Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 163
หลังจากที่ทุกคนแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว เฮเฟสตัสก็แจงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อจำกัดของคำสาบานและให้ทุกคนยืนยันอีกครั้งก่อนจะเริ่มพิธีกัน
แม้แต่ทีน่าตัวน้อยก็กล่าวคำสาบานอย่างไม่ลังเลเลยขณะเริ่มปฏิบัติกับคนอื่นๆ ราวกับเป็นคู่แข่ง
คนที่ยังดูลังเลอยู่ก็มีแค่อาเนีย แต่เธอก็ไม่อยากเป็นคนเดียวที่ต้องกลับบ้านไปก่อน
ท้ายสุดแล้วเธอก็ยอมตกลงและกล่าวคำสาบานเช่นกัน
ภาพของโคลอี้ที่อยู่คนเดียวท่ามกลาง ‘ศัตรู’ นั้นทำให้เธอรู้ไม่ดีเอามากๆ
เมื่อทุกคนทำพิธีเสร็จแล้ว เฮเฟสตัสก็นั่งลงและปล่อยให้เอน่าเข้ามาจัดการต่อ
เอน่ามองมาที่ทุกคนก่อนจะเริ่มพูดอย่างสุภาพและเป็นการเป็นงาน
“อย่างที่เฮเฟสตัสพูดไว้ก่อนหน้านี้ พวกคุณถูกเชิญให้มาที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบันและอนาคตของวาห์น เมสัน
ตอนนี้ทุกคนน่าจะมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ของกันและกันแล้ว แต่ว่ายังมีคนอีกสองคนที่ยังไม่ได้แนะนำตัว…”
เอน่าสบสายตากับทุกคนที่อยู่รอบโต๊ะขณะเริ่มแนะนำตัวบ้าง
“สวัสดีค่ะ ชื่อของฉันคือเอน่า ทูเล่ และตอนนี้มีศักดิ์เป็นคู่หมั้นของวาห์น”
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกไป มันก็เหมือนกับเธอปาระเบิดลงตรงกลางโต๊ะอย่างไรอย่างนั้นเลย
นอกเหนือจากไม่กี่คนที่ไม่ได้รับผลกระทบ ทุกคนที่เหลือต่างมองเอน่าราวกับเธอเพิ่งพูดอะไรที่ตลกสุดๆ ออกมา
หลังจากแนะนำตัวและทำพิธีกันครบจบทุกกระบวนการ จู่ๆ เธอก็มาบอกทุกคนว่าจะแต่งงานกับวาห์นเนี่ยนะ?
หญิงสาวสองคนที่ตอบสนองต่อคำพูดของเอน่าแบบแง่ลบสุดๆ ก็คือโคลอี้และโลกิ
โคลอี้มองเอน่าด้วยสายตาเย็นชา ราวกับว่ากำลังทำเครื่องหมายไว้กลางแผ่นหลังของสาวลูกครึ่งเอลฟ์
ดวงตาของโลกิเปิดออกเล็กน้อยขณะมองไปมาระหว่างเอน่าและเฮเฟสตัสด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ราวกับว่าจะยืนยันสิ่งที่อยู่ในใจของเทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์ เอน่าเริ่มพูดต่ออีกครั้ง
“มันคือเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวนะคะ…”
พอเอน่าเปิดให้แล้ว เฮเฟสตัสก็ตามทันทีและเริ่มพูดต่อ
“ฉันเฮเฟสตัส เทพธิดาของเฮเฟสตัสแฟมิเลีย และฉันเองก็หมั้นกับวาห์นไว้เช่นกัน”
หากคำพูดของเอน่าเป็นเหมือนระเบิดมือ คำพูดของเฮเฟสตัสก็คือเวทมนต์ระดับทำลายได้ทั้งทวีปนั่นเอง
แม้แต่ทีโอน่า ไอส์ และริเวเรียซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้รับผลกระทบจากคำพูดของเอน่า ก็ยังต้องแสดงสีหน้าตกใจนิดๆ
ทว่าหลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ ทีโอน่าก็เริ่มหัวเราะขณะพึมพำเบาๆ
“ดูเหมือนว่าเรื่อง ‘ครั้งแรก’ ของวาห์นนี่จะต้องมีซ่อมกันหน่อยแล้วมั้ง~”
แม้ว่าเธอจะพูดเสียงเบา แต่ประชากรในห้องกว่าครึ่งก็เป็นพวกหูหมาหูแมวซึ่งได้ยินเสียงกระซิบของทีโอน่าได้อย่างชัดเจน
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นจนเฮเฟสตัสต้องกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น
“ทุกอย่างจะได้รับการอธิบายและจนกว่าจะถึงตอนนั้น ฉันขอแนะนำให้ทุกคนอดทนไว้ก่อน
ถ้าพิจารณาจากจำนวนคนที่มาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ พวกเธอก็น่าจะเข้าใจดีว่ามีความจำเป็นที่วาห์นจะต้องมีภรรยาคนแรกถึงสองคน!”
ทุกคนเงียบและไตร่ตรองคำพูดของเฮเฟสตัสไปครู่หนึ่งก่อนที่เอน่าจะพูดแทรกขึ้น
“ฉันได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเฮเฟสตัสแล้ว… แต่ทุกคนต้องตระหนักถึงเรื่องๆ หนึ่งของวาห์นไว้ด้วย
ฉันจะเชื่อว่าโคลอี้คงจะสังเกตเห็นเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว… ว่าวาห์นน่ะ… ผิดปกติกว่าคนทั่วไปแค่ไหน
วาห์นมักจะไม่ปฏิเสธหรือหักห้ามใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอะไรก็ตาม
และสิ่งนี้แหละ ที่จะต้องได้รับการควบคุมดูแล ไม่งั้นเขาอาจเข้าสู่เส้นทางที่อันตรายจนเราทุกคนต้องมานั่งเสียใจกันทีหลัง”
ขณะที่คนอื่นยังฟงอย่างเงียบๆ โลกิก็ถามขึ้นบ้าง
“มันเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของเขาใช่ไหม?
นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงพูดว่า ‘อดีตของเขา’ ตอนที่เราทำพิธีสาบานกัน”
โลกิได้เก็บความซุกซนเอาไว้ชั่วคราวและเข้าสู่โหมดจริงจังแบบสุดๆ ขณะตามการสนทนาอย่างละเอียดทุกคำพูด
เธอมีความสนใจในตัววาห์นและต้นกำเนิดของเขามากเป็นพิเศษ และตอนนี้โอกาสที่ว่านั่นก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว
เอน่าพยักหน้าเป็นการตอบแล้วกก็เริ่มถ่ายทอดเรื่องราวที่วาห์นเคยเล่าให้เธอฟัง
เนื่องจากเพิ่งจะผ่านไปแค่วันเดียว เรื่องนี้จึงดูสดใหม่สำหรับเธอมากและเฮเฟสตัสก็ช่วงพูดเสริมออกมาเป็นบางจุด
ทั้งคู่บอกให้ทุกคนรู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของวาห์น และการที่เขามีความเป็นเทพไม่ต่ำไปกว่าสามในสี่ส่วน
พวกเธอลงรายละเอียดเกี่ยวกับการที่วาห์นถูกพรากไปจากแม่ตั้งแต่ยังเด็กและถูกทารุณกรรมทั้งทางร่างกายและจิตใจจากการทดลองมากมาย
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้รับการช่วยเหลือจากหญิงสาวลึกลับที่พาเด็กหนุ่มมายังป่าทางทิศตะวันตก
พวกเธอเล่าเรื่องที่วาห์นใช้เวลาฝึกซ้อมอย่างหนักและเรียนรู้ทักษะในการเอาชีวิตรอดและการล่าสัตว์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นนักผจญภัย
ทุกคนรอบโต๊ะนั่งฟังเรื่องน่าสลดของเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่า ‘วาห์น เมสัน’ อย่างเงียบๆ แบบไม่พูดไม่จา
เมื่อเหล่าๆ สาวที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยได้ยินว่าวาห์นถูกทารุณมานานหลายปี พวกเธอได้แต่สะอื้นออกมาเบาๆ ขณะทนฟังต่อไปเรื่อยๆ
เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมแปลกๆ ของวาห์นนั้นเริ่มดูมีเหตุผลขึ้นมาทันที และหลายคนต่างรู้สึกเสียใจกับบางอย่างที่พูดหรือทำกับเด็กหนุ่ม
แม้แต่ไอส์และทีโอน่าซึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้โดยตรงจากวาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันต่างจากสิ่งที่เอน่ากำลังเล่าไปบ้าง
ตอนที่วาห์นเล่าเรื่องนี้นั้น ดูเหมือนว่าเขาจะปิดบังบางจุดและทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรมาก
แต่พอคนอื่นมาเล่าแทน ทั้งสองถึงเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเขาต้องผ่านอะไรมามากแค่ไหน
เมื่อมาถึงตรงนี้ เอน่าก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเฝ้ามองสีหน้าของสาวๆ ที่อยู่รอบโต๊ะ
เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างกำลังตั้งใจฟัง เธอจึงเล่าต่อไปอีก
“และนั่นก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง…”
คำพูดนั้นทำให้หลายๆ คนขนลุกไปตามๆ กันขณะที่เอน่าเริ่มตีความว่าวาห์นนั้น ‘ผิดปกติ’ ยังไงบ้าง
แม้ว่าการกระทำของเฮเฟสตัสจะช่วยเยียวยาเด็กหนุ่มไปเล็กน้อย แต่มันกลับเป็นการเปิดโอกาสให้ภาระต่างๆ หลั่งไหลเข้ามามากขึ้น
จากนั้นเธอก็พูดเกี่ยวกับเรื่องที่ทีโอน่าและไอส์เป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรมล่าสุดของวาห์น และแจกแจงภาระต่างๆ ที่วาห์นต้องแบกรับเพิ่ม
หลังจากได้ยินว่าพวกเธอเองก็มีส่วนทำให้วาห์นต้องเจ็บปวด แม้แต่สาวแกร่งทีโอน่าก็เริ่มร้องไห้ออกมาเล็กน้อยขณะนึกถึงภาพใบหน้ายิ้มแย้มของวาห์น
สำหรับทีโอน่านั้น วาห์นคือวีรบุรุษที่สามารถจัดการได้ทุกอย่างและเธอก็ยอมให้เขาแบกภาระต่างๆ ไว้ด้วยความยินดี
ไอส์เองก็รู้สึกไม่ดีเช่น แต่เธอยังไม่ถึงขั้นร้องไห้ออกมาแบบทีโอน่า
เธอเอาแต่ลดหัวต่ำลงและมีสีหน้าเศร้าๆ ขณะพิจารณาการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมาของตัวเอง
คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคืออนูบิสและตามมาติดๆ มาด้วยนานู
ในช่วงที่พวกเธอเข้ามาอาศัยอยู่กับวาห์น สิ่งที่ทั้งสองได้ประจักษ์ก็คือผู้นำที่ดีและมีความน่าเชื่อถือ
ในหัวของอนูบิสนั้น วาห์นคือเจ้านายที่เธอใฝ่หามาตลอดในช่วงในช่วงสามร้อยปีที่ผ่านมา
เมื่อเห็นดวงวิญญาณอันทรงพลังของเขาและการเสียสละเพื่อรับประกันความปลอดภัยของเธอและแฟมิเลีย
อนูบิสจึงพยายามเข้าหาวาห์นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเขาจะขีดเส้นเอาไว้แล้วก็ตาม
นานูมีความคิดคล้ายๆ กันเนื่องจากเธอเองก็กำลังใช้พยายามอย่างมากเพื่อทำลายแนวป้องกันของวาห์นลง
พอนึกถึงตอนที่ใช้แผน ‘ร่องรอยกลิ่น’ กับวาห์น เธอก็รู้สึกผิดและละอายใจกับการกระทำที่เอาแต่ใจของตัวเองมาก
ตอนนี้นานูเข้าใจแล้วว่าทำไมวาห์นถึงบอกให้รอจนโตกว่านี้ก่อน เพราะตอนนี้เธอยังทำตัวเหมือนเด็กงอแงที่อยากจะได้ของเล่นอยู่เลย
คนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้น้อยที่สุดเห็นจะเป็น โลกิ ริเวเรีย และสึบากิ
โลกิรู้สึกทึ่งกับอดีตของวาห์นมากและรู้สึกเห็นใจหน่อยๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มเองก็กำลังพยายามก้าวข้ามเรื่องเหล่านี้ไปให้ได้เช่นกัน
แม้จะเห็นด้วยกับการประเมินของเอน่า แต่โลกิรู้สึกว่าสิ่งเดียวที่วาห์นต้องการในตอนนี้ก็คือการชี้แนะที่หนักแน่นกว่าเดิม และเธอคาดว่าเขาน่าจะได้รับมันหลังการประชุมครั้งนี้สิ้นสุดลง
ริเวเรียรู้สึกสงสารวาห์นเช่นกัน แต่เธอก็ไม่ได้กังวลมากนักหลังพิจารณาว่ามีผู้หญิงมากมายที่พร้อมจะช่วยเขา
เธอยังคิดต่อไปอีกว่าเขาควรจะรู้สึกขอบคุณที่มี ‘เครือข่าย’ ป้องกันและดูแลสภาพจิตใจที่ใหญ่แบบนี้
สึบากิเองก็สังเกตเห็นปัญหาบางอย่างของวาห์นมาพักหนึ่งแล้ว และพยายามปรึกษากับเฮเฟสตัสเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง
ในฐานะคนที่เคยใช้เวลาอยู่กับเขามากที่สุด สึบากิจึงเข้าใจนิสัยของเด็กหนุ่มได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่
หลังจากที่ทุกคนสงบลงแล้ว เฮเฟสตัสก็เริ่มอธิบายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อๆ ไป
วาห์นต้องถูกแยกออกจากอนูบิสและแฟมิเลียของเธอ ไม่งั้นพวกเธอก็ต้องได้รับการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต
แม้ว่าวาห์นจะสามารถเข้าหาทุกคนได้อย่างอิสระเหมือนเดิม แต่พวกเด็กๆ และอนูบิสก็ไม่ควรกดดันเขาเพียงเพราะอยากจะเรียกร้องความสนใจ
อนูบิสได้ทำพิธีสาบานเพิ่มเติมพร้อมกันกับนานู มาอัต และชีโอน เพื่อเป็นการรับประการว่าจะทำตัวให้เหมาะสมกว่าเดิม
มีการตัดสินใจกันแล้วว่าเมื่อถึงตอนที่เฮเฟสตัสและวาห์นได้แต่งงานกันจริงๆ เขาก็จะต้องทำการเปลี่ยนแฟมิเลียโดยเข้าร่วมกับโลกิหรืออนูบิสแฟมิเลียแทน
เพราะฐานะของทั้งสองกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เฮเฟสตัสและวาห์นจึงไม่สามารถรักษาความเป็น ‘เทพธิดา’ และ ‘เด็กๆ ของแฟมิเลีย’ ได้อีกต่อไป
แถมยังมีแนวโน้มที่เทพสาวอาจจะให้ท้ายและสนับสนุนเขาแบบเกินหน้าเกินตาด้วย
สินทรัพย์ของเฮเฟสตัสเพียงอย่างเดียวก็ปาเข้าไปเกือบ 25% ของสินทรัพย์ทั้งหมดในเมืองแล้ว
แน่นอนว่าเรื่องนี้อาจอาจส่งผลเสียโดนตรงต่อภาพรวมเศรษฐกิจเช่นกัน
โลกิพยายามเสนอตัวอย่างออกนอกหน้าเพื่อรับวาห์นเข้ามาดูแล เพราะเขาจะต้องเข้าไปสำรวจดันเจี้ยนกับแฟมิเลียของเธออยู่แล้ว
แต่เฮเฟสตัสก็ปฏิเสธและอยากจะให้วาห์นตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
หัวข้อที่สามที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันก็คือ ทุกคนในกลุ่มยังคงเข้าหาวาห์นได้ตามปกติ แต่พวกเธอจะต้องให้เขาตัดสินใจเองว่าอยากจะยกระดับความสัมพันธ์นี้ขึ้นไปอีกขั้นหรือไม่
ก่อนที่พวกเธอจะยืนยันเรื่องต่างๆ อย่างเป็นทางการ ทุกคนจะต้องช่วยกันคุมพฤติกรรมของวาห์นให้อยู่ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ถลำออกไปสู่เส้นทางที่อันตราย
ทุกคนยอมตกลงที่จะร่วมมือกัน แม้ว่าแท้จริงแล้วต่างก็ยังเป็นคู่แข่งกันเหมือนเดิม
คู่ที่ให้ความร่วมมือมากที่สุดเห็นจะเป็นทีโอน่าและไอส์ซึ่งอยากจะรับผิดชอบกับการกดดันวาห์น แบบอ้อมๆ ให้ไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย
พวกเธอได้รับหน้าที่ที่ทำเอาคนอื่นๆ ต้องพากันอิจฉาตาร้อน
หน้าที่นั่นก็คือการรักษาระดับความสัมพันธ์กับวาห์นต่อไปเรื่อยๆ แต่จะต้องละเรื่องกิจกรรมยามค่ำคืนในช่วงนี้ไปก่อน
เอน่าสอนพวกเธอว่าจนกว่าวาห์นจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง มันเป็นสิ่งที่อันตรายมากหากเน้นเรื่องกิจกรรมทางเพศมากเกินไป
หากเขายังคงพึ่งพาเรื่องแบบนี้ต่อเรื่อยๆ มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่วาห์นจะมีความสัมพันธ์แบบปกติในอนาคต
เรื่องสุดท้ายที่หารือกันนั้นเป็นสิ่งที่ใครก็คาดไม่ถึงหากดูจากคนที่เสนอมันขึ้นมา แต่ทุกฝ่ายก็เห็นด้วยโดยไม่มีใครคัดค้านอย่างจริงจัง
ลิลลี่ได้เสนอความคิดที่จะให้ทีน่ามาอยู่กับวาห์นจนกว่าจะถึงพิธีแต่งงาน
แม้อยากจะรับหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง แต่ลิลลี่ก็รู้ตัวดีว่าตบะคงแตกก่อนแน่นอน
ดังนั้นเธอจึงเสนอให้ทีน่าเข้ามารับหน้าที่ที่เธอตั้งชื่อแบบเล่นๆ ว่า ‘วาห์นการ์ด’ แทน
มีการลงความเห็นกันแล้วว่าทีน่าจะอยู่กับวาห์นในระหว่างที่เขาพักฟื้นก่อนถึงเดนาตัสครั้งถัดไปเพราะมันจะทำให้เธอได้ใช้เวลาอยู่กับเขาและยังป้องกันเรื่องไม่เหมาะสมต่างๆ ได้อีกด้วย
เพราะทีน่ามีอายุเพียงสิบปี และเป็นที่เข้าใจกันว่าดีแล้วว่าวาห์นให้ความสำคัญกับเรื่องอายุมากเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้เธอเหมาะสมกับหน้าที่นี้มาก
ถึงมิลานจะยอมเห็นด้วย แต่เธอก็มีข้อแม้ว่าทีน่าและวาห์นจะต้องมาค้างที่โรงแรมในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย
หลังได้ยินข้อเสนอจากลิลลี่ที่ได้รับความเห็นชอบจากทุกคน สมองของทีน่าก็เริ่มลัดวงจรอีกครั้งหลังจากรู้ว่าต้องใช้เวลาอีกสามเดือนกับการอยู่ใต้ชายคาเดียวกับวาห์น
เธอตั้งตื่นเต้น หวาดกลัว และหงุดหงิดหน่อยๆ ที่ทุกคนปฏิบัติกับเธอเหมือนเด็ก
ทว่าเธอเองนั้นก็รู้สึกเศร้ามากหลังจากได้ยินเรื่องในอดีตของวาห์นและการที่เขา ‘ผิดปกติ’ มากแค่ไหน
ดังนั้นเธอจึงเต็มใจอาสาทำอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยรักษาเขาอีกแรง
ยังมีเวลาอีกตั้งสามปีก่อนที่เด็กสาวจะกลายเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจยอมเป็นน้องสาวของเขาไปก่อน
ทางกลุ่มยังคงพูดคุยและหารือเรื่องต่างๆ ไปอีกหลายชั่วโมงรวมไปถึงเรื่องที่แต่ละคนพบกับวาห์นได้ยังไงด้วย
หลังจากที่หัวข้อได้เปลี่ยนไปเป็นเรื่องปฏิสัมพันธ์ส่วนตัว บรรยากาศก็เริ่มครึกครื้นมากกว่าเดิมและทุกคนต่างดูสนิทกันมากขึ้น… หรืออย่างน้อยก็แค่ภายนอก
หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มยังมีเรื่องวิตกกังวลอยู่หลายอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้และตั้งใจว่าจะลองแก้ไขมันดูหากมีโอกาส
โคลอี้รู้สึกเห็นด้วยกับเรื่องที่ทุกคนเสนอกันออกมา แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าวาห์นต้องการสิ่งอื่นเพื่อใช้ในการเยียวยาจิตใจด้วย
ตอนแรกเธอปล่อยให้ตัวเองเป็นเป้าหมายของเขา แต่ตอนนี้วาห์นอยู่ในช่วงที่อันตรายและต้องการการชี้นำเพิ่มเติม
พอถึงประมาณประมาณ 6 โมงเย็น กลุ่มก็เริ่มสลายตัวหลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อกันเรียบร้อยแล้ว
พวกเธอยังตกลงกันว่าควรจะจัดการประชุมแบบนี้ทุกเดือนและให้ช่วยกันสอดส่องสาวหน้าใหม่ที่วาห์นอาจให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เมื่อไหร่ก็ตามที่วาห์นแอบไปมีผู้หญิงซึ่งอ่อนไหวหรือเปิดกว้างกับเรื่องอย่างว่า
พฤติกรรมที่ส่ออันตรายของเขาก็จะกลับมาอีกครั้งและทำให้ความพยายามของพวกเธอต้องสูญเปล่า
แม้ค่อนข้างแปลกที่จะต้องมากังวลกับเรื่องแบบนี้เพราะกลุ่มของพวกเธอก็มีกันตั้งสิบแปดคนแล้ว
แต่การที่มีอยู่สิบแปดคนหลังจากผ่านไปเพียงสองเดือนนั้นนับว่าเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างอันตรายและทำให้พวกเธอเริ่มคิดเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง
หลังจากที่สาวๆ ส่วนใหญ่กลับไปแล้ว กลุ่มคนที่ยังเหลืออยู่ก็คือโลกิ เฮเฟสตัส และเอน่า
แม้โลกิจะให้ร่วมมือจนถึงตอนนี้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอตั้งใจจะทำเฉยต่อไปโดยที่ยังไม่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มากเท่าที่ควร
พอคนอื่นๆ ออกไปกันหมด เทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์ก็อยากจะพูดคุยหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับวาห์น
แต่ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยปาก เฮเฟสตัสก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“มีเรื่องนึงที่ควรจะรู้ไว้ แต่เธอต้องยอมเข้าพิธี ‘สาบานขั้นสูงสุด’ นะถ้าอยากจะได้ยินเรื่องนี้จริงๆ”
พอได้ยินเฮเฟสตัสพูดถึงพิธี ‘สาบานขั้นสูงสุด’ โลกิก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบึ้งตึงเพราะจินตนาการไม่ออกเลยว่าเรื่องอะไรที่สำคัญจนต้องทำถึงขนาดนั้น
‘คำสาบานขั้นสูงสุด’ ต้องมีการใช้ดวงวิญญาณเป็นหลักค้ำประกัน ดังนั้นหากเธอฝ่าฝืนคำสาบาน ดวงวิญญาณของเธอก็จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็จะต้องกลับไปฟื้นตัวที่สวรรค์ แต่อาจต้องใช้เวลาหลายพันปีในการฟื้นฟูก่อนที่โลกิจะกลับมาสู่ทวีบอีเดนได้อีกครั้ง
แม้เธอจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง แต่พอได้เห็นสีหน้าจริงจังของเฮเฟสตัส ความอยากรู้ก็เริ่มถาโถมเข้ามาอย่างหยุดไม่อยู่
โลกิเริ่มทำพิธีอย่างไม่ลังเลและสาบานว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลที่พวกเธอกำลังจะคุยกันต่อไปนี้ ผ่านทางรูปแบบหรือสื่อชนิดใดก็ตาม
ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนา รวมถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ
แม้แต่การพูดเป็นนัยหรือแบบอ้อมๆ ก็จะส่งผลให้เกิดความเสียหายขึ้นทันที
เรื่องนี้ควรจะทำให้เธอรู้สึก ‘หวาดกลัว’ แต่สิ่งที่โลกิรู้สึกในขณะนี้ก็คือความตื่นเต้นและความสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่เฮเฟสตัสกำลังจะพูดต่อไป
เฮเฟสตัสมองเข้าไปในดวงตาของโลกิและมองเห็นความบ้าคลั่งที่ถูกซ่อนไว้เป็นอย่างดี
เธอรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรเก็บเอาไว้นาน และตอนนี้เธอก็สามารถใช้ความเป็นพันธมิตรกับโลกิเพื่อปกปิดมันไปได้อีกสักระยะหนึ่ง
หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ เฮเฟสตัสก็หันไปมองเทพธิกาแสนกล
“วาห์นมีไอเท็มอย่างหนึ่งที่เรียกว่า [เอ็นคิดู]…”