Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 161
ขณะที่วาห์นกำลังเดินเล่นไปรอบๆ และดึงดูดความสนใจของผู้คนไปทั่ว กลุ่มสาวๆ ก็ได้มารวมตัวกันโดยมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังทำอยู่
หากรู้ล่วงหน้าว่าเขาไม่คิดจะอยู่ติดบ้าน บางทีพวกเธออาจส่งคนไปเฝ้าเอาไว้แล้ว
แย่หน่อยที่พวกหนุ่มๆ จาก ‘สุนัขล่าเนื้อ’ คงคุมเขาไม่อยู่ ส่วนคนอื่นที่พอจะไว้ใจได้ก็ต้องมาเข้าร่วมประชุมกันหมด
แม้แต่เวลฟ์ผู้เป็น ‘สหาย’ ของวาห์น ก็มัวแต่ยุ่งกับงานวิจัยของตัวเองจนไม่ว่างมาช่วย
ผู้จัดการประชุมครั้งนี้คือเฮเฟสตัสกับเอน่าและพวกเธอได้จองคาเฟ่ที่อยู่ภายใต้การบริหารของเฮเฟสตัสแฟมิเลียเอาไว้สำหรับการประชุมครั้งแรกซึ่งเกี่ยวข้องกับวาห์นโดยตรง
ขณะนี้หญิงสาวทั้งสองนั่งอยู่ตรงศูนย์กลางของโต๊ะขนาดใหญ่และกำลังรอการมาถึงของทุกคน
เฮเฟสตัสมีสีหน้าเงียบขรึมตามปกติขณะจ้องมองสาวๆ แต่ละคนที่มาถึงแล้ว
ส่วนเอน่านั้นใช้รอยยิ้มแบบพนักงานต้อนรับมืออาชีพขณะผายมือให้แต่ละคนไปนั่งประจำที่
สามคนแรกที่มาถึงคือสึบากิ นาซ่า และลิลลี่ซึ่งได้รับข้อความตั้งแต่เมื่อวานนี้
แม้พวกเธอจะยังไม่รู้ว่าเรื่องที่จะคุยกันนั้นมีอะไรบ้าง แต่ก็พอเดาได้ว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับวาห์น ทั้งสามจึงรีบมาก่อนที่การประชุมจริงๆ จะเริ่ม
สึบากิสังเกตว่าบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดก่อนที่งานจะเริ่มซะอีก และเธอสงสัยว่านี่อาจเป็นหัวข้อที่จริงจังกว่าที่เธอคาดเอาไว้
เธออยากจะซักถามขึ้นมาตอนนี้เลย แต่หญิงสาวลูกครึ่งเอลฟ์ที่ชื่อ ‘เอน่า’ ก็บอกว่าเธอกับเฮเฟสตัสจะตอบคำถามทุกอย่างหลังจากที่ทุกคนมากันครบแล้ว
ลิลลี่และนาซ่ามีสีหน้ากังวลขณะนั่งลงข้างสึบากิซึ่งอยู่ทางด้านขวาของเฮเฟสตัส
ทั้งสองยังคงนิ่งเงียบขณะเฝ้ารอคนอื่นๆ และลิลลี่ก็เริ่มตระหนักแล้วว่าทำไมพวกเธอถึงมารวมตัวกัน
ไม่นานหลังจากที่พวกของสึบากิมาถึง อนูบิสผู้ที่ปฏิเสธเธอและนาซ่าไม่ให้เข้าเยี่ยมวาห์นมาตลอดทั้งสัปดาห์ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยใบหน้าสงบเยือกเย็น
ผู้ที่มาพร้อมกับเทพธิดาก็คือเด็กสาวเชียนโธรปสามคนที่ลิลลี่เคยเจอแบบผ่านๆ เมื่อพวกเธอมาขอให้สึบากิสอนบทเรียนอะไรบางอย่างให้
อนูบิสและเฮเฟสตัสทักทายกันอย่างสุภาพก่อนที่เทพสุนัขจะรู้สึกว่าบรรยากาศในนี้ค่อนข้างแปลกและเริ่มนั่งลงโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
แม้จะได้เห็นด้านที่น่ารักของเฮเฟสตัสมาแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้หลอกตัวเองว่าจะสามารถพูดเล่นกับเทพธิดาแห่งเปลวเพลิงได้ตามใจชอบ
เธอเข้ามานั่งทางด้านซ้ายตามที่เอน่าจัดไว้ให้ พร้อมเด็กหญิงทั้งสามซึ่งก็คือนานู มาอัตและชีโอนนั่นเอง
กลุ่มสามที่มาถึงก็คือสองสาวหูแมวที่นาซ่าและลิลลี่เคยสรุปกันไว้ว่าต้องระวังสองคนนี้มากเป็นพิเศษ
หญิงสาวคนแรกนั้นออกจะดูบอบบางมาก เธอมีเรือนผมสีดำกับดวงตาสีเขียวและให้ความรู้สึกว่าเป็นคนขี้เล่น
ส่วนคนที่สองนั้นดูท่าทางซุ่มซ่ามและมีเรือนผมกับดวงตาสีน้ำตาล
ลิลลี่กับนาซ่ามักไปทานข้าวกับวาห์นที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นพวกเธอจึงจำได้ทันทีว่าคู่ที่มาใหม่ก็คือโคลอี้และอาเนียนั่นเอง
ดูเหมือนว่าโคลอี้จะตระหนักถึงอะไรบางอย่างหลังจากเข้ามาในห้อง ขณะที่สายตาของเธอลากผ่านไปตามผู้ที่มาถึงก่อน
เธอเดินไปนั่งที่ด้านข้างของนาซ่าและลิลลี่โดยไม่พูดอะไร ขณะที่อาเนียได้แต่เดินตามเธอไปด้วยสีหน้างงๆ
ทันทีที่พวกเธอมาถึง อาเนียก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดและสายตา ‘ประเมิน’ ของทุกคนก็มาตกอยู่ที่โคลอี้และตัวเธออย่างไม่ทราบสาเหตุ
แม้อาเนียรู้สึกอยากจะหนีไปให้ไกลๆ แต่เธอก็ไม่อาจละทิ้งเพื่อนสาวไว้ที่นี่คนเดียวได้ จึงได้แต่ตามหลังโคลอี้และมานั่งถัดจากหญิงสาวสองคนที่พอคุ้นหน้าอยู่บ้าง
ตอนนี้คนส่วนใหญ่ในห้องก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าพวกเธอมีอะไรที่เหมือนและเกี่ยวข้องกัน ทุกคนจึงเริ่มมองมาทางเทพธิดาผมสีแดงเพลิงและลูกครึ่งเอลฟ์ที่ดูอ่อนโยน
เอน่าสังเกตเห็นสายตาของพวกเธอและอธิบายด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“เรายังต้องรอสมาชิกที่เหลือถึงจะเริ่มกันได้ โปรดอดใจรอสักครู่นะคะ
งานนี้เราได้จัดเตรียมอาหารไว้พร้อมแล้วและจะเสิร์ฟเครื่องดื่มและของทานเล่นในอีกสักครู่ค่ะ”
เอน่าจัดการทุกอย่างได้แบบมืออาชีพเพราะมีประสบการณ์ทำงานมากับทางกิลด์ และเธอก็กำลังเตรียมที่จะรับบทบาทในฐานะหนึ่งในภรรยาคนแรกของวาห์นอย่างเป็นทางการ
ตอนนี้เธอจึงต้องพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและดูมั่นใจมากเป็นพิเศษ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อทุกคนเริ่มคุยกันเบาๆ
ตามที่เอน่าแจ้งไว้ก่อนแล้ว พนักงานของทางร้านเริ่มเข้ามาบริการทุกคนขณะรอให้สมาชิกที่เหลือมาถึง
ไม่นานคนอีกกลุ่มก็ปรากฏตัวขึ้น
กลุ่มนี้ใหญ่กว่าทุกกลุ่มที่ผ่านมาเพราะประกอบไปด้วยผู้หญิงถึงห้าคน
ผู้ที่เดินนำมาคือหญิงสาวท่าทางร่าเริงและซุกซนและมีผมสีแดงกับตาที่หรี่จนมองแทบไม่เห็น
ตามมาด้วยสาวชาวอเมซอนที่ดูมีชีวิตชีวา สาวงามผิวขาวที่มีผมเรือนผมสีทองยาวสลวย สาวเอลฟ์ผมสีเขียวที่ดูเป็นผู้ใหญ่สมกับหน้าตาที่นิ่งสงบ และสาวเอลฟ์ผมยาวสีเหลืองทองที่ไว้ผมทรงหางม้าซึ่งดูเด็กกว่าคนอื่นๆ
พวกเธอถือได้ว่าอยู่ ‘ฝ่าย’ เดียวกันในการประชุมครั้งนี้ซึ่งประกอบไปด้วยโลกิ เทพธิดาของโลกิแฟมิเลีย และผู้ติดตามของเธอ ทีโอน่า ไอส์ รีเวเรีย และเลฟิย่า
เมื่อพวกเธอเข้ามาในห้อง โลกิก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มกวนๆ ขณะมองมาทางเฮเฟสตัสและถามขึ้น
“คิคิคิ เป็นการรวมตัวกันที่น่าสนใจดีนะ ว่าไหม?
ฉันขอเล่นเกมทายจุดประสงค์การประชุมได้หรือเปล่านะ~?”
เฮเฟสตัสที่นั่งเงียบมาตลอดเริ่มเงยหน้าขึ้นมามองโลกิด้วยสีหน้าจริงจัง
“เดี๋ยวเราก็เริ่มกันแล้ว คนอื่นๆ ยังรอได้เลย แถมเธอยังมาถึงเกือบสุดท้ายด้วย รอต่ออีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง?
โลกิหัวเราะด้วยท่าทางซุกซนเป็นการตอบขณะพูดต่อ
“แน่นอนๆ ไม่มีปัญหา~! ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าพวกเราจะได้คุยเรื่องอะไรกันบ้างน้า~”
แม้ว่าทุกคนในห้องดูเหมือนจะรู้อยู่แล้ว แต่พอการได้ยินคำพูดของโลกิที่เหมือนเป็นการตอกย้ำ ภาพของเด็กผู้หนุ่มในใจของทุกคนก็ยิ่งแจ่มชัดกว่าครั้งไหนๆ
แม้แต่ทีโอน่าที่หัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็ยังพอเข้าใจเลยว่าพวกเธอมารวมตัวทำไมกัน
เธอตรวจสอบสาวๆ ทุกคนด้วยดวงตาที่เปล่งประกายและรอยยิ้มกว้างขณะหันไปกระซิบกับไอส์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ดูสิไอส์ นี่คือผู้หญิงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับวาห์นของเรา~
ดีใจไหมที่เราชิงลงมือก่อน?”
ไอส์เองก็กำลังสอดส่องทุกคนในห้องและพอได้ยินคำถามของทีโอน่า เธอก็พยักหน้าและตอบกลับไป
“อืม เราทำดีแล้ว… คู่แข่งเยอะมาก”
เช่นเดียวกับดวงตาที่เปล่งประกายของทีโอน่า จิตวิญญาณนักแข่งของไอส์เริ่มลุกโชนขึ้นมาที่ดวงตาของหญิงสาวขณะที่เธอเฝ้าประเมินดูทุกคน
เนื่องจากทุกคนรู้ข่าวลือที่เกี่ยวกับทีโอน่าและไอส์เป็นอย่างดี พวกเธอจึงจ้องมองสองสาวด้วยสีหน้าจริงจัง
นาซ่าและลิลลี่รู้สึกกดดันเมื่อเจอกับสองสาวที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ และเป็นที่รู้กันว่าพวกเธอคือ ‘การเข้าพิชิต’ ครั้งแรกของวาห์น
แววตาของโคลอี้เริ่มเปล่งแสงขณะมองไปทางนักผจญภัยระดับ 5 สองคนที่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับวาห์น
เมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มที่เคยโดดเดี่ยวและมีอดีตอันแสนเศร้า เธอก็เกิดอยากจะโทษสองสาวที่ชักนำเขาสู่เรื่องที่ยังไม่ควรทำ
เธอรู้ว่าวาห์นไม่ใช่ประเภทที่จะเข้าหาคนอื่นแบบเชิงรุก ซึ่งก็หมายความว่าพวกเธอจะต้องเป็นคนฝังความคิดนี้ในหัวของเขาแน่นอน
แม้โคลอี้จะไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าวาห์นด้วยตัวเอง แต่เธอก็จะไม่ปฏิเสธหากเขาเป็นฝ่ายเข้าหาเธออีกครั้งในอนาคต
โคลอี้รู้สึกว่าสถานการณ์ของเด็กหนุ่มนั้นเริ่มจะแปลกมากขึ้นทุกที และเธอต้องการที่จะใช้การประชุมนี้เพื่อเป็นโอกาสในการชี้แจงเรื่องต่างๆ ให้ชัดเจน
แม้จะยังไม่รู้ตัว แต่ใจของเธอนั้นเข้าข้างเฮเฟสตัสและเอน่าก่อนที่การประชุมจะเริ่มขึ้นเสียอีก
กลุ่มของโลกินั้นมานั่งที่ฝั่งตรงข้ามจากทุกคนและทำให้บรรยากาศดูคุกรุ่นขึ้นมาก
แม้เธอจะยังไม่ได้พูดถึงเหตุผลของการประชุม แต่โลกิก็เริ่มสนทนากับสาวๆ คนอื่นรอบโต๊ะขณะคอยพูดจาแบบอ้อมๆ
เธอคอยถามเรื่องชีวิตส่วนตัวของพวกสาวๆ และเรื่องที่พวกเธอมีใครอยู่ในใจหรือยัง…
ผ่านไปอีกยี่สิบนาที กลุ่มสุดท้ายก็ปรากฏตัวขึ้นและดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้อง
พวกเธอคือสองสาวเผ่ามนุษย์แมวที่ดูคล้ายกันมากและทุกคนเดาว่าทั้งสองน่าจะเป็นแม่ลูกกัน
พวกเธอมีผมสีน้ำตาลและต่างดูประหม่าเล็กน้อยเมื่อต้องเจอกับสายตาของทุกคน
เด็กสาวตัวน้อยที่ถักผมเปียนั้นเข้าไปแอบอยู่ด้านหลังผู้เป็นแม่อยู่พักหนึ่ง แต่แล้วเธอก็จำใบหน้าของหนึ่งในคนที่นั่งอยู่ได้จนต้องกระโดดออกมาและชี้ไปที่ลิลลี่พร้อมตะโกนขึ้น
“นี่เธอ~เมี๊ยว!
เธอเอาวาห์นไปซ่อนไว้ที่ไหนกัน~เมี๊ยว!?”
ลิลลี่รู้สึกประหลาดใจขณะมองไปที่ใบหน้าของเด็กสาวตัวน้อยที่เธอจำได้ว่าชื่อ ทีน่า ยูเอล
หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังพร้อมรอยยิ้ม ‘น่ากลัว’ ก็คือ มิลาน ผู้แม่ของทีน่า ซึ่งทั้งคู่ก็ได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมงานครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
แม้รายชื่อในตอนแรกนั้นยังมีอีกสองสามคน แต่เฮเฟสตัสและเอน่าก็ได้จัดการคัดจนเหลือแค่สิบหกคนซึ่งมีทั้งเทพและมนุษย์ และพอรวมพวกเธอเข้าไปด้วยก็จะกลายเป็นสิบแปดคน
จำนวนผู้หญิงมากมายขนาดนี้นั้นทำให้เฮเฟสตัสรู้สึกปวดหัวนิดๆ และอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวขณะจินตนาการถึงใบหน้าไร้เดียงสาและยิ้มแย้มของเด็กหนุ่มที่เธอหลงรัก
ก่อนที่ลิลลี่จะได้ตอบคำถามของทีน่า เอน่าก็พูดออกมาให้ได้ยินกันทั้งห้อง
“ยินดีต้อนรับมิลานกับทีน่าและทุกคนที่มาถึงแล้วด้วยนะคะ
ถ้าทั้งสองเข้ามานั่งที่เรียบร้อยแล้ว เราก็จะเริ่มหารือกันเลยว่าทำไมถึงได้เรียกทุกคนมาในวันนี้”
ทีน่าดูเหมือนจะยังอยากคุยกับลิลลี่ แต่มิลานก็คว้ามือของเด็กสาวและพาเธอไปนั่งลงตรงข้ามกับนาซ่าและลิลลี่
แม้ทั้งสองจะไปนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของโลกิแฟมิเลีย แต่ก็ไม่ได้ความว่าพวกเธอจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน
หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว เอน่าก็หันไปหาเฮเฟสตัสขณะที่เทพสาวเริ่มพูดแบบเป็นการเป็นงาน
“ฉันแน่ใจว่าทุกคนคงพอรู้แล้วว่าทำไมถึงถูกขอให้มาที่นี่” หลังจากพูดแล้ว เฮเฟสตัสก็ส่งสายตาให้กับทุกคนก่อนพูดต่อ
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอดีต ปัจจุบันและอนาคตของวาห์น เมสัน
หากเลือกที่จะอยู่ในการประชุมนี้ต่อ พวกเธอจะถูกขอให้ทำพิธีสาบานเพื่อปกปิดสิ่งที่เราจะคุยกันต่อไป
หากไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ พวกเธอจะเลือกเดินออกไปก็ได้ แต่ขอให้รู้ไว้ว่านั่นจะเป็นการจำกัดปฏิสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างพวกเธอกับวาห์นทันที”
ดูเหมือนยังไม่มีใครคิดที่จะถอนตัวในตอนนี้ แม้ว่าบางคนจะดูสับสนและงุนงงไปบ้าง
อาเนียไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงถูกเชิญให้มาเข้าร่วมด้วย ในขณะที่มิลานนั้นแสดงสีหน้ากังวลเล็กน้อยขณะจับมือชุ่มเหงื่อของบุตรสาว
ทีน่าดูเหมือนจะตระหนักว่าผู้หญิงทุกคนในนี้ล้วนมีความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มที่เธอชอบ และรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ที่จะอยู่ต่อ
สิ่งเดียวที่ขัดขวางไม่ให้เธอรีบเผ่นกลับบ้านก็คือโอกาสที่จะได้รู้เกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่เธอตั้งให้เขาเป็นเป้าหมายในอนาคต
เธอเริ่มฝึกอย่างหนักกับผู้เป็นแม่ และข่าวลือ ‘ส่วนใหญ่’ ที่เกี่ยวกับวาห์นนั้นก็เป็นแรงผลักดันให้เธอเดินหน้าต่อ
เฮเฟสตัสรอไปประมาณหนึ่งนาทีก่อนจะพูดต่อ
“เอาล่ะ ก่อนที่เราจะเริ่มทำพิธีกัน ฉันอยากให้ทุกคนชี้แจงความสัมพันธ์ที่มีต่อวาห์นในตอนนี้และสิ่งที่คิดเอาไว้ในอนาคตแบบสั้นๆ
เพราะว่าตอนนี้บางคนอาจจะยังไม่แน่ใจ ฉันเลยอยากเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจ”
นี่เป็นหนึ่งในความคิดที่เอน่าเสนอกับเฮเฟสตัสขณะที่กำลังวางแผนการประชุม
ทั้งสองได้วางกลยุทธ์และช่วยกันคิดแผนรับมือต่างๆ จนดึกดื่น
แม้ว่าโลกิจะนั่งตรงกลางซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเฮเฟสตัส แต่ทีโอน่าที่อยู่ทางซ้ายกลับเป็นฝ่ายเริ่มผู้ขึ้นมาก่อน
“สวัสดีทุกคน ฉัน ทีโอน่า ฮิริวเตะ~!
ตอนนี้ฉันกับวาห์นคือคู่รักที่ตั้งใจจะมีลูกด้วยกัน~!
ในอนาคต ฉันวางแผนว่าจะมีลูกวาห์นหลายๆ คนเลย!”
ทีโอน่าพูดออกมาแต่ละคำอย่างไม่สะทกสะท้านพร้อมกับเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ซึ่งทำเอาทุกคนเงียบกันหมด
ไอส์ที่นั่งอยู่อีกด้านของโลกิก็พูดต่อ
“ไอส์ วาเลนสไตน์ เป็นคู่รักกับวาห์น… แบบทีโอน่า”
ไอส์มองไปรอบด้วยแววตาที่อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณนักแข่ง
“ฉันเป็นคนแรก… ที่รับมือวาห์นได้แบบเต็มๆ
ฉันอยากจะแข็งแกร่งขึ้นพร้อมกันกับเขา”
ทุกคนที่อยู่รอบโต๊ะออกจะงงๆ เมื่อไอส์พูดถึง ‘รับมือวาห์นได้แบบเต็มๆ’ แต่ทีโอน่าก็เริ่มหัวเราะให้กับคำประกาศที่ ‘ห้าวหาญ’ นี้
(TL: อ้างอิงไปตอนที่ 125 และ 126)
โลกิที่นั่งอยู่ระหว่างสองสาวเริ่มพูดขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงซุกซน
“ฉันโลกิ… จะบอกว่าฉันเป็นแม่ยายของเจ้าเด็กนั่นก็ได้มั้ง~?
สำหรับเรื่องในอนาคต… ไม่รู้สินะ คงต้องดูอะไรหลายๆ อย่างก่อน บางทีฉันจะไปเป็นคนรักกับเค้าบ้างดีไหมนะ~?
ตอนที่โลกิพูด เธอก็เฝ้ามองเฮเฟสตัสและเน้นเสียงตรงคำถามท้ายสุดเป็นพิเศษ แต่น่าแปลกที่เฮเฟสตัสดูจะไม่ตกใจกับคำพูดของเธอในขณะหันไปมองให้คนอื่นพูดต่อ
หนึ่งในหัวข้อที่เหล่า ‘ภรรยาคนแรก’ ได้คุยกันเมื่อคืนก็คือวิธีจัดการกับโลกิเพื่อจะได้ไม่ต้องมาเล่นตามเกมของเทพธิดาแสนกล
การกระทำของเฮเฟสตัสทำให้โลกิรู้ตัวว่ามีอะไรมากกว่าที่เธอคาดไว้เล็กน้อยจนต้องหันไปมองเอน่าอย่างสงสัย
คนต่อไปที่จะพูดนั้น เพราะแฟมิเลียของเธอดูเหมือนอยากจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ริเวเรียจึงเพิ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ
“ฉันชื่อริเวเรีย ลีออส อาลฟ์ และความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับวาห์นคือสหายที่ร่วมสู้ด้วยกันมาก่อน
ในอนาคต ฉันตั้งใจว่าจะทำการวิจัยร่วมกับวาห์น แต่ตอนนี้ยังไม่มีมีความสนใจเรื่องความรักหรืออะไรแบบนั้น”
พอหลังจากริเวเรียพูดจบ เลฟิย่า ซึ่งเป็นสมาชิกคนสุดท้ายจากโลกิแฟมิเลียก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อย
“ฉะ-ฉัน เลฟิย่า เวอริดิส เป็นสหายที่ร่วมสู้เคียงข้างวาห์นเช่นกัน…”
ระดับความแดงบนใบหน้าของเลฟิย่านั้นเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อเธอนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่มีวาห์นอยู่ด้วย
เธอรู้สึกว่าพวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่หลังจากที่เด็กหนุ่มไปมีอะไรกับทีโอน่าและไอส์ เธอก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
เธอทำพลาดอย่างมหันต์เมื่อไปถามไอส์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และไอส์ก็ให้รายละเอียดมามากกว่าที่เอลฟ์สาวคาดคิดเอาไว้
เลฟิย่าสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ฉันยังไม่รู้ว่าอยากมีอะ-อนาคตแบบไหนกับวาห์นค่ะ…”
แม้ปากจะบอกว่า ‘ยังไม่รู้’ แต่ทุกคนในห้องนั้นบอกได้เลยว่าเธอมีความคิดบางอย่างแน่นอน แม้จะยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ก็ตาม
กลุ่มที่เป็นผู้ใหญ่หน่อยนั้นมองว่าเอลฟ์สาวเหมือนจะอยู่ในอาการของคนที่ตกหลุมรัก และยังมีบางคนที่ทำหน้าหงุดหงิดเพราะเข้าใจความรู้สึกของเลฟิย่าได้เป็นอย่างดี
เมื่อก่อนนั้นเลฟิย่าเป็นคนที่หยิ่งทะนงมาก จนกระทั่งมาถูกไอส์ช่วยชีวิตเอาไว้และทำให้เธอเริ่มเปิดใจรับคนอื่นจนให้กำเนิดบุคลิกน่ารักและดูซุ่มซ่ามมาจนถึงวันนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะเปิดรับคนอื่น แต่คนที่เลฟิย่าให้ความสนใจมากที่สุดคือไอส์นั่นเอง
ตอนนี้ไอส์อยากอยู่กับวาห์น พวกเธอจึงจินตนาการว่าไม่ช้าก็เร็ว… เอลฟ์ตัวน้อยคงทำได้แค่ตามไปติด