้ตัวอย่างรวดเร็ว เขาจึงพูดผิดไปนิดซึ่งอนูบิสก็ไม่พลาดเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
หางของเธอเริ่มแกว่งไปมาอย่างรวดเร็วขณะที่เธอป้องปากหัวเราะและพูดต่อ
“เอาไว้… ตอนที่มีเวลาก็แล้วกันนะคะ”
คำพูดของเธอทำให้หัวใจของวาห์นเต้นแรงขึ้น แต่เขาก็พยายามเก็บมันไว้ก่อนและเริ่มการฝึกให้กับพวกเด็กๆ
อย่างที่เขาคาดไว้เลย เด็กแต่ละคนนั้นมีร่างกายที่ผอมบางและยืดหยุ่นมาก
วิธีการต่อสู้แบบดั้งเดิมของพวกเขานั้นเน้นหนักไปที่การพึ่งพาสัญชาตญาณและประสาทสัมผัส
นี่คือเหตุผลที่วาห์นใช้ร่างพยัคฆ์ขาวตั้งแต่แรก เพราะร่างที่มีคุณสมบัติคล้ายกันจะช่วยให้วาห์นสอนได้ดีขึ้น
อาจเป็นเพราะอายุยังน้อย แต่พวกเด็กๆ นั้นซึมซับความรู้ได้เร็วมากและเข้าใจถึงหลักการฝึกต่างๆ ได้อย่างว่องไว
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นยอดกำแพงเมืองพร้อมกับใกล้เวลาอาหารเช้า ทุกคนก็จดจำรูปแบบท่าพื้นฐานได้ครบหมดแล้ว
วาห์นสรุปได้ว่าพวกเขาตั้งใจฝึกมากและมักจะช่วยเหลือกันเมื่อมีคนทำผิดพลาด
อีกเรื่องหนึ่งก็คือพวกเขามีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น แต่ก็ไม่เคยทำอะไรที่เป็นการละเมิดระบบลำดับชนชั้นเลย
ราซุยและมาอัตใส่ความพยายามในการฝึกมากกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อไหร่ก็ตามที่คนอื่นๆ มีข้อสงสัย พวกเขาก็จะมาถามสองนี้ก่อนเป็นอันดับแรก
ราซุยและมาอัตจะพยายามอธิบายอย่างเต็มที่ แต่ถ้าคำถามมีความซับซ้อนเกินไป ทั้งสองก็จะมาถามวาห์นก่อนที่จะนำข้อมูลกลับไปกระจายอีกต่อ
วาห์นสังเกตเห็นว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอด เว้นแต่ว่าเขาจะเข้าไปช่วยดูให้เป็นการส่วนตัวเท่านั้น
เขาเริ่มจะเข้าใจความสำคัญของลำดับชนชั้นแล้ว รวมไปถึงความเคารพของเด็กๆ ที่มีต่อ ‘จ่าฝูง’ ด้วย
หลังจากฝึกเสร็จ ทุกคนก็รับประทานอาหารเช้าด้วยกันตามปกติ
สิ่งที่แตกต่างไปจากครั้งที่แล้วก็คือได้มีการเปลี่ยนมานั่งโต๊ะเตี้ยแทนการนั่งกับพื้นแล้ว
ทุกคนช่วยประสานงานกันเพื่อให้แน่ใจว่าต่างได้รับอาหารครบ ก่อนที่จะรอวาห์นสั่งให้เริ่มทานได้
วาห์นรู้สึกแปลกๆ ที่ทุกคนต้องมาพึ่งพาคำสั่งของตน แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำมากขึ้น
เมื่อทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ช่วยกันเก็บโต๊ะก่อนจะไปทำความสะอาดจานชาม
ทุกคนต่างมีบทบาทเป็นของตัวเอง และเพราะประสานงานกันได้ดีมาแต่ไหนแต่ไหน พวกเขาจึงทำทุกอย่างเสร็จภายในเวลาอันสั้น
วาห์นยังคงเฝ้ามองพวกเด็กๆ อย่างสนใจขณะที่อนูบิสเข้ามาอยู่ตรงด้านซ้ายอย่างที่ทำประจำ
วาห์นสังเกตเห็นว่านอกจากสถานที่จะไม่เอื้ออำนวย อนูบิสจะเข้ามายืนตรงด้านซ้ายของเขาเสมอ
พอเขาสอบถามเรื่องนี้ เธอก็ตอบกลับมาว่าในฐานะข้ารับใช้ มันเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องมายืนเคียงข้างเขาอยู่ตลอด
และพอถามต่อไปอีกว่าทำไมเธอถึงไม่มายืนด้านขวาบ้าง อนูบิสก็ยิ้มให้ก่อนที่จะอธิบายว่าด้านขวานั้นถือเป็นที่สำหรับภรรยาของเขาเท่านั้น
เมื่อเห็นสีหน้าของเธอ วาห์นก็รู้สึกได้ถึงอันตรายในขณะที่รีบหันหลังและเริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้
เขาเคยคิดว่า ‘คู่รัก’ ต้องเป็นคนที่แต่งงานกันแล้วเท่านั้น แต่หลังจากมีคนรักหลายคน ตอนนี้เขาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องการแต่งงานมากนัก
แม้เขาจะได้เรียนรู้จากริเวเรียว่าการมีภรรยาหลายคนนั้นเป็นเรื่องปกติของทวีปอีเดน แต่เขาก็ยังไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังมาก่อนเลย
ตอนนี้วาห์นพยายามรักษาสมดุลระหว่างหลายๆ ความสัมพันธ์ เขาจึงต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังสำหรับอนาคต
หลังจากที่เด็กๆ ทำความสะอาดเสร็จหมดแล้ว วาห์นก็ปล่อยพวกเขาให้ไปใช้เวลาว่างได้ตามอัธยาศัย
เด็กๆ แยกตัวออกไปเป็นกลุ่มเล็กๆ ตามที่เขาเดาไว้เลย
พวกเขาเดินทางออกจากที่พักหลังได้รับเงินค่าขนมจากอนูบิส
วาห์นทิ้งเงินไว้ให้เธอมากพอควร และดูเหมือนเธอจะน้อมรับหน้าที่จัดการดูแลและแจกจ่ายเงินอย่างจริงจัง
เมื่อเด็กสองกลุ่มๆ ละสามคนจากไปแล้ว วาห์นก็มองอย่างประหลาดใจมาทางเด็กคนสุดท้าย
“นานู เธอไม่ออกไปกับคนอื่นเหรอ?”
เด็กสาวที่ยังคงอยู่ที่นั่นก็คือคือนานู หนึ่งในสองสาวผู้เคราะห์ร้ายที่วาห์นเอาลูกศรไปปักนั่นเอง (TL: เออ เคยเห็นแต่เอาธงไปปัก ไอ้นี่มาแปลก)
เขามักจะรู้สึกผิดทุกครั้งเวลาที่เห็นเธอกับชีโอน
ในกลุ่มเด็กผู้หญิงทั้งสามคน นานูเป็นเด็กที่ตัวเล็กที่สุดและสูงประมาณ 130 ซม. มีผมทรงบ๊อบสั้นสีน้ำตาลเข้มซึ่งดูเข้ากับใบหน้าของเธอมาก
เธอมีผิวสีน้ำตาลมะกอกเหมือนกับชนเผ่าทางใต้คนอื่นๆ เช่นเดียวกับขนหางที่ฟูฟ่อง หูแหลม และดวงตาสีกุหลาบ
เมื่อได้ยินคำถามของ วาห์น เธอก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยราวกับไม่กล้ามองเขาตรงๆ
แต่แล้วเธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเขาด้วยความเคารพในขณะที่ตอบคำถามเมื่อกี้
“ฉันถูกขอให้มาช่วยงานของนายท่านค่ะ
ฉันเองก็มีสกิล [ช่างตีเหล็ก] และได้รับการสอนสั่งจากท่านสึบากิมาบ้างแล้วค่ะ
เธอบอกให้ฉันมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้กับนายท่านและพัฒนาทักษะของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ”
วาห์นไม่คิดเลยว่าหนึ่งในพวกเด็กๆ จะมีสกิล [ช่างตีเหล็ก] และตัดสินใจที่จะตรวจสอบความสามารถของคนอื่นๆ ในภายหลัง
เนื่องจากอนูบิสเป็นเทพธิดาของแฟมิเลียนี้มาก่อน เธอคงมีข้อมูลอยู่แล้วและไม่น่าจะปฏิเสธคำขอของเขา
วาห์นไม่บอกปัดความช่วยเหลือของนานู เพราะมันจะขัดกับคำพูดของเขาที่บอกให้เด็กๆ ใช้เวลาว่างได้อย่างอิสระ
หากนานูต้องการที่จะเป็นช่างตีเหล็กในอนาคตและตัดสินใจว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือการมาผู้ช่วย เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเธอ
ราวกับว่ามีการทำนายเอาไว้ล่วงหน้า เพราะจู่ๆ ก็มีผู้คนมากมายโผล่มาที่หน้าบ้านของวาห์น
ด้วยความสงสัย เขาจึงเดินผ่านลานกว้างและสังเกตเห็นเทพธิดาผมสีแดงกำลังพูดออกคำสั่งกับคนกลุ่มนี้
ประสบการณ์เมื่อวานนั้นทำให้เฮเฟสตัสตัดสินใจทำอะไรบางอย่างโดยเริ่มจากการรวบรวมทัพยากรกับวัตถุดิบมากมายและนำมันมาส่งที่โรงหลอมของวาห์น
เนื่องจากตอนนี้เขาไม่สามารถเข้าไปในดันเจี้ยนและหาเงินมาเพิ่มได้ เธอจึงต้องการทำให้แน่ใจว่าเขามีทรัพยากรมากพอโดยที่ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
วาห์นเริ่มเดินเขามาใกล้ และพอเฮเฟสตัสเห็นแบบนั้นก็เริ่มมีอาการหน้าแดงก่อนจะหันหน้าหนีไป
วาห์นรู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยาและการที่เธอพยายามหลบหน้า เขาจึงเข้ามาใกล้ขึ้นอีกเลยเอ่ยถาม
“เฮเฟสตัส ทั้งหมดนี่มันอะไรกันเหรอ?”
พอได้ยินคำพูดของเขา เฮเฟสตัสก็ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเหลือบมองหน้าของเด็กหนุ่มและตอบกลับไป
“เป็นวัตถุดิบเพื่อช่วยให้นายพัฒนาฝีมือได้เร็วขึ้นไง แล้วถ้ารู้ว่าแอบไปอู้ล่ะก็… โดนแน่
นับต่อจากนี้ ถ้าไม่ได้วางแผนว่าจะไปไหนและไม่ได้บอกสึบากิล่วงหน้า นายก็จะต้องอยู่ที่นี่ยกเว้นแค่ตอนวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น
ถ้าว่างเมื่อไหร่ ฉันก็จะแวะมาดูความคืบหน้าของนาย”
หลังจากที่พูดจบ เฮเฟสตัสก็สั่งให้กลุ่มชายร่างยักษ์นำวัตถุดิบต่างๆ เข้าไปข้างในขณะที่หันไปออกคำสั่งกับคนอีกกลุ่มเพื่อจัดแจงเวรเฝ้ายามและติดตั้งข่ายคุ้มกัน
ทรัพยากรที่เธอเอามาให้วาห์นนั้นน่าจะมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านวาลิส ซึ่งมากพอที่จะตกเป็นเป้าของพวกหัวขโมยด้วยแน่นอน
ดังนั้นเธอจึงต้องหาคนมาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยในบริเวณนี้ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเฮเฟสตัสและสิ่งที่เธอบอกกับเขาไปเมื่อกี้นี้ วาห์นก็ได้แต่ยืนมองเธอจัดการเรื่องต่างๆ อยู่ด้านข้าง
เขาคิดว่าเธอน่าจะทำตัวให้ผ่อนคลายกว่านี้ และตัดสินใจที่จะช่วยเธออีกครั้งในอนาคตอันใกล้ (TL: ^0^)