Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 152
เมื่อทั้งสองก้าวเข้ามาในโรงหลอมของเฮเฟสตัส เซฟฟ์ก็รีบส่งคนไปแจ้งให้เฮเฟสตัสทราบทันที
พอเซฟฟ์เห็นเอน่าและวาห์นจับมือกัน เขาก็อดถามขึ้นมาไม่ได้
“นายนี่ใจเด็ดไม่เบาเลยนะ ที่พาผู้หญิงคนอื่นมาบ้านของผู้หญิงที่นายกำลังตามจีบอยู่”
แม้เห็นว่าเซฟฟ์เหมือนจะพูดเล่นๆ แต่วาห์นก็สัมผัสได้ถึงแวววาวที่จริงจังของชายหนุ่ม
วาห์นรู้สึกมุ่งมั่นตั้งแต่ตอนอยู่ด้านนอกแล้ว เขาจึงพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“นี่คือสิ่งที่ฉันต้องทำ ถ้าปล่อยไว้ ข่าวลือก็จะทำให้มันไปกันใหญ่”
เซฟฟ์เลิกคิ้วเมื่อเห็นท่าทางมั่นใจนั่น ขณะหันไปทางเอน่าและพูดกับวาห์นต่อ
“เหมือนกับข่าวลือเรื่องไอส์ วาเลนสไตน์กับทีโอน่า ฮิริวเตะน่ะเหรอ?”
เอน่ามองออกว่าเซฟฟ์พยายามจะทำให้เธอ ‘กลัว’ แต่เธอก็ยังคงความสงบนิ่งและพูดตอบอย่างมืออาชีพ
“ฉันรู้ดีว่าวาห์นทำอะไรไว้บ้าง ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ”
เซฟฟ์ประหลาดใจกับท่าทางของเอน่าจนได้แต่ส่ายหัวและตบไหล่ของวาห์นด้วยท่าทางปลงๆ
“ไอ้หนู นายนี่เลือกแต่คนได้เด็ดดวงจริงๆ เลยนะ…”
จากนั้นเขาก็เดินหลบไปด้านข้างก่อนที่คนส่งข่าวจะกลับมาบอกกับทั้งสองว่าเฮเฟสตัสกำลังรอพวกเขาอยู่ในห้องทำงาน
วาห์นกับเอน่าเข้าไปในห้องขณะที่เฮเฟสตัสกำลังเฝ้ามองทั้งสองจากโต๊ะทำงาน
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่กำลังจับมือกัน เฮเฟสตัสก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับสาวหน้าใหม่
เธอไม่เคยเห็นเอน่ามาก่อน และไม่รู้เลยว่าทั้งคู่ไปตกลงปลงใจกันตอนไหน
เฮเฟสตัสแอบคิดไปว่าเอน่าอาจจะเข้าหาวาห์นเมื่อไม่นานมานี้และพยายามจะหาประโยชน์จากชื่อเสียงและความโด่งดังของเขา
ความตึงเครียดในห้องเพิ่มมาอีกขึ้นเล็กน้อย แต่วาห์นก็พาเอน่าเข้ามาหาเฮเฟสตัสและเริ่มอธิบายทุกอย่างให้ฟัง
เมื่อรู้ว่าวาห์นกับเอน่าได้หมั้นกันแล้วและมีแผนที่จะแต่งงาน เฮเฟสตัสก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าขณะเหลือบมองสาวลูกครึ่งเอลฟ์ราวกับว่าเอน่าเป็นแมวขโมย
จากเรื่องที่ได้ฟัง วาห์นและเอน่าได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่พวกเขากลับลงเอยด้วยการหมั้นหมายหลังออกเดตไปรอบเดียวเนี่ยนะ?
เฮเฟสตัสอดคิดไม่ได้ว่าวาห์นกำลังถูกหลอกลวงเพราะความใจดีของตัวเอง
เอน่าสังเกตเห็นโทสะจากสีหน้าของเฮเฟสตัสและเริ่มรู้สึกกลัวนิดหน่อย แต่เธอก็ยังยืนปักหลักอยู่ได้และเริ่มถามด้วยน้ำเสียงท้าทาย
“ฉันขอถามอะไรหน่อยนะคะ ท่านเฮเฟสตัส
ท่านคิดว่าวาห์นจะมีความสุขหากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือเปล่า?”
เฮเฟสตัสขมวดคิ้วขณะจ้องมองเอน่าและถามกลับ
“นี่จะพูดอะไรกันแน่? เธอกำลังบอกว่าวาห์นจะมีความสุขกว่าถ้าได้แต่งกับเธองั้นเหรอ?”
เอน่าส่ายหัวและพูดต่อ
“มันไม่เกี่ยวกับว่าวาห์นจะได้แต่งกับฉันหรือเปล่า มันเป็นเรื่องของภาระทั้งหมดที่เขาต้องแบกรับเอาไว้ต่างหาก
ท่านน่าจะรู้เรื่องอดีตของวาห์นและความลำบากที่เขาเคยเผชิญมา แต่แทนที่จะช่วยให้เขาเอาชนะมัน ท่านกลับเลือกที่จะสร้างสถานที่ปลอดภัยให้เขาแทน
แม้ว่ามันจะไม่เป็นไรถ้าเขาไม่มีอะไรต้องแบกรับ แต่พอมันกลายเป็นแบบนั้น เขาก็เริ่มที่จะแบกมันมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ท่านคิดว่าวาห์นจะทนอยู่ได้นานแค่ไหนกันคะ!?”
เฮเฟสตัสรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำพูดของเอลฟ์สาว แต่เธอก็โกรธจนควันออกหูอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อตะโกนเถียง
“แล้วเธอคิดว่าฉันจะนอนดูวาห์นแบกรับมันไว้คนเดียวงั้นเหรอ!?
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะช่วยให้เขาเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างและทำให้เขาจะมีความสุขเอง!”
เอน่าสะดุ้งไปเล็กน้อย แต่แล้วเธอถามเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเชิงกล่าวหา
“แล้วท่านจะช่วยวาห์นด้วยวิธีไหนคะ ท่านเฮเฟสตัส?
วาห์นห่วงท่านยิ่งกว่าใครๆ และพยายามอย่างหนักเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของท่าน
แต่ว่าภาระของท่านมันเบาขนาดที่เด็กหนุ่มอายุสิบสี่จะแบกไว้ได้สบายๆ เหรอคะ?”
คำพูดของเอน่าทำเอาเฮเฟสตัสถึงกับอึ้งและหันมามองวาห์นด้วยท่าทางงุนงง
วาห์นเห็นสายตาของเทพสาวก็เลยยิ้มนิดๆ ก่อนจะพูดแทรกขึ้น
“เอน่า เธอจะโทษเฮเฟสตัสไปหมดก็ไม่ถูกนะ เธอทำอะไรให้ฉันมาตั้งมากมาย
ดังนั้นฉันก็ต้องพยายามเต็มที่เพื่อเธอได้สิ เหมือนกับที่เธอพยายามทำให้ฉันมีความสุข ฉันเองก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อทำให้เธอมีความสุขเหมือนกันไง”
เอน่าและเฮเฟสตัสต่างขมวดคิ้วให้กับคำพูดของวาห์น จนกระทั่งเทพสาวสงบลงบ้างขณะนึกไตร่ตรองสิ่งที่เอน่าพูด
เธอจำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ วาห์นและเธอยังมีเรื่องเข้าใจผิดกันอยู่เลย
เฮเฟสตัสตกหลุมรักวาห์นอย่างเต็มเปามาพักใหญ่ๆ แล้วและคอยช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้โดยที่วาห์นไม่รู้ตัว
พอวาห์นตกอยู่ในสภาพโคม่า เธอก็รู้สึกเป็นห่วงจนใช้เวลาอยู่ข้างเตียงทุกวันจนเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากนั้นเธอถึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้พยายามตามจีบเธอ แต่แค่ต้องการสร้างไอเท็มขึ้นเพื่อช่วย ‘ปัดเป่าความโดดเดี่ยว’ ของเธอออกไปเท่านั้น
ก่อนที่จะออกมาจากดันเจี้ยนนั้นวาห์นไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความรักเลย และความรู้สึกทั้งหมดของเธอนั้นดูเหมือนจะเป็นแบบข้างเดียวซะมากกว่า
เมื่อเธอพยายามตัดใจและปล่อยวาห์นไป เขากลับไล่ตามเธออย่างไม่คิดชีวิตราวกับว่ากำลังกลัวที่จะต้องเสียเธอ
เขากอดเธอไว้ในอ้อมแขนและเกลี้ยกล่อมจนในที่สุดเธอก็ยอมใจอ่อน
หลังจากนั้นเฮเฟสตัสก็พยายามชี้นำและผลักดันเขาเล็กน้อย เพื่อที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันแบบจริงๆ เสียที…
(TL: ถ้าเกินเลยมากไป เฮเฟสตัสก็จะเป็นฝ่ายผิดคำสาบานและโดนผลสะท้อนกลับแน่นอน)
เฮเฟสตัสรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เอน่าพูดนั้นเป็นความจริง
แม้จะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น แต่เฮเฟสตัสก็ใช้ประโยชน์จากความมุ่งมั่นของวาห์นและปล่อยให้เขาแบกภาระของเธอไว้แถมยังไปกดดันเขาต่ออีกหน่อยด้วย
เธอพยายามผลักดันให้วาห์นทำงานห้าวันต่อสัปดาห์และเตือนไม่ให้เขาแตะต้องอนูบิส
แม้จะยอมให้วาห์นมีผู้หญิงคนอื่น แต่เธอกลับลืมมันไปชั่วขณะเพราะความใจร้อนของตัวเอง
เอน่าให้ความสนใจกับท่าทางของเฮเฟสตัส และเมื่อเธอรู้ว่าเฮเฟสตัสรับรู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองแล้ว เธอก็พูดต่อ
“วาห์นพูดถูกแล้ว ท่านเฮเฟสตัสไม่ได้ทำอะไรผิดไปมากนักหรอกนะคะ”
พอเฮเฟสตัสได้ยินดังนั้นแล้วก็หันมาหาเอลฟ์สาวที่มีดวงตาสีเขียวมรกต
เอน่าเริ่มพูดต่ออีกครั้ง
“ความผิดพลาดเพียงอย่างเดียวของท่านก็คือ… ลืมดูว่าวาห์นนั้นผิดปกติไปขนาดไหน
เขาไม่ใช่แค่มีจิตใจที่บอบช้ำ หรือแค่ต้องการสถานที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเอาเปรียบ
สิ่งที่วาห์นต้องการมากที่สุดก็คือ… การใช้ชีวิตแบบปกติ
การมีคนที่ห่วงใยและไม่คาดหวังสิ่งใดนอกจากอยากให้เขามีความสุขค่ะ”
เอน่าทิ้งช่วงไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ท่านน่าจะรู้ดีกว่าคนอื่นว่าการเติบโตของวาห์นนั้นเร็วผิดธรรมชาติแค่ไหน
ถึงจะเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง แต่การที่เด็กหนุ่มอายุสิบสี่อัพขึ้นมาสองเลเวลภายในเวลาไม่ถึงสองเดือนนั้นมันแปลกเกินไป
ยังไม่นับเรื่องที่เขาสวมบทวีรบุรุษและนำเด็กสาวที่ช่วยเอาไว้มาดูแลอีก
เพราะรู้ว่าตัวเองมี ‘สถานที่ปลอดภัย’ วาห์นก็เลยผลักดันตัวเองให้มากขึ้นพร้อมกับสะสมความเครียดมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือเรื่องของท่านอนูบิสและแฟมิเลียของเธอ แน่นอนว่าท่านเองก็น่าจะเข้าใจในความผิดปกติของสถานการณ์นี้
แม้ท่านอนูบิสจะตัดสินใจที่จะมาเป็นข้ารับใช้ของวาห์น แต่การที่เข้าต้องมารับผิดชอบดูแลคนอีกแปดคนนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะคะ”
วาห์นตระหนักว่าบรรยากาศเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงอยากทำให้มันดีขึ้นและพูดแทรก
“เอน่า เรื่องพวกนั้นฉันเป็นคนตัดสินใจเองนะ ถึงจะคล้อยตามสถานการณ์ไปบ้าง แต่ยังไงฉันก็ไม่ใช่คนปัดความรับผิดชอบอยู่แล้ว
ฉันถึงบอกไงว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ทุกคนมีความสุขเอง”
แม้จะพูดมันออกมาอย่างหนักแน่นและดูน่าเชื่อถือ แต่ทั้งเฮเฟสตัสและเอน่ากลับมองดูวาห์นด้วยสีหน้าเศร้าๆ
เฮเฟสตัสถอนหายใจหนักๆ ขณะมองไปที่เอน่าและพูดขึ้นบ้าง
“ตอนนี้ฉันพอจะเข้าใจแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อก่อนถึงได้ตาบอดมาตลอด…”
วาห์นสังเกตเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะดูแปลกๆ แต่เฮเฟสตัสก็ยกมือขึ้นเพื่อไม่ให้เขาพูดแทรก
หลังจากใคร่ครวญทุกอย่างดูแล้ว เธอก็มองไปที่เอน่า
“ในฐานะคนที่มองออกเป็นคนแรก เธอคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดคืออะไร?
เอน่ามองเข้าไปในดวงตาของเฮเฟสตัสและตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล
“ง่ายมากเลยค่ะ ตอนนี้สิ่งที่วาห์นต้องการก็คือคนที่จะมาคอยคุมและช่วยให้เขาใช้ชีวิตปกติ
ทางออกที่ดีที่สุดก็คือให้เขาแต่งงานกับใครสักคน
เพราะเขาเป็นคนที่ให้ความเคารพและเอาใจใส่มาก วาห์นจะทำอะไรก็คงต้องคิดถึงภรรยาก่อนเป็นคนแรก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเอน่า เฮเฟสตัสก็ถอนหายใจและถามต่อ
“งั้นก็กลับมาเรื่องที่เราคุยกันตอนแรกสินะ?”
เอน่าหัวเราะให้กับคำถามของเฮเฟสตัสเพราะมันฟังดูตลกมากสำหรับเธอ
ทั้งวาห์นและเฮเฟสตัสต่างมองเองฟ์สาวอย่างสงสัยขณะที่เธอเริ่มอธิบาย
“ท่านเฮเฟสตัสเข้าใจฉันผิดไปนิดนะคะ
ถึงฉันอยากจะรับบทบาทนั่นไว้คนเดียวและตั้งใจจะแต่งกับวาห์นเพราะเรื่องนี้ แต่ฉันคนเดียวคงเอาไม่อยู่หรอกค่ะ
หากวาห์นมีความสัมพันธ์กับท่านหรือเทพธิดาองค์อื่นๆ ในอนาคต เขาก็จะต้องมีภรรยาที่มีฐานะสูงพอจะกำกับดูแลหากต้องเจอหรือรับมือกับผู้ที่มีฐานะสูงกว่าตัวเขาเอง”
แม้ว่าวาห์นจะยังสับสนอยู่ แต่เฮเฟสตัสดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เอน่าอยากจะสื่อแล้ว และเทพสาวก็อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้
วาห์นเริ่มงงหนักกว่าเดิม แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไร เอน่าก็พูดต่อไป
“ใช่แล้วค่ะ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือให้วาห์นแต่งงานกับพวกเราทั้งคู่
หากมีทั้งมนุษย์และเทพธิดาในฐานะภรรยาคนแรก ตัวเลือกและทางเดินของวาห์นจะเปิดกว้างขึ้นกว่าเดิมมาก
(TL: มนุษย์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเผ่ามนุษย์ แต่หมายถึงเหล่าคนธรรมดาที่เกิด แก่ เจ็บ ตายได้ตามปกติ)
ฉันไม่อาจยับยั้งเทพธิดาองค์อื่นๆ จากการเข้าหาวาห์นได้เพราะไม่มีทั้งอำนาจและฐานะ แต่ท่านเฮเฟสตัสมีทั้งสองอย่างที่ว่านี้ แถมยังมีมากกว่าทุกคนที่อยู่ในเมืองด้วย”
จากคำอธิบายอย่างต่อเนื่องของเอน่า ในที่สุดวาห์นก็ตระหนักแล้วว่าเธอกำลังบอกให้เฮเฟสตัส แต่งงานกับเขาด้วยเช่นกัน (TL: พูดเฉลยให้หมดแล้วจะมาตระหนักอะไรอีกฟระ)
วาห์นรู้สึกตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ และไม่อาจหุบยิ้มให้กับสถานการณ์ตรงหน้าได้เลย
เฮเฟสตัสกำลังจ้องมองวาห์นเพราะเขามายืนอยู่ข้างหน้า และเธอก็เห็นว่าเขาดูมีความสุขแค่ไหนที่คิดว่าจะได้แต่งงานกับเธอ
เธอรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นระรัวของเด็กหนุ่มจากดวงวิญญาณของเธอเอง และนั่นทำให้เฮเฟสตัสรู้สึกมั่นใจในแผนของลูกครึ่งเอลฟ์… ไม่สิ เอน่ามากขึ้น
หลังจากการพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เฮเฟสตัสก็ยิ้มให้กับวาห์นและพูดต่อ
“ฉันอยากแต่งงานกับวาห์น… แต่มีอีกหลายปัจจัยที่จะต้องพิจารณาก่อน
เป็นเรื่องยากมากสำหรับเทพธิดาที่จะแต่งงาน โดยเฉพาะเทพธิดาที่จุติลงมาบนโลกมนุษย์ด้วยนี่ก็…”
ขณะกำลังคิดเรื่องต่างๆ อย่างรอบคอบ เฮเฟสตัสก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของตัวเอง
พอสังเกตเห็นว่าวาห์นดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อยขณะที่เธอพูดอยู่ เฮเฟสตัสจึงตัดสินใจได้ว่า ‘เรื่องนั้นช่างมันปะไร’
“เอาเถอะ ฉันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว ถ้านายอยากแต่งกับฉันจริงๆ… ฉันก็จะไม่ปฏิเสธ…”
เฮเฟสตัสเริ่มหน้าแดงขณะพูดมันออกมาและอดไม่ได้ที่จะโอบแขนไว้รอบทรวงอกตัวเองด้วยความรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น
ช่วงที่เธอเอ่ยว่าเต็มใจ วาห์นก็เข้าสู่โหมดตื่นเต้นแบบสุดๆ และตะโกนออกมาเสียงดัง
“ได้สิ! ได้โปรดแต่งงานกับฉันนะ เฮเฟสตัส!!”
แม้คาดหวังไว้แล้วว่าจะได้แต่งกับเธอในอนาคต แต่วาห์นก็พบว่าความคิดที่จะแต่งงานกับเธอและ เอน่าไปพร้อมๆ กันนั้นเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก
ถ้าเป็นแบบนี้ เขาจะสามารถป้องกันไม่ให้เฮเฟสตัสถูกมองว่าเธอเป็นพวก ‘ตกหลุมรักคนมีเจ้าของ’ ได้ด้วย
เอน่าพูดจากด้านข้างก่อนที่เฮเฟสตัสจะเอ่ยอะไรออกมา
“ถึงเขาจะดูเข้าใจผิดไปนิด… แต่นี่ก็ถือว่าดีที่สุดแล้วล่ะมั้ง
จะเอายังไงต่อไปดีคะ ท่านเฮเฟสตัส?”
เฮเฟสตัสสังเกตเห็นว่าแม้วาห์นอยากจะแต่งงานกับเธอจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดเรื่องอื่นอยู่ด้วย
เนื่องจากเริ่มรู้สึกกลัวการเข้าใจผิดซ้ำสอง เธอจึงถามเขาเสียก่อน
“ทำไมนายถึงอยากแต่งงานกับฉันขนาดนั้นล่ะ?
ฉันเข้าใจว่านายชอบฉันและนั่นก็ทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ แต่ดูเหมือนนายจะคิดเรื่องอื่นอยู่ด้วยนะ”
วาห์นสับสนไปเล็กน้อยขณะจ้องมองระหว่างดวงตาสีเขียวมรกตของเอน่า กับดวงตาสีแดงทับทิมของเฮเฟสตัส
หลังจากคิดไปเล็กน้อย เขาก็เริ่มอธิบาย
“ฉันกำลังคิดว่าถ้าเราได้แต่งกันก่อน ต่อไปเธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกอับอาย
เธอเคยบอกไปแล้วว่ารับเรื่องผู้หญิงคนอื่นได้ แต่ฉันรู้สึกว่ามันอาจจะทำให้เราทั้งคู่ต้องมาลำบากใจกันทีหลังถ้ามีคนเยอะกว่านี้น่ะ…”
ทั้งเอน่าและเฮเฟสตัสต่างถอนหายใจออกมาพร้อมกันขณะจ้องมองวาห์นด้วยความเอ็นดูและความกังวล
พอรู้ว่าทำแบบเดียวกัน สองสาวจึงสบตาให้กับอีกฝ่ายก่อนจะหัวเราะเล็กน้อย
วาห์นดูเหมือนสับสนมากกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่คำพูดต่อไปที่เขาได้ยินทำให้ความกังวลต่างๆ ลอยหายออกไปนอกหน้าต่างหมดเลย
เฮเฟสตัสจ้องมองวาห์นด้วยความรักใคร่ก่อนจะพูดให้เขาสบายใจ
“ถ้าไม่แต่งกับนายแล้วฉันจะไปแต่งกับใครได้อีกล่ะวาห์น
ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าคนอื่นจะคิดยังไง แล้วถ้าใครมีปัญหามากนัก… ฉันจะตามไปบดขยี้ให้สิ้นซากเลย”
เอน่าพยักหน้าหลังจากได้ยินคำกล่าวของเฮเฟสตัสในขณะที่วาห์นรู้สึกเสียวๆ ชอบกล
เขาเห็นว่านอกเหนือจากเรื่องความรักและความเอ็นดูที่เธอมีต่อเขาแล้ว เรื่องที่เธอจริงจังรองลงมาก็คือ… การไปไล่จัดการทุบหัวคนอื่นนี่แหละ
แม้จะยังรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่วาห์นก็เอื้อมมือออกมาในลักษณะเดียวกับที่ทำกับเอน่า
ดูเหมือนว่าเฮเฟสตัสจะสับสนเล็กน้อย แต่เอน่าก็ชี้มาที่แหวนทองฝังมรกตบนนิ้วนางของเธอโดยไม่พูดอะไร
ดวงตาของเฮเฟสตัสเบิกกว้างขณะที่เธอลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกมายืนอยู่ตรงหน้าวาห์น
แม้เขาจะไม่ได้ทำแบบนี้กับเอน่าเพราะทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ในเวลานั้น แต่วาห์นจำมาจากในหนังสือว่ามันเป็นมารยาทที่ฝ่ายชายจะต้องคุกเข่าต่อหน้าฝ่ายหญิงก่อนจะสวมแหวนแต่งงานให้
เมื่อเฮเฟสตัสมายืนอยู่ตรงหน้าเขาและยื่นมือให้ วาห์นก็คุกเข่าลงกับพื้นท่ามกลางความตกตะลึงของสองสาว
วาห์นมองเข้าไปในดวงตาคู่งามของเฮเฟสตัสและรู้สึกว่าหัวใจของเขาแทบจะระเบิดออกมาข้างนอก
เขารู้สึกมีความสุขมากที่จะได้แต่งงานกับเทพธิดาที่ดูแลเขามาโดยตลอดและใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้เขามีความสุข
เฮเฟสตัสได้สติอีกครั้งและยื่นมือออกมาขณะที่วาห์นเผยแหวนทองคำขาวที่ฝังทับทิมเม็ดโตไว้ตรงกลางออกมา
เอน่าจ้องมองแหวนและแสดงสีหน้าเหลือเชื่อขณะเริ่มคิดในใจว่าวาห์นวางแผนที่จะขอสาวๆ ทุกคนแต่งงานจนครบทุกคนเลยหรือเปล่านะ?
แต่พอนึกถึงเรื่องที่เธอถามก่อนหน้านี้ว่าเขาจะแต่งงานกับใคร เอน่าก็พอจะเข้าใจว่าคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากวาห์นได้เตรียมแหวนให้กับเทพสาวอยู่ก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องมีถามกันหน่อยหลังฉากด้านหน้านี้จบลง
เอน่าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวาห์น จงถามแบบหมดเปลือกและอย่างปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างคิดกันไปเอง
มือของเฮเฟสตัสสั่นเล็กน้อยขณะที่วาห์นสวมแหวนทองคำขาวฝังทับทิมบนนิ้วนางของเธออย่างช้าๆ
หลังจากทำตามพิธีสั้นๆ เสร็จแล้ว วาห์นก็ยืนขึ้นและก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อ เฮเฟสตัสก็เป็นฝ่ายเข้ามาจูบเขาอย่างรุนแรงและดูดดื่ม
เขาเริ่มจูบเธอกลับทันทีขณะที่เอน่าได้แต่มองดูทั้งสองจากด้านข้างด้วยสีหน้าช็อคๆ
เธอรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่วาห์นที่ต้องโดนคุม แม้แต่เฮเฟสตัสเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองด้วยเช่นกัน
หลังจากรออย่าง ‘อดทน’ ไปเกือบสามนาที ในที่สุดเอน่าก็ทนต่อไปไม่ไหวจนต้องกระแอมเสียงดังเพื่อทำให้ทั้งสองกลับมาสนใจโลกรอบตัวอีกครั้ง
เฮเฟสตัสและวาห์นมองเธอด้วยสีหน้าสับสนก่อนที่ดวงตาของเฮเฟสตัสจะเบิกกว้างและรีบแยกตัวออกจากวาห์นทันที
เธอรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไปหลังจากที่เขาสวมแหวนให้ จนไม่อาจเก็บกักอารมณ์เอาไว้ได้ก่อนจะโผเขาไปจูบ ‘คู่หมั้น’ ตรงหน้า
พอวาห์นเริ่มสนองกลับและวางมือลงบนบั้นท้ายที่แสนโปรดปราน เธอก็ลืมไปเลยว่ายังมีเอน่าอยู่ในห้องด้วยอีกคน
เฮเฟสตัสและวาห์นเริ่มจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางขณะที่เอน่าเอาแต่จ้องมองทั้งคู่ราวกับ ‘พี่ใหญ่’ ที่กำลังดุ ‘น้องๆ’
เธอหันไปหาวาห์นก่อนจะถามขึ้น
“วาห์น นี่นายซื้อแหวนเตรียมไว้ให้ผู้หญิงทุกคนที่กำลังคบอยู่เลยหรือเปล่าเนี่ย?”
พอได้ยินคำถาม วาห์นก็เลยตระหนักว่ามันเป็นเรื่องแปลกจริงๆ ที่เขาพกแหวนขอแต่งงานติดตัวไปไหนมาไหนด้วย
“เปล่า ฉันมีแค่สองวงนี้แหละ”
เอน่าดูมีความสุขกับคำตอบที่ได้และยิ้มไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาทางเฮเฟสตัสด้วยสีหน้าจริงจังแทน
เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ท่านเฮเฟสตัสคะ หากท่านอยากจะคุมสาวๆ คนอื่นให้อยู่หมัด… ท่านจะต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้มากกว่านี้นะคะ…”
สีแดงนิดๆ แห่งความเขินอายที่ยังไม่หายไปจากใบหน้าของเฮเฟสตัสเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำแห่งความละอายขณะที่เจ้าตัวก้มหน้าลงเล็กน้อย
เฮเฟสตัสอยากจะเถียงว่าเธอเป็นแบบนี้แค่กับวาห์นเท่านั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงแรงกดดันจากเอลฟ์สาว
ตอนนี้พวกเธอทั้งคู่จะกลายมาเป็น ‘ภรรยาหลวง’ ของวาห์นแล้วและคงจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอีกนาน
เฮเฟสตัสถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงเบา
“ฉันจะทำให้ดีที่สุดละกันนะ… เอน่า”