Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 15
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก่อนรุ่งสาง วาห์นก็เริ่มทำตามแผนที่ขึ้นได้ทันที หลังจากกรองรายการในร้านค้าอยู่พักหนึ่ง เขาก็พบไอเท็มที่ต้องการ
‘วัตถุระเบิดขนาดเล็ก’ (10 OP)
ระดับ:(E)
ส่วนประกอบที่ใช้ในการสร้างระเบิดต่อต้านบุคคลซึ่งถูกพัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียชื่อนีล แวนคอฟ อัตราการระเบิดนั้นเทียบเท่ากับ 10 MJ (เทียบเท่าไดนาไมต์ 10 แท่ง)
วาห์นรู้สึกว่าความคิดที่จะลากพวกก็อบลินออกมาจากค่ายนั้นยังดีไม่พอ เขาจึงเกิดความคิดที่จะก่อกวนพวกมันแบบเนั้นๆ ไปตลอดทั้งวัน เมื่อพวกก็อบลินถอยกลับเข้าไปในค่าย เขาก็จะติดวัตถุระเบิดไปกับลูกศรที่ถูกชาร์จพลังจนเต็มและปล่อยมันออกไปท่ามกลางพื้นที่ที่มีพวกก็อบลินอยู่หนาแน่นที่สุด
หากโชคดี เขาก็จะสามารถจัดการพวกมันส่วนใหญ่ลงได้และอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงหรือสังหารตัวหัวหน้าเผ่าได้ในคราวเดียวกัน
เขาเดินไปที่ค่ายของพวกมันอย่างไม่เร่งรีบและขุดทุ่นระเบิดตามแนวต้นไม้ขึ้นมา มันเป็นประสบการณ์ที่อันตรายและค่อนข้างลุ้นระทึกที่ต้องมาจัดการกับทุ่นระเบิดพวกนี้ แต่เขาก็จัดการได้อย่างเรียบร้อยโดยที่มันไม่ระเบิดคามือเขาไปเสียก่อน
หลังจากที่ทำการฝังพวกมันอีกรอบเพื่อใช้ในการหลบหนี วาห์นก็เริ่มทานอาหานเช้า เขาไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ทานอีกหรือไม่เพราะต้องคอยก่อกวนพวกก็อบลินแบบต่อเนื่อง เขาจึงทานให้มากที่สุดเท่าที่กระเพาะจะรับไหว
วาห์นก่อไฟใกล้ฐานที่มั่นที่สองของเขาโดยใช้หินก่อไฟและย่างกระต่ายที่เขาล่ามาได้ก่อนหน้านี้ แม้ช่องเก็บของจะช่วยให้ไอเท็มไม่เน่าเสีย แต่เขาก็มีความสุขไปกับการทำอาหารและทานมันทันทีที่ทำเสร็จ มันเริ่มกลายเป็นสิ่งที่เขาขาดไม่ได้
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบฟ้า วาห์นก็ตรวจสอบเวลาของภารกิจที่เหลืออยู่: 1 วัน 17 ชั่วโมง 12 นาที
ตอนนี้เขาเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองวัน แต่หากยังมีโชคอยู่บ้างก็น่าจะทำภารกิจนี้สำเร็จได้ก่อนหมดเวลา แม้เขาจะคิดว่าหัวหน้าก็อบลินนั้นแข็งแกร่งกว่าก็อบลินทั่วไปมาก แต่เขาไม่เชื่อว่ามันจะสามารถทนระเบิดไดนาไมต์สิบแท่งได้
วาห์นกลับมาถึงบริเวณแนวต้นไม้ใกล้กับค่ายของพวกก็อบลิน เขาเตรียมการขั้นสุดท้ายโดยการวางกับดักแบบเส้นลวดให้ครอบคลุมพื้นที่ที่วางทุ่นระเบิดไว้ เมื่อติดตั้งจนรู้สึกมั่นใจแล้วเขาก็ไปซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใกล้กับพื้นที่โล่ง หากคำนวณระยะทาง 130 เมตรจากค่ายกับความเร็วในการเคลื่อนที่ของก็อบลิน พวกมันต้องใช้เวลากว่ายี่สิบวินาทีเพื่อมาที่ตำแหน่งของเขา จากอัตราการยิงสูงสุดที่ทำได้ เขามั่นใจว่าสามารถกำจัดก็อบลินได้ประมาณหนึ่งตัวต่อวินาที หวังว่าพวกมันจะส่งกลุ่มใหญ่ออกมาโจมตีเพราะเขาจะได้ล่อพวกมันเข้ามาในป่าที่ตอนนี้กลายเป็นเขตทุ่นระเบิดไปแล้ว
วาห์นใช้เวลาอีกหลายนาทีเพื่อสังเกตพวกก็อบลินในขณะที่พวกมันกำลังทำการก่อสร้างอย่างแข็งขัน เขาพบว่าพวกมันได้สร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ภายในคืนเดียวซึ่งน่าจะเป็นบ้านของหัวหน้าเผ่าและเหล่าผู้คุ้มกัน
ตอนนี้เขามองไม่เห็นเลยว่าตัวหัวหน้าหายไปไหน แต่การที่หน่วยคุ้มกันของมันเฝ้าอยู่ด้านนอกบ้านแสดงว่ามันต้องอยู่ภายในนั้นแน่นอน วาห์นนึกไตร่ตรองดูว่าจะลองทิ้งระเบิดไปที่นั่นดูดีไหม แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะคิดว่าการลดจำนวนพวกมันลงก่อนน่าจะเป็นการดีกว่า
มันอาจกลายเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงหากยิงลูกศรติดระเบิดออกไปก่อนที่จะยืนยันได้ว่าหัวหน้าเผ่าอยู่ในนั้นจริงๆ พวกก็อบลินนั้นแสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดี พวกมันเริ่มกระจายกำลังกันออกไปหลังจากที่เขาโจมตีด้วยระเบิดเป็นครั้งแรก เขาต้องการให้พวกมันเกาะกันเป็นกลุ่มหรืออย่างน้อยก็รอจนกว่าจะพบตำแหน่งของหัวหน้าเผ่า
เมื่อง้างคันธนูจนสุดแขน วาห์นก็กลั้นหายใจและเพ่งสมาธิจนถึงขีดสุด เขาเล็งไปที่หน่วยคุ้มกันตัวหนึ่งและเริ่มส่งพลังงานเข้าไปในลูกศร แม้ว่าเขาจะฝึกการยิงเป้าหมายที่ระยะ 50 เมตรมาแล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาจะยิงเป้าหมายเคลื่อนที่ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 130 เมตร เขาหวังว่าระยะทางที่เพิ่มขึ้นและพลังในการทะลุทะลวงของลูกศรเวทมนตร์จะสามารถทดแทนทักษะที่ขาดไปได้…
หลังจากผ่านไป 20 วินาที วาห์นก็ปล่อยลูกศรออกมา มันพุ่งไปด้วยความเร็วที่น่ากลัวและดูคล้ายกับมีเส้นสีทองกำลังวาดผ่านอากาศ เพียงไม่กี่อึดใจ ขาของเจ้าก็อบลินตัวใหญ่ก็ถูกลูกศรเข้าอย่างจังจนขาดสะบั้นตั้งแต่ต้นขาลงไป แม้ว่าจะไม่โดนตรงส่วนหัวตามที่เขาตั้งใจไว้ แต่วาห์นก็พึงพอใจกับผลที่ได้เมื่อเสียงร้องโหยหวนของมันดึงความสนใจของก็อบลินทุกตัวในค่ายรวมไปถึงตัวหัวหน้าด้วย
(TL: ตั้งแต่ตรงนี้จะเป็นมุมมองทางฝั่งพวกก็อบลินนะครับ)
หัวหน้าเผ่าก็อบลินออกมาจากเต็นท์และมองไปที่ความโกลาหลและความวุ่นวายรอบๆ สีหน้าของมันแฝงไปด้วยความหน้ากลัวในขณะที่มองสมุนใกล้ชิดนอนร้องครวญครางจากการเสียขาข้างหนึ่งไป มันรู้สึกโมโหกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก มันหันไปถามก็อบลินตัวใกล้เคียงด้วยภาษาของพวกมันว่าเกิดอะไรขึ้น
ก็อบลินตัวเล็กมองผู้นำอันยิ่งใหญ่ของมันด้วยความหวาดกลัวและอธิบายว่ามีลำแสงพุ่งมาจากป่าและตัดขาของหน่วยคุ้มกันตัวนั้นไป เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของหัวหน้าเผ่า มันก็รีบก้มกราบลงอย่างรวดเร็วและยืนยันสิ่งที่มันเห็นอีกครั้ง
หัวหน้าเผ่ามองไปมาระหว่างลูกสมุน หน่วยคุ้มกันที่กำลังกรีดร้อง และสุดท้ายก็มองไปยังป่าที่เจ้า ‘ปีศาจพุ่มไม้’ ลอบโจมตีเผ่าของมันมาตลอดช่วงหกวัน ไม่ว่าพวกมันจะถอยห่างออกจากป่ามากแค่ไหน ปีศาจตัวนั้นยังก็ไม่พอใจสักที เจ้าปีศาจยังคงไล่ล่าพวกมันต่อไปเรื่อยๆ แถมมันยังใช้เวทมนตร์แปลกๆ ที่ทำให้พื้นดินปะทุใส่ลูกสมุนขณะที่พวกมันกำลังลาดตระเวนในป่า
นับตั้งแต่ที่หัวหน้าเผ่าได้กินจอมเวทที่กำลังจะตายและขโมยเอาคทาหักๆ มา มันก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างผิดหูผิดตาเมื่อเทียบกับก็อบลินทั่วไป มันเริ่มเชื่อว่าตัวเองมีความพิเศษและไม่เหมือนใครในหมู่เผ่าพันธุ์เดียวกันและยังได้เข้ายึดอำนาจก็อบลินกลุ่มเล็กๆ มากมายจนกระทั่งมันสามารถสร้างหมู่บ้านของตัวเองที่ริมแม่น้ำได้สำเร็จ เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ตั้งใจจะทำลายถิ่นฐานของมนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงและขยายหมู่บ้านให้กลายเป็นอาณาจักร และจากนั้นก็จะขยายออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นจักรวรรดิ!
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนสวรรค์คงจะอิจฉาชื่อเสียงและความรุ่งโรจน์ของมัน ไม่นานหลังจากที่มันเลือกบริเวณนี้เพื่อวางรากฐานตามแผนที่วางไว้ หนึ่งในหน่วยลาดตระเวนก็หายไปอย่างลึกลับ หัวหน้าเผ่าสันนิษฐานว่าพวกมันคงบังเอิญไปพบกับหมีหรือสัตว์ร้ายที่ทรงพลังและเสียชีวิตจากความประมาท พี่น้องของมันอ่อนแอมาก ดังนั้นความสูญเพียงเสียเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องที่อยู่นอกความคาดหมายเท่าไหร่
มันไม่อาจจินตนาการได้ว่าเหตุการณ์ที่มันละเลยในตอนนั้นจะกลับกลายมาเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนมัน ในวันต่อๆ มา เจ้าปีศาจพุ่มไม้ก็รุกล้ำเข้ามาอย่างช้าๆ ตรงเขตรอบนอกของค่ายที่มันสร้างขึ้นด้วยความยากลำบาก เจ้านั่นเริ่มกวาดล้างค่ายก็อบลินสามแห่งภายในบริเวณอย่างไม่เร่งรีบ
ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่โจมตีค่ายใหญ่ หัวหน้าเผ่าจึงสั่งให้เพิ่มยามของแต่ค่ายเป็นเจ็ดตัวและจัดให้มีการลาดตระเวนอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้มันยังประจำหน่วยเฝ้าระวังไว้บนต้นไม้เพราะการลาดตระเวณทั่วไปดูจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
คำสั่งดังกล่าวส่งผลแทบจะทันทีและนี่คือบทพิสูจน์ถึงความเจ้าเล่ห์ของมัน น่าเสียดายที่เหล่าลูกสมุนไม่สามารถหยุดยั้งการหลบหนีของปีศาจตัวนั้นได้ หลังจากการสู้รบ หน่วยสอดแนมก็รายงานว่าเจ้านั่นปกคลุมตัวเองด้วยขนแปลกประหลาดที่มีลวดลายคล้ายกับพุ่มไม้ตามป่า เจ้าปีศาจสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วและถึงแม้ว่าเหล่าลูกสมุนจะทำร้ายมันจนบาดเจ็บสาหัส ไม่นานมันก็ฟื้นฟูตัวเองได้ทันที
ก่อนที่มันจะหลบหนีไป สิ่งมีชีวิตที่รู้จักกันในนาม ‘ปีศาจพุ่มไม้’ ก็สังหารสมุนของมันไปกว่าสิบตัวก่อนที่จะหายเข้าไปในป่าราวกับวิญญาณร้าย หน่วยลาดตระเวนพยายามไล่ตามไปแต่แล้วพื้นดินก็ระเบิดขึ้นราวกับมีชีวิตและสังหารพวกมันไปอีกห้าตัว
แม้ว่าหัวหน้าเผ่าจะไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ แต่มันก็ยังรู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดชนิดนี้เป็นอย่างมาก มันไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมปีศาจพุ่มไม้ถึงไล่ล่าสมุนของมัน เรื่องลุกลามไปจนถึงกับต้องถอนหน่วยเฝ้าระวังทั้งหมดออกจากป่า มันยังสั่งให้ลูกสมุนกำจัดพุ่มไม้และเศษซากต่างๆ ที่อยู่ระหว่างหมู่บ้านและแนวต้นไม้ออกจนหมดเพื่อกีดกันไม่ให้ปีศาจพุ่มไม้มาตามรังควานพวกมันอีก คำสั่งนี้ดูเหมือนว่าจะได้ผล เนื่องจากผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่การโจมตีครั้งสุดท้ายของมัน หัวหน้าเผ่าเริ่มหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าฝันร้ายครั้งนี้ได้จบลงแล้ว
มันยืนใคร่ครวญเกี่ยวกับเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาและถามตัวเองว่าจะทำอย่างไรต่อไป มันสามารถส่งสมุนเข้าไปในป่าเพื่อดึงให้เจ้าปีศาจออกมาได้ วิธีนี้น่าจะคร่าชีวิตของพวกมันไปอีกมากแถมไม่รู้ว่าเจ้านั่นจะมีเวทมนตร์ชั่วร้ายอะไรอีก อีกทางเลือกหนึ่งก็คือสั่งให้สมุนข้ามแม่น้ำและหนีเข้าไปในป่าอีกฝั่งที่อยู่ไกลออกไปทางใต้ มันจำได้ว่ามีหมู่บ้านเล็กๆ หลายแห่งตามเส้นทางซึ่งจะทำให้มันสามารถสร้างอาณาจักรใหม่ในดินแดนที่ห่างไกลจากปีศาจตัวนี้ได้
มันมองไปที่แม่น้ำและเริ่มพิจารณาตัวเลือกอย่างจริงจัง แม้ว่าความคิดที่จะหนีไปนั้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความภาคภูมิใจของมันในฐานะผู้นำแต่สมุนของมันยังอ่อนแอเกินไป สำหรับมันแล้วการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์และการสร้างอาณาจักรถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ในขณะที่หัวหน้าเผ่ายังคงลังเล มันก็ได้ยินเสียงร้องของหน่วยคุ้มกันตัวหนึ่ง
ด้วยความโกรธ มันชูคทาไปทางเจ้าก็อบลินที่กำลังนอนทุรนทุรายและปล่อยเวทมนตร์ออกไปเพื่อย่างสดมันโทษฐานที่ทำตัวอ่อนแอ
มันมองดูอดีตคนคุ้มกันที่กำลังพยายามดับไฟอย่างเปล่าประโยชน์ รอบๆ ตัวของหัวหน้าเผ่าเต็มไปด้วยลูกสมุนที่มองมันอย่างหวาดกลัว ทำให้มันรู้สึกลำพองใจกว่าเดิม มันยิ้มอย่างน่าสยดสยองและเตรียมสั่งให้สมุนทำทางข้ามแม่น้ำเพื่อไปตามหาสรวงสวรรค์แห่งใหม่และออกไปจากดินแดนต้องคำสาปแห่งนี้
หัวหน้าเผ่ายกคทาขึ้นสูงเพื่อออกคำสั่ง ในตอนนั้นเองที่ลำแสงสีทองบินไปที่ทิศทางของมัน มันตอบสนองอย่างรวดเร็วและใช้คทาสกัดลำแสงพร้อมเผยรอยยิ้มดูหมิ่นดูแคลนออกมาบนใบหน้า
*ตู้มมมม!!!!*
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่หัวหน้าเผ่าได้ยินขณะที่คลื่นแห่งความเจ็บปวดถาโถมเข้าใส่มันก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลง
ชื่อตอน: ชี้ขาดในดอกเดียว