Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 146
‘เด็กสาว’ ที่ชื่อเอวานเจลีน นั่งลงด้านหน้าวาห์นด้วยสีหน้าโล่งอกพร้อมกับพูดขึ้น
“แน่นอน เพราะเรื่องนี้ฉันเป็นฝ่ายผิดเต็มๆ ดังนั้นฉันจะเริ่มก่อน นอกจากว่านายอยากจะพูดก่อน?”
ดวงตาสีฟ้าจ้องมองวาห์นแบบไม่กะพริบ และเขาก็เห็นว่าความเย็นยะเยือกของเธอได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว
วาห์นคิดอยู่ครู่หนึ่งขณะปิดตาก่อนจะถามขึ้น
“ร่างจริงของเธอคือร่างไหนกันแน่?”
เมื่อได้ยินคำถามนั่น เอวานเจลีนก็ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยขณะเริ่มอธิบาย
“นี่เป็นร่างที่แท้จริงของฉัน ร่างผู้ใหญ่นั่นจำเป็นต้องใช้มานาเพื่อคงสภาพเอาไว้”
วาห์นพยักหน้าเพราะเขาสังเกตเห็นว่าขณะที่เธออยู่ในร่างเด็ก ออร่าของเธอดูจะเสถียรกว่าเดิมมาก
เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเชิงถาม
“เธอบอกว่าเป็นแวมไพร์ นั่นเป็นสาเหตุที่เธอพยายามดูดเลือดของฉันใช่ไหม?”
เอวานเจลีนได้ยินเขาพูดถึงเรื่องเลือด และเธอก็ค่อนข้างประหลาดใจที่เขายกประเด็นนี้ขึ้นมาด้วยท่าทางเฉยๆ เพราะมันน่าจะเป็นหัวข้อต้องห้ามสำหรับตัวเขาเอง
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและอธิบายต่อ
“ใช่ ตั้งแต่ที่กลายมาเป็นแวมไพร์ ฉันก็สามารถดูดซับพลังงานที่บรรจุอยู่ในเลือดของคนอื่นได้
แต่ฉันไม่จำเป็นต้องดื่มเลือดตลอดเวลาหรอกนะ เพราะฉันเป็น ‘ชินโซ’ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ‘แวมไพร์สายเลือดแท้’
แต่ว่าด้วยสภาพปัจจุบัน ฉันไม่มีวิธีอื่นที่จะฟื้นฟูพลังเวทของตัวเองอยู่เลย
ฉันจึงหวังที่จะใช้เลือดของนายเป็นการทดแทน ขณะที่นายค่อยๆ พัฒนาทักษะการต่อสู้กับฉันไปเรื่อยๆ”
วาห์นวิเคราะห์ตามคำพูดของเธอและมันก็ฟังดูสมเหตุสมผลมาก
เนื่องจากเธอไม่มีร่างกายภาพที่แท้จริง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะฟื้นมานาได้เอง
แถมมิตินี้ก็ไม่มีอะไรอยู่เลย ดังนั้นโอกาสที่เธอจะหาอาหารหรือทรัพยากรต่างๆ มาช่วยฟื้นฟูพลังงานนั้นดูแทบเป็นไปไม่ได้
ขณะที่เขากำลังคิด เอวานเจลีนก็ถามเสียงต่ำ
“ฉันขอถามได้ไหมว่าทำไมนายถึงได้โกรธขนาดนั้นหลังจากที่ฉันเข้ามาดูดเลือด?
ที่นายบอกว่าไม่อยากเป็นเครื่องมือของคนอื่นอีกแล้วน่ะ…”
เมื่อเห็นท่าทางโศกเศร้าบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ วาห์นก็ถอนหายใจแรงๆ และเริ่มอธิบายเรื่องราวในอดีต
เขาไม่สามารถบอกความจริงทั้งหมดกับเธอได้ แต่ก็บอกไปในลักษณะที่ใกล้เคียงมากที่สุด
ขณะที่เขาเล่า เธอก็นั่งฟังอย่างเงียบๆ และเขาสามารถมองเห็นอารมณ์ต่างๆ ของเธอได้เช่นความโศกเศร้า ความหดหู่ และความเจ็บปวดจากอดีต
วาห์นนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเธอตอนที่เล่าถึง ‘การถูกเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์’ และเขาก็พบว่าเธอเองก็มีสีหน้าโศกเศร้าเช่นกัน
หลังจากเขาเล่าจบ เอวานเจลีนก็เผยสีหน้าเศร้าๆ ขณะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นายรู้ไหมว่าพวกเราคล้ายกันมาก?
ฉันเองก็ตกเป็นเหยื่อของคนบ้าคลั่งที่อยากทำการทดลองเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะ ซึ่งไม่ต่างไปจากพวกที่ทำการทดลองกับนายและเลือดของนายเท่าไหร่
ในวันเกิดครบ 10 ขวบของฉัน ไอ้ชั่วนั่นใช้เวทมนตร์ที่ทรงพลังมากและเปลี่ยนร่างกายของฉันให้กลายเป็นชินโซแวมไพร์
หลังจาก ‘ตื่นขึ้นมา’ พร้อมกับอาการบ้าคลั่ง ฉันก็เผลอไปสังหารข้ารับใช้คนหนึ่งในปราสาทเข้าและหนีออกมาด้วยความตกใจ”
วาห์นมองเห็นน้ำตาที่ปริ่มๆ อยู่ในดวงตาสีฟ้าขณะที่เธอเล่าต่อ
“ตอนแรกฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำให้ฉันกลายเป็นแวมไพร์ แต่ต่อมาก็พบว่าคนๆ นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘จอมเวทต้นกำเนิด’
เขาเป็นจอมเวทที่ฉลาดอีกทั้งยังทรงพลังมากและกำลังพยายามไขความลับของความเป็นอมตะเพื่อที่ตัวเองจะได้กลายเป็น ‘ผู้คงอยู่ตลอดกาล’
ฉันเองก็เป็นแค่หนึ่งในตัวทดลองของเขาเท่านั้น และเหตุผลเดียวที่เขาเลือกฉันมาก็เพราะฉันดูเหมือนกับตุ๊กตา…”
เธอวางศีรษะลงบนเข่าขณะกอดขาของตัวเองแน่นขึ้นก่อนจะพูดด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อย
“แค่เพราะเหตุผลบ้าๆ นั่น ชีวิตของฉันก็เลยป่นปี้หมด
ฉันต้องหนีออกจากบ้านและใช้เวลาหลายร้อยปีไปกับการถูกตราหน้าว่าเป็นสัตว์ประหลาด
ถ้าร่างกายไม่ได้เป็นอมตะ ฉันก็คงจะตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
และถ้าฉันตายได้จริงๆ มันก็คงจะดีกว่าการต้องมาทนทุกข์ทรมานจากผู้คนที่คอยตามล่า
มันเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพลังเวทของฉันเพิ่มขึ้นจนถึงขอบเขตที่น่าหวาดกลัว และแล้วฉันก็หลุดพ้นจากการถูกตามล่าได้สำเร็จ
แต่แม้จะค้นคว้าไปมากเท่าไหร่หรือแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน ฉันก็ไม่อาจทำลายคำสาปนี่ได้สักที”
หลังจากพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นจากเข่าและจ้องมาหาวาห์นด้วยดวงตาที่เปียกชื้น
“ขอโทษนะ ถ้าฉันทำให้นายรู้สึกเหมือนต้องมาเจอกับคนที่เราทั้งคู่เกลียดชัง
ฉันใช้เวลายาวนานอยู่ในมิติแห่งนี้โดยมีแค่ความทรงจำและความเสียใจเท่านั้น
ฉันเอาแต่คิดหาสาเหตุที่ถูกร่างต้นแบบทิ้งเอาไว้ในลูกแก้วนี่อย่างเดียว
ฉันคุยกับคนอื่นไม่เก่ง แล้วก็ยังต้องการเลือดเพื่อกักเก็บพลังเวทเอาไว้ใช้ในการต่อสู้ต่อๆ ไปด้วย…”
วาห์นรู้สึกแย่มากหลังจากที่ได้ฟังเธอเล่าเรื่องอดีตอันแสนยาวนาน
เมื่อเทียบกับสิบสี่ปีที่เขาต้องเจอ ประสบการณ์หลายร้อยปีของเธอนั้นทำเอาเรื่องของเขาดูเล็กจ้อยไปเลย
แม้ว่าเขาจะยังหลบหนีจากฝันร้ายในอดีตไม่ได้แบบเต็มร้อย แต่อย่างน้อยเขาก็เข้าใจและเห็นใจสถานการณ์ของเธอมากขึ้น
วาห์นพยายามส่งยิ้มให้เธอ แต่เขาก็ยังทำได้ไม่ดีนักซึ่งทำให้มันดูบิดเบี้ยวไปบ้าง
เมื่อเห็นสีหน้าระส่ำระส่ายของวาห์น เอวานเจลีนก็ตระหนักว่าเขาคงยังยกโทษให้เธอง่ายๆ ไม่ได้
เขาจะอภัยให้หรือไม่นั้นไม่เรื่องสำคัญสำหรับเธอ แต่การถูกเด็กหนุ่มมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ชอบทรมานคนอื่นก็ทำให้เธอสลดไปเหมือนกัน
เธอซุกหน้ากลับลงไปในเข่าและพยายามตั้งสติให้มากกว่าเดิม
หลังจากผ่านไปนาทีกว่าๆ เธอก็ได้ยินวาห์นถามขึ้น
“ถ้าฉันให้เลือดกับเธอ เธอจะช่วยฝึกฉันต่อไปหรือเปล่า?”
เอวานเจลีนรู้สึกประหลาดใจและยกศีรษะขึ้นมาพบกับความกังวลในแววตาของวาห์น
แม้ว่าจะยังกลัวเธออยู่ แต่เขาก็ยังแสดงความเป็นห่วงเมื่อเห็นเธอดูเศร้าลง
เอวานเจลีนรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ขณะพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ
“จะลองดูก็ได้ แต่ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับระบบเวทมนตร์ของนายเลยนะ
พลังงานที่เราใช้ดูเหมือนจะมีรากฐานที่ต่างกันมาก แถมนายก็ไม่เข้าใจเรื่องคาถาเวทมนตร์หรือแม้แต่วิธีการสร้างวงแหวนเวทมนตร์เลยด้วย
ก่อนที่จะได้ลูกแก้วมานี่นายไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย?”
วาห์นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบาย
“ฉันอาศัยอยู่ในทวีปอีเดนแล้วก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะอธิบายยังไงต่อ
แต่ฉันได้รับลูกแก้วของเธอมาหลังจากฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่หลวงและได้มันมาเป็นรางวัล
คำอธิบายพูดถึงสกิลที่มีชื่อว่า ‘มาเกียเอเรเบีย’ และมันก็น่าจะเข้ากันได้กับระบบพลังที่ฉันใช้
แม้ว่าโครงสร้างเวทมนตร์ของเราจะแตกต่างกันมากก็เถอะ”
ในฐานะคนที่ต้องเป็นผู้สอน ‘มาเกียเอเรเบีย’ เอวานเจลีนจึงรู้ดีว่านั่นเป็นเหตุผลที่เขาเข้ามาในนี้ แต่เรื่องราวของเขาก็ยังไม่ตอบโจทย์ที่เธอต้องการ
แม้ว่าจะเขามีร่างแปลงและใช้เขตแดนเวทมนตร์ได้ แต่พวกมันก็แตกต่างจากเวทมนตร์บนโลกที่เธอรู้จักอย่างสิ้นเชิง
เธอเริ่มสงสัยแล้วว่าวาห์นน่าจะมาจากเส้นเวลาที่แตกต่างออกไป หรือไม่ก็มาจากมิติย่อยที่เผลอมาซ้อนทับกับอาณาจักรเวทมนตร์
หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ เอวานเจลีนก็ตัดสินใจบางอย่างซึ่งจะเปลี่ยนพื้นฐานการต่อสู้ของวาห์นจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลย
เธอมองมาทางเขาและถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นายอยากมาเป็นลูกศิษย์ของฉันไหม? ถ้ายอมตกลง ฉันจะสอนพื้นฐานของระบบเวทมนตร์ของฉันให้และจะพยายามเพิ่มคุณสมบัติให้นายสามารถเรียนรู้ ‘มาเกียเอเรเบีย’ ของฉันได้ด้วย
ถึงร่างกายของนายดูเหมือนจะเข้ากับมันได้ดี แต่มันก็ไม่สำคัญเลยหากนายไม่สามารถรักษาเสถียรภาพของเวทมนตร์บทนี้เอาไว้ได้”
วาห์นยิ้มและรู้สึกขอบคุณกับการเปลี่ยนแปลงของเธอเอามากๆ
เขาอยากจะเรียนวิธีการร่ายเวทอยู่เหมือนกัน และเอวานเจลีนเองก็ดูเหมือนจะเป็นจอมเวทที่มีดวงวิญญาณระดับ 4 หรือเหนือกว่านั้นซะอีก
เขาไม่รู้เรื่องขอบเขตพลังของเธอ แต่รู้ว่าหากยอมรับข้อเสนอนี้ล่ะก็ ฝีมือและความแข็งแกร่งของเขาก็คงจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะกำลังจะตอบตกลง วาห์นก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเธอ
“งั้นเธอก็ต้องดูดเลือดของฉันด้วยใช่ไหม?”
เอวานเจลีนสะดุ้งกับคำถามของเขาเล็กน้อย แต่พอเห็นสีหน้าที่ยังเหมือนเดิม เธอก็พยักหน้ารับ
“ถูกต้อง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ฉันสอนวิชาให้ ฉันจำเป็นต้องดูดเลือดของนายนิดหน่อยเพื่อประคองพลังเวทเอาไว้
โชคดีที่พลังงานภายในเลือดของนายบริสุทธิ์มากและสูงจนน่าตลก
เรื่องการฟื้นฟูมานาของฉันก็คงจะใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่หรอก…”
แม้ว่าความคิดที่จะต้องถูกดูดเลือดนั้นทำให้วาห์นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่หากทำไปด้วยความสมัครใจของเขาเองล่ะก็ มันก็คงจะไม่แย่เท่าไหร่
เขานึกถึงความรู้สึกอุ่นๆ ที่แพร่กระจายไปทั่วร่างในเวลานั้นและถามต่อ
“ก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอดูดเลือดของฉันมันทำให้รู้สึกแปลกๆ อยู่นะ
ความรู้สึกนั่นมันคืออะไรเหรอ?”
วาห์นถามออกไปเพราะเขาอยากรู้จริงๆ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าปฏิกิริยาของเอวานเจลีนจะแปลกเสียยิ่งกว่าแปลก
เธอมีท่าทางตรงกันข้ามกับตอนก่อนหน้านี้ ขณะที่ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นและพูดตะกุกตะกัก
“นะ-นั่นเป็นแค่ผลข้างเคียงตอนแวมไพร์ดูดเลือดน่ะ
เพื่อทำให้เหยื่อไม่แตกตื่น เขี้ยวของพวกเราจะหลั่งของเหลวเวทมนตร์ที่ทำให้เหยื่อรู้สึกดีแทน
บางคนก็เรียกมันว่าเป็นยาสเน่ห์ของแวมไพร์…”
เหตุผลที่เอวานเจลีนโจมตีวาห์นจากด้านหลังก็เพราะเธอไม่ชอบการดูดเลือดจากด้านหน้าหากเลี่ยงได้
เมื่อเห็นท่าทางเคลิ้มของเหยื่อตรงหน้า เธอก็มักจะรู้สึกขวัญเสียอยู่ตลอด
เมื่อเทียบกับร่างผู้ใหญ่ วาห์นพบว่าเอวานเจลีนในตอนนี้ดูน่ารักมาก โดยเฉพาะหลังจากเห็นเธอพูดไม่ชัดและทำท่าเขินอายขณะตอบคำถามของเขา
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดมันด้วยตัวเอง โดยเฉพาะหลังจากได้ยินเรื่อง ‘จอมเวทต้นกำเนิด’ แต่วาห์นก็คิดว่าเธอนั้นดูเหมือนกับตุ๊กตามากจริงๆ
การแต่งตัวแนวโกธิคที่ประดับไปด้วยริบบิ้นนั้นช่วยเสริมให้ผมสีทองอ่อนและดวงตาสีฟ้าใสบนใบหน้าเข้ารูปของเธอดูดีขึ้นมาก
ในฐานะที่เธอมีชีวิตอยู่มากว่าหลายร้อยปีแล้ว ท่าทางของวาห์นจึงไม่อาจหนีพ้นจากสายตาของเธอไปได้
เธอจะไม่ยอมถูกเขา ‘กลั่นแกล้ง’ อยู่ฝ่ายเดียวหรอก แม้ว่าจะเป็นแค่การคิดในใจก็ตาม
เธอยิ้มให้ก่อนจะถามอีกครั้ง
“แล้ว… นายจะมาเป็นลูกศิษย์ของฉัน หรืออยากโดนฉันส่งออกจากมิตินี้ล่ะ?”
ตอนนี้วาห์นรู้แล้วว่าความอบอุ่นที่รู้สึกได้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เขาจึงคิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไรมากนักเมื่อเทียบกับกับผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากข้อเสนอ
ด้วยอัตราการฟื้นฟูของวาห์น เขาน่าจะผลิตเลือดได้เร็วกว่าจำนวนที่เธอดูดออกไปซะอีก และคงไม่ส่งผลต่อเขามากนัก
หลังจากคิดต่ออีกไม่กี่อึดใจ เขาก็พูดคำที่จะนำพาตัวเองไปสู่ความทุกข์ทรมานในอนาคตอย่างไม่ลังเล
“ตกลง ฉันจะเป็นลูกศิษย์ของเธอ เอวานเจลีน” (TL: ฝึกมหาโหดภาค 2)
เอวานเจลีนลุกขึ้นจากพื้นขณะ ‘ปัดฝุน’ ออกจากชุดของเธอก่อนจะเดินเข้ามาใกล้วาห์นและพูดต่อ
“ตั้งแต่นี้ นายจะต้องเรียกฉันว่า ‘มาสเตอร์’ หรือไม่ก็ ‘ท่านเอวานเจลีน’ แล้วก็ปรับวิธีพูดจาให้มันดีกว่านี้ด้วย
หากเรียกแบบอื่นๆ โดยที่ฉันไม่ยินยอมล่ะก็… ถูกลงโทษสถานเดียว”
แม้ว่าวาห์นจะไม่เคยเรียกใครว่า ‘มาสเตอร์’ มาก่อน แต่เขาก็เข้าใจว่ามันน่าจะเป็นรูปแบบการเรียกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้มากที่สุด
ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไป
“…ครับ มาสเตอร์”
เมื่อได้ยินวาห์นเรียกตามที่สั่งอย่างว่าง่าย เอวานเจลีนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในเวลาต่อมา
วาห์นกำลังนั่งอยู่บนพื้นขณะเอนตัวไปข้างหลังและใช้มือทั้งสองข้างเท้าพื้นเอาไว้
เอวานเจลีนยืนอยู่เหนือเขาและขณะที่กำลังมองเด็กสาวด้วยความสงสัย เธอก็เข้ามานั่งลงบนตักแทน
วาห์นประหลาดใจกับการกระทำของเธออยู่บ้าง แต่เอวานเจลีนก็เริ่มอธิบายก่อนที่เขาจะได้ถามอะไร
“ฉันดูดเลือดนายแบบนี้น่าจะง่ายกว่า
นายแค่ผ่อนคลายให้มากที่สุด หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กอดฉันไว้ก็ได้”
ตามปกติแล้วเอวานเจลีนจะไม่ดูดเลือดจากด้านหน้า แต่เธอรู้สึกสนใจวาห์นอยู่เล็กน้อยจากการที่ทั้งคู่มีความคล้ายกันอยู่หลายเรื่อง และเขาเองก็มีนิสัยที่ไม่ได้แย่อะไรนัก
เธออยู่ในนี้มานานหลายปีจนลืมวันลืมคืนไปแล้ว และคงจะต้องใช้เวลาอยู่กับเขาไปอีกนานแสนนาน
เนื่องจากเมื่อกี้วาห์นเป็นฝ่ายแกล้งเธอก่อน เอวานเจลีนจึงอยากจะเห็นท่าทางเคลิ้มขณะที่เธอดูดเลือดเขาออกมาบ้าง
แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่าวาห์นจะดูสงบอยู่ได้ทั้งๆ ที่มีผู้หญิงมานั่งอยู่บนตักจนต้องถามขึ้นมา
“ทำไมนายดูสงบแบบนี้ล่ะ? ยังเด็กอยู่แท้ๆ เลย
ฉันไม่คิดว่านายจะมีประสบการณ์กับผู้หญิงมากมายอะไรนักนะ”
วาห์นเงยหน้าขึ้นหลังจากได้ยินคำถามของเธอและพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ประสบการณ์กับผู้หญิง?
มาสเตอร์หมายถึงเรื่องเพศสัมพันธ์อะไรแบบนั้นเหรอครับ?
ตอนนี้ ผมมีคนรักอยู่สองคน คู่ครองในอนาคตอีกหนึ่ง แล้วก็คู่รักในอนาคตอีก… จำนวนหนึ่ง”
แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความตั้งใจของเขา แต่คำพูดของวาห์นก็สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเอวานเจลีนขณะที่เธอมองมาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อและถามต่อ
“นี่นายอายุเท่าไรแล้วนะ?”
แม้ว่าเขาจะสับสนกับคำถามของมาสเตอร์ตัวจิ๋วอยู่บ้าง แต่วาห์นก็ตอบไปตามตรง
“ตอนนี้ผมอายุ 14 แต่อีกไม่กี่เดือนก็ 15 แล้วครับ”
คำพูดของวาห์นตรงตามที่เอวานเจลีนคำนวณเอาไว้ แต่เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าวาห์นอยู่ในสังคมแบบไหนกัน ถึงพูดเรื่องคนรักหลายคนและคนรักในอนาคตได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้
ตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนตักและพยายามแกล้งเขา แต่เธอกลับเป็นฝ่ายไปต่อไม่ถูกเสียเอง
แม้จะมีอายุเป็นร้อยๆ ปี แต่เธอก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องอย่างว่าเนื่องด้วยสาเหตุหลายๆ อย่าง
เอวานเจลีนถอนหายใจออกมาอย่าง ‘เศร้าๆ’ และเอนตัวไปข้างหน้าเพื่อเริ่มดูดเลือดของวาห์น
แม้จะไม่สามารถทำตามแผนได้สำเร็จ แต่เธอก็เชื่อว่าเขาจะต้องทำท่าเมาเคลิ้มทันทีที่เธอเริ่มดูดเลือด
เธอขยับคอเสื้อของเขาออกไปและฝังเขี้ยวเล็กๆ ลงตรงด้านข้างลำคอทันที
วาห์นรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการถูกฝังเขี้ยว แต่มันก็เกือบจะหายไปในทันทีขณะที่ความอบอุ่นเริ่มแพร่กระจายออกไปทั่วร่าง
มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ดังนั้นวาห์นจึงหลับตาและเพลิดเพลินไปกับความอบอุ่นที่ยังคงแพร่กระจายต่อไป
เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ออกมาทางจมูกของเอวานเจลีนและทำให้รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย แต่ก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ
เอวานเจลีนพบว่า แม้วาห์นจะหน้าแดงขึ้นมาหน่อย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘ยาสเน่ห์’ ที่อยู่ในเขี้ยวของเธอเลย
เธอเริ่มสงสัยแล้วว่าร่างกายของเขาคงสามารถป้องกันผลข้างเคียงนี้ได้ และเขาก็แค่รู้สึกถึงพลังเวทอุ่นๆ ที่แพร่กระจายอยู่ในร่างกายเท่านั้น
แม้จะเป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย แต่มันก็ไม่ใช่การตอบสนองที่เธออยากจะเห็น
ด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยบนใบหน้า เธอแนบหน้าอกที่แทบจะไร้ตัวตนเข้ากับร่างกายของวาห์นและใช้ลิ้นเลียคอของเขาไปด้วย
เมื่อร่างเล็กเอนกายเข้ามาแนบชิด วาห์นก็เริ่มรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนท่านั่งและยื่นมือออกมาวางไว้ที่รอบเอวบางตามคำสั่งก่อนหน้านี้
ทันทีที่ทำแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่าร่างของคนตัวเล็กกำลังสั่นไหวและหยุดดูดเลือดไปพักหนึ่งก่อนจะกลับมาดูดต่ออีกครั้ง
วาห์นบอกได้เลยว่าร่างกายของเอวานเจลีนนั้นนุ่มนิ่มมากและรู้สึกเหมือนเธอจะตัวหดเล็กลงเมื่อมาอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ตอนนี้เธอมีความสูงพอๆ กับนานูที่ 130 ซม. แต่ก็มีน้ำหนักเบากว่ามากและยังมีผิวที่ขาวกว่า
เอวานเจลีนเริ่มรู้สึกปั่นป่วนกับการตอบสนองของวาห์น แม้ว่าเธอจะอุตส่าห์ดันหน้าอกใส่เขาไปแล้วก็ตาม
พอเขาเป็นฝ่ายที่เข้ามากอดบ้าง เธอก็กลับเป็นฝ่ายที่สะดุ้งเสียเองขณะที่วาห์นเอาแต่นั่งสบายต่อไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าพึงพอใจ
ความอยากแกล้งวาห์นเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และเธอเองก็เริ่มดูดเลือดจากร่างของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเธอทำให้เขารู้สึกเวียนหัวได้ล่ะก็ อย่างน้อยสุดก็น่าจะทำให้เขาร้องขอให้เธอหยุดเอง
แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะดูดเข้าไปเท่าไร ดูเหมือนว่าเลือดของวาห์นนั้นจะไม่ได้ลดลงเลย และแม้แต่ความเข้มข้นของพลังงานก็ยังเหมือนเดิม
เอวานเจลีนได้เติมพลังเวทจนเต็มไปนานแล้ว และตอนนี้เธอกำลังพยายามกระจายมานาออกไปในอากาศเพื่อที่จะได้ดูดเลือดต่อไปเรื่อยๆ
ในที่สุด กรามของเธอก็เริ่มเมื่อยและร่างกายก็ไม่อาจต้านทานพลังงานที่กำลังเอ่อล้นออกมาได้อีกต่อไป
เธอถอนหายใจอุ่นๆ ลงบนคอของวาห์นขณะค่อยๆ แยกตัวออกมาและหันหลังให้
วาห์นประหลาดใจกับเวลาที่เธอใช้ในการดูดเลือด เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอบอกเองว่ามันน่าจะไม่นานนัก
เธอกลับดูดเลือดของเขาไปนานเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะถอยออกไปซึ่งผิดกับที่เขาคิดไว้มาก
วาห์นสงสัยว่าขีดพลังงานของเธอน่าจะสูงกว่าที่เขาคาดไว้และเธออาจจะบอกข้อมูลผิดไป
เอวานเจลีนคงรู้ว่าเลือดของเขานั้นฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้เรี่อยๆ ดังนั้นเธอจึงดูดมันมากขึ้นๆ จนกระทั่งพลังเวทกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์เต็มร้อย
เพราะเธอกำลังหันหลังอยู่ วาห์นจึงยืนขึ้นและถามออกมา
“อิ่มไหมครับ มาสเตอร์?”
ทันทีที่พูดจบ สัญชาตญาณของวาห์นก็แจ้งเหตุอันตรายขณะที่มีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่จะกระแทกเข้ามาจากด้านหน้า
ร่างกายของเขาพุ่งทะลุผ่านท้องฟ้าไปเรื่อยๆ จนกระแทกลงที่พื้นแข็ง
เนื่องจากไม่ทันได้เตรียมป้องกันตัวอะไรเลย วาห์นจึงได้รับความเสียหายขั้นรุนแรงพร้อมกับที่ร่างกายเริ่มสลายหายไป
สิ่งสุดท้ายที่เขาได้เห็นก่อนจะโดนดีดออกจากมิติขาวดำก็คือ ใบหน้าขาวราวกับหิมะของเอวานเจลีนที่เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ