Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 158
วาห์นรู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตาขณะกำลังล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่าอันหนาวเหน็บ
เขารู้สึกเหมือนดวงตาทั้งสองข้างกำลังถูกเผาไหม้ และยังสัมผัสได้ถึงเลือดอุ่นๆ ตรงฝ่ามือขณะพยายามใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อระงับความเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะตั้งใจใช้สกิลมากแค่ไหน มันก็ยังไม่ยอมทำงานจนเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกัดฟันเพื่อทนรับความเจ็บปวด
แม้แต่สมองของเขาก็ยังรู้สึกเหมือนจะละลายตามไปด้วย และวาห์นก็คิดว่าตัวเองอาจจะเสียสติหากความเจ็บปวดนี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้น สัมผัสเย็นสงบก็แผ่กระจายไปทั่วจิตใจและเริ่มต่อสู้กับคลื่นความร้อนอันแสนเจ็บปวดตรงดวงตา
วาห์นหอบหายใจด้วยความโล่งอกและโมโหอย่างไม่รู้สาเหตุ
แม้ว่าความเจ็บปวดจะยังคงอาละวาดอยู่ภายในร่างกายต่อไป แต่สัมผัสเย็นสงบก็ทำให้เขารู้สึกสบายขึ้นมานิดหน่อยและยังช่วยปกป้องจิตใจไม่ให้เขาเป็นบ้าไปซะก่อน
หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดความเจ็บปวดก็เริ่มลดลงขณะที่สัมผัสเย็นสงบเริ่มแผ่ออกไปทั่วทั้งร่างกาย รวมไปถึงดวงตาที่ตอนนี้รู้สึกแห้งแบบสุดๆ
หลังผ่านไปอีกหลายชั่วโมง สัมผัสเย็นสงบก็คืน ‘ความชื้น’ ให้กับดวงตาจนอาการปวดแสบปวดร้อนจางหายไปหมดแล้ว
วาห์นรวบรวมพละกำลังขณะพยายามเปิดตาขึ้นและรู้สึกหวาดกลัวเนื่องจากมองอะไรไม่เห็นเลย
พอเอื้อมมือขึ้นไปจับใบหน้า วาห์นก็สัมผัสได้ว่าดวงตาทั้งสองนั้นเปิดอยู่ แต่เขากลับมองไม่เห็นอะไรแม้แต่อย่างเดียว
ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ไม่มีแสงอะไรเข้ามากระทบกับดวงตาเลย
ถ้าไม่ได้ลองไปลูบๆ คลำๆ ดู วาห์นคงคิดว่าร่างกายได้หายไปแล้ว
วาห์นรู้สึกขุ่นเคืองในใจขณะที่มีหยดน้ำตาออกมาจากดวงตาที่มองไม่เห็น
เขาพยายามร้องหาความช่วยเหลือโดยการเรียกพี่สาว แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบกลับเหมือนอย่างเคย
วาห์นรู้สึกโดดเดี่ยวมากภายใต้ความเงียบและกับการที่เขามองไม่เห็นอะไรเลย
เมื่อจินตนาการว่าอาจจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือเยี่ยงคนตาบอด วาห์นก็รู้สึกโศกเศร้ามากขณะเริ่มนึกย้อนถึงใบหน้าของเหล่าคนใกล้ชิดในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา
เมื่อคิดว่าอาจจำไม่ได้เห็นสีหน้าต่างๆ อีกแล้ว หัวใจของเด็กหนุ่มก็เริ่มพังทลาย
มันไม่ได้เป็นเพราะสูญเสียการมองเห็นหรือการที่เขาอาจจะกลับไปต่อสู้ไม่ได้อีก แต่เป็นเพราะเขาอาจไม่ได้เห็นรอยยิ้มของคนที่เขาห่วงใยได้อีกต่อไปแล้ว…
ชั่วโมงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นวันขณะที่วาห์นยังคงร้องไห้ไปเรื่อยๆ ขณะล่องลอยอยู่ในมิติที่ไม่มีแม้แต่แสงหรือเสียงนอกไปจากความทรงจำในหัวของตัวเอง
ทั้งสกิลและความสามารถต่างๆ นั้นราวกับถูกผนึกเอาไว้ รวมไปถึงระบบของ ‘เดอะพาธ’ ด้วย
สิ่งเดียวที่ยับยั้งไม่ให้วาห์นสติแตกก็คือสัมผัสเย็นสงบที่ยังคงอยู่ภายในจิตใจ
เขารู้ว่ามันเป็นผลมาจากสกิล [จิตแห่งราชัน] และนั่นก็เป็นการปลอบประโลมว่าเขายังไม่ได้สูญเสียทุกอย่างไป
หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก วาห์นก็ค่อยๆ ปล่อยวางความคิดและปล่อยให้ร่างกายล่องลอยอยู่ในมิติจนกระทั่งได้มองเห็นอะไรบางอย่าง
แม้จะไม่ได้ตอบสนองอะไรในตอนแรก แต่เมื่อสมองของเขาประมวลได้ว่าสิ่งที่ ‘เห็น’ นั้นคืออะไร วาห์นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง
น้ำตาที่คิดว่ามันแห้งเหือดไปนานแล้วเริ่มไหลออกมาราวกับคลื่นยักษ์ขณะที่เขายื่นมือออกไปยังแสงสว่างสีขาวขนาดเล็ก
มันเป็นแสงที่เล็กมากจนเกือบจะคิดไปว่าตัวเองตาฝาด แต่หัวใจของวาห์นก็รู้ดีว่ามันมีอยู่จริง
เขาอยากจะยื่นมือออกไปและคว้ามันไว้เหลือเกิน…
ทันใดนั้น แสงขนาดเล็กก็ระเบิดขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน พร้อมกับที่พลังบางอย่างเข้ามาปะทะกับร่างกายอย่างรุนแรง
แม้จะสัมผัสได้ว่าแรงระเบิดนั้นทรงพลังมากกว่าทุกอย่างที่เคยเจอมา แต่คลื่นกระแทกก็ทะลุผ่านร่างกายของวาห์นโดยไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรเลย
แม้ว่าจะดูรุนแรง แต่วาห์นก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น นอกเสียจากพลังงานอบอุ่นที่แทรกซึมเข้ามาทั่วร่างกาย
มิติเงียบสงบที่ไม่เคยมีอะไรเลยก่อน จู่ๆ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีสันมากมายที่ออกมาจากตำแหน่งของดวงแสงเล็กๆ
วาห์นสัมผัสได้ถึงพลังงานที่แผ่ออกไปทั่วร่างกาย ราวกับว่ามันกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงทุกอย่างภายในมิติแห่งนี้
เขารู้สึกได้ถึงกระแสเวลาที่ไหลราวกับเป็นแม่น้ำอันเชี่ยวกราก ขณะได้เห็นถึงการรวมตัวของกลุ่มก๊าซ ดวงดาว และแม้แต่ดาวเคราะห์ที่กำลังเติมเต็มมิติซึ่งในอดีตนั้นเคยว่างเปล่า
วาห์นรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังเฝ้ามองการกำเนิดของทั้งจักรวาล และแม้ตัวเองจะทำอะไรไม่ได้เลย แต่มันก็ทำให้รู้สึกภูมิใจที่ได้มาประจักษ์ถึงสิ่งที่งดงามและยอดเยี่ยมแบบนี้
เวลานานหลายปีที่เขาล่องลอยโดยที่ไม่มีแสงหรือเสียง และตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายใต้การมองเห็นก็ช่วยทำให้จิตใจของเขาดีขึ้นมาก
แม้แต่อนุภาคเล็กๆ และฝุ่นละอองที่ล่องลอยอยู่ภายในความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกสนใจได้อย่างไม่มีวันจบ
วาห์นเริ่มรู้สึกเหมือนทุกอย่างนั้นมีความงามอยู่ในตัวเอง ขณะที่ดวงตาของเขาเฝ้ามองพวกมันไปเรื่อยๆ
เขาลืมไปแล้วว่ามาอยู่ในมิตินี้นานแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ วาห์นก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือโศกเศร้าอีกแล้ว
แม้จะมีความปรารถนาบางอย่างที่จำไม่ได้แล้วว่ามันคืออะไร แต่เขาก็รู้สึกพอใจกับการเฝ้ามองวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่และทำลายล้างที่อยู่รอบตัว
ในตอนที่ วาห์นรู้สึกเหมือนทุกอย่างช่างดูเป็นระเบียบและมีเหตุผลเหลือเกิน
ความรู้สึก ‘สมบูรณ์’ ได้แผ่กระจายออกไปทุกส่วนของร่างกายเมื่อนึกย้อนไปถึงจุดแสงเล็กๆ ที่เป็นต้นกำเนิดของทุกอย่าง
ในขณะที่วาห์นกำลังเพลิดเพลินไปกับความรู้สึก ‘สมบูรณ์’ ภายในร่างกาย แสงต่างๆ รอบตัวกลับค่อยๆ จางหายไปทีละนิด
แม้ตอนแรกเขาจะไม่ได้สนใจ เพราะการทำลายล้างเองก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตามธรรมชาติเช่นกัน
แต่หลังจากที่แสงไฟหายไปทีละมากๆ วาห์นก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อมองไปทางจุดกำเนิดของสีสันมากมาย วาห์นก็เห็นแต่ความมืดที่กำลังคืบคลานออกไปทุกทิศทาง
ถึงอยากจะไปหยุดยั้งการรุกรานของมัน แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว
วาห์นไม่สามารถหยุดยั้งความมืดจากการเข้ามากลืนกินทุกอย่างได้
เป็นอีกครั้งที่เวลาผ่านไปนานอย่างไม่น่าเชื่อ ความมืดก็กลืนกินทุกอย่างไปหมด
ทันใดนั้นวาห์นก็รู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้งขณะที่ดวงตาของเขาจ้องมองเข้าไปในความมืด แต่กลับไม่พบแสงอะไรอยู่เลย
เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้ตาบอด แต่เป็นเพราะมันไม่เหลืออะไรให้มองเลยต่างหาก
แม้จะลองท่องไปทั่วความว่างเปล่านี้ เขาก็ยังหาแสงที่เคยปลอมประโลมจิตใจไม่เจอเสียที
ความรู้สึกสิ้นหวังอย่างรุนแรงเริ่มผุดขึ้นในใจขณะที่วาห์นเพ่งสมาธิเข้าไปในร่างกายตัวเอง
แม้จะใช้ ‘เดอะพาธ’ หรือความสามารถต่างๆ ไม่ได้ แต่มันก็ไม่อาจหยุดความพยายามของเขาลงได้
เขากำลังมองหาบางสิ่งอย่างหมดหวัง มันจะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้เจออะไรสักอย่างที่อาจช่วยฟื้นฟูแสงสว่างให้กลับคืนมาอีกครั้ง
ในที่สุดเขาก็พบกับสิ่งที่กำลังตามหาซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในแกนกลางหัวใจของเขาเอง
แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไปอยู่ตรงนั้น แต่วาห์นก็รู้โดยสัญชาตญาณว่าเขาต้องหามันเจอแน่นอนหากใช้วิธีนี้
ภายในหัวใจของเขา หรือตำแหน่งที่เชื่อว่าเป็นที่ที่หัวใจควรจะอยู่ ปรากฏแสงสีฟ้าขนาดเล็กที่ชวนให้นึกถึงแสงสีขาวอันแสนจะคิดถึง
วาห์นห่อเจตจำนงของตัวเองไว้รอบแสงนั้นและค่อยๆ นำมันออกมาด้านนอกร่างกาย
แม้ในมิติแห่งนี้จะไม่มีอะไรเลย แต่แสงประกายสีฟ้าก็ค่อยๆ สะท้อนกับผิวกายและฝ่ามือของเขาที่กำลังใช้ประคองแสงนั้นอยู่
แม้ว่าตอนนี้จะเกิดช่องว่างในใจซึ่งเป็นตำแหน่งที่เคยเก็บแสงสีฟ้าเอาไว้ แต่วาห์นก็ยังรู้สึกมีความสุขขณะจ้องมองแสงอันแสนอ่อนโยน
น้ำตาเริ่มไหลลงมาที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มขณะที่เขาเริ่มนึกย้อนถึงภาพต่างๆ จากอดีตอันไกลโพ้น
ช่วงเวลาก่อนที่แสงสีขาวจะเริ่มแผ่ออกไป วาห์นก็มองเห็นอีกร่างหนึ่งที่มาสะท้อนกับแสงนั่นซึ่งเขาในตอนนั้นไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าไหร่
ตอนนี้พอกลับมาคิดดูอีกครั้ง วาห์นเหมือนกับจะเห็นดวงตาของใครอีกคนหนึ่งที่สะท้อนเข้ากับแสงสีขาวด้วย
แต่พอวาห์นยื่นมือออกไปที่แสงนั่น วัฏจักรของการเกิดใหม่และทำลายล้างก็เริ่มขึ้นทันที
ตอนนี้วาห์นกำลังถือแสงสีฟ้าอยู่ในมือด้วยท่าทางที่คล้ายกับร่างๆ นั้น
ขณะค่อยๆ ชูแสงสว่างขึ้น เขาก็มองเข้าไปในความมืดและรู้สึกได้ถึงความรักอันแรงกล้าที่เริ่มแผ่ขยายไปทั่วตัว
เขายังมองเห็นดวงตาอันนับไม่ถ้วนที่กำลังมองลอดออกมาจากความมืดและจ้องมาที่แสงสว่างในมือของเขา
ดวงตาเหล่านั้นดูโศกเศร้า สิ้นหวัง และทำให้วาห์นนึกถึงตัวเองเมื่อนานมาแล้ว
ช่วงที่หนึ่งในดวงตาเหล่านั้นเข้ามาใกล้ วาห์นก็หายใจออกเบาๆ และแสงสีฟ้าที่อยู่ในมือของเขาก็ระเบิดออกมาด้วยพลังมหาศาล
มันไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่พลังงานพุ่งผ่านเขาไปอย่างอิสระ
คราวนี้พวกมันฉีกวาห์นเป็นชิ้นๆ ราวกับต้องการใช้ร่างของเขาเป็นเชื้อเพลิงและรากฐานของการเกิดใหม่และทำลายล้างที่กำลังจะตามมา…
ความปรารถนาสุดท้ายก่อนที่ตัวตนของวาห์นจะหายไปก็คือ… เขาปรารถนาว่าการเสียสละของตัวเองจะสามารถต่อต้านความมืดได้นานยิ่งกว่าแสงสีขาวซึ่งเคยนำพาความสุขมาให้เขาอย่างล้นพ้น
—
วาห์นตื่นขึ้นมาบนเตียงที่ซื้อให้กับเอวานเจลีนและจ้องมองท้องฟ้าสีดำไม่รู้จบที่อยู่ด้านบน
ตอนแรกเขานึกว่าตัวเองยังติดอยู่ในพื้นที่อับแสงอันไร้ที่สิ้นสุด แต่เมื่อรู้สึกถึงผ้าที่ปกคลุมร่างกายอยู่ ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัย
จากทางด้านซ้าย เสียงที่ฟังดูหงุดหงิดแต่อ่อนโยนก็เริ่มดังขึ้น
“เป็นเด็กผู้ชายจะร้องไห้ง่ายๆ ได้ยังไง… ดูงี่เง่าชะมัด”
พอหันหัวไปทางนั้น วาห์นก็มองเห็นเอวานเจลีนกำลังมองมาทางเขาด้วยสีหน้าดูถูกหน่อยๆ
อย่างไรก็ตาม เขาสามารถมองเห็นความกังวลที่อยู่ในออร่าและแววตาของเธอได้อย่างชัดเจน
วาห์นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขเพราะอย่างน้อยตอนนี้ก็มีเพื่อนอยู่ด้วย
หลังจากที่ตนเองได้จมอยู่ในความว่างเปล่ามาเป็นเวลานานแสนนาน แม้จะได้สัมผัสถึงการเกิดใหม่และดับสูญของทุกสิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ ‘ความสมบูรณ์แบบ’ ที่เขารู้สึกนั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกับคนรอบข้างแม้แต่วินาทีเดียว
ถึงจะรู้ว่าเธออาจมาโมโหใส่ทีหลัง แต่วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดขึ้น
“หลังจากรู้สึกเหมือนได้หลับไปนานมาก ฉันล่ะดีใจจริงๆ ที่ได้ตื่นขึ้นมาอยู่ข้างสาวสวย”
เอวานเจลีนขมวดคิ้วแทบจะทันทีก่อนหันหลังกลับและกระโดดลงจากเตียง
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ โดยที่ไม่มองหน้าวาห์น
“นายนอนไปเกือบยี่สิบชั่วโมงแล้วนะ ไม่ใช่ว่าต้องรีบไปฝึกต่อเหรอ?
ไม่ต้องมาทำทะเล้นใส่ฉันเลย มันเสียเวลาชีวิต”
แม้เธอจะดูโกรธ แต่วาห์นก็ยังคงมองตามแผ่นหลังของเอวานเจลีนขณะที่เธอกลับไปนั่งลงที่โต๊ะ
เขาเห็นว่าตอนที่เอ่ยปากชมออกไปนั้น ออร่าของเธอดูปั่นป่วนไปเล็กน้อยและมีสีชมพูขึ้นมาหน่อยๆ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเธอเป็นเพียงแค่ความทรงจำ วาห์นจึงไม่สามารถมองเห็นค่าความชื่นชอบของเธอได้ แต่เขาเดาได้เลยว่ามันไม่ได้มีน้อยเหมือนกับที่เธอชอบแสดงออกมาแน่นอน
หลังจากสงบความคิดต่ออีกหน่อย วาห์นก็กระซิบในใจ
(“พี่สาว อยู่หรือเปล่า?”)
พอได้ยินเสียงของหญิงสาวดังขึ้นในหัว วาห์นก็รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก
พี่สาวเป็นสิ่งที่เขาคิดถึงมากที่สุดในระหว่างที่ ‘ฝันไป’ และพอได้ยินเสียงของเธออีกครั้ง เขาถึงแน่ใจได้กว่าตนกลับมาแล้วจริงๆ
แม้ว่าพี่สาวจะไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่มันก็นำความสุขมากมายมาให้กับหัวใจของวาห์นขณะที่เธอพูดขึ้น
(*อรุณสวัสดิ์ วาห์น ฉันอยู่นี่ตลอดอยู่แล้ว*)
วาห์นถอนหายใจโล่งอกขณะเริ่มตรวจสอบระบบว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างแล้วก็พบมันแทบจะทันที
ตามที่คาดการณ์ไว้ วาห์นได้รับความสามารถใหม่ที่เกี่ยวกับการมองเห็นซึ่งน่าจะมาจากตอนที่เขาเฝ้ามองการโจมตีของเอวานเจลีน
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เวลาเริ่มเดินช้าลงแบบนี้ ดังนั้นวาห์นจึงนึกอยู่แล้วว่าคงจะได้รับสกิลใหม่แน่ๆ…
[ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง]
ระดับ: สกิลแฝง (B) *สกิลแฝงนั้นไม่สามารถทำการระบุได้ ความพยายามที่จะระบุมันจะส่งผลให้เกิดแรงโต้กลับ*
[ติดตัว]: เสริมประสาทการรับรู้และการมองเห็นเป็นจำนวนมาก ต้านทานภาพลวงตาได้อย่างสมบูรณ์โดยขึ้นอยู่กับระดับของสกิล
[ใช้งาน]: ‘ว่างเปล่า’ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนกลับคืนสู่ความว่างเปล่า