Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 168
เนื่องจากเหตุผลที่ทำให้เขาหมดสติลงนั้นเกิดจากสภาพ ‘พลังงานหมด’ วาห์นจึงตื่นขึ้นหลังจากผ่านไปประมาณสองชั่วโมง
แม้ว่าร่างกายจะยังรู้สึกเหนื่อยล้ามากและอยากนอนต่อ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเปิดตาขึ้นเนื่องจากแรงกดทับประหลาดที่แขนซ้าย
พอหันไป เขาก็เห็นเอวานเจลีนที่กำลังใช้แขนของเขาแทนหมอนขณะมานอนขดตัวอยู่ข้างๆ กัน
เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจจากจมูกของเธอที่เข้ามาปะทะกับลำคอของตัวเองและความชาจากแขนที่ถูกทับมาเป็นเวลานาน
เพราะรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่ม ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกของเอวานเจลีนจึงเปิดขึ้นและจ้องไปที่วาห์น
ผ่านไปไม่กี่อึดใจราวกับกำลังแกล้งทำเป็นไม่เห็นว่าเขาตื่นแล้ว เธอก็ปิดตาลงและขดร่างเข้ามาอีกเล็กน้อย
เนื่องจากเธอขยับศีรษะไปมา เลือดจึงเริ่มไหลเวียนไปที่แขนของวาห์นอีกครั้งและทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกไฟดูด (TL: อาการแขนเดี้ยงนั่นและ)
วาห์นมองเห็นออร่าสีฟ้ากับสีเหลืองออกมาจากร่างกายของเอวานเจลีนขณะที่พวกมันเข้าสัมผัสกับผิวหนังของเขาราวกับหมอกบางๆ
เขายิ้มและปิดตาลงเพื่อพักต่ออีกหน่อย
เขาเริ่มเสริมการไหลเวียนของเลือดโดยใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] และหวังว่ามันจะช่วยทำให้แขนของเขาไม่ต้องชาเมื่อขึ้นตื่นในครั้งต่อไป
สัมผัสของเอวานเจลีนที่อยู่ข้างกายไม่ได้เป็นทำให้เขาคิดอะไรมาก และเมื่อเห็นร่างเล็กที่ขดตัวอยู่ใกล้ๆ วาห์นก็รู้สึกอยากปกป้องเธอขึ้นมาแทน
ไม่กี่นาทีหลังที่จังหวะหายใจของวาห์นกลับไปสม่ำเสมออีกครั้ง เอวานเจลีนก็ลืมตาขึ้นและชำเลืองมองมาด้วยสีหน้าเรียบๆ
อย่างที่เธอคิดไว้ไม่ผิด แม้วาห์นจะเห็นว่าเธอตื่นแล้วแต่พอแกล้งหลับต่อ เขาก็เล่นตามน้ำไปกับเธอด้วย
มันไม่เหมือนวิธีที่เขาปฏิบัติกับเธอแบบก่อนหน้านี้เลย ซึ่งเขาคงจะดีกับเธอด้วยหากเธอทำตัวดีๆ เช่นกัน
ถึงเพิ่งจะมีเรื่องมีราวกันไปจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่เธอก็รู้แล้วว่าที่วาห์นทำไปแบบนั้นเพราะเขา ‘มอง’ การเสแสร้งของเธอออกหมดเลย
แม้จะอายุน้อยกว่าเธอมาก แต่พวกเขาทั้งสองก็ได้รับความทรมานในอดีตไม่ต่างกันเท่าไหร่
ทว่าในขณะที่เธอปฏิบัติกับคนอื่นอย่างโหดร้ายและเฉยชา แต่เขากลับมองเห็นส่วนที่ดีและเข้าหาอีกฝ่ายแทน…
เขาถึงขนาดยอมให้คนอื่นใช้ประโยชน์จากความใจดีของตัวเองโดยไม่ปริปากบ่นเลยสักคำ
เอวานเจลีนถอนหายใจไปโดนคนที่นอนอยู่ข้างๆ และทำให้เขาขมวดคิ้วนิดๆ
เมื่อเห็นการตอบสนองของวาห์น เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจขณะเขยิบเข้าไปใกล้ใบหน้าของเขาให้มากขึ้นและเป่าลมใส่หูเบาๆ
วาห์นหันหัวหลบตามสัญชาตญาณและหญิงสาวก็ยิ้มและพยายามแกล้งเขาหนักกว่าเดิม
เมื่อเทียบกับตอนที่เขาตื่นอยู่ เอวานเจลีนรู้สึกว่าการแกล้งเขาตอนนอนนั้นง่ายกว่ากันเป็นไหนๆ
ขณะที่เธอพยายามเอนตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง วาห์นก็ใช้แขนซ้ายกอดรัดร่างและดึงเธอเข้ามาไว้แนบอก
เอวานเจลีนตกใจมากและคิดว่าวาห์นคงจะตื่นแล้ว แต่เธอก็พบว่าลมหายใจของเขายังคงสม่ำเสมอเช่นเดิม
แม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ในตำแหน่งที่น่าอึดอัดเพราะกำลังกดทับกับแผงอกของวาห์นอยู่ แต่เอวานเจลีนก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่นัก
ถึงวาห์นจะตื่นขึ้น เธอก็ยังสามารถกล่าวหาเขาแทนได้จนเด็กหนุ่มอาจจะต้องมาขอโทษที่เอาเปรียบเธอด้วยซ้ำ
ความคิดนั่นทำให้เอวานเจลีนยิ้มออกมาขณะเริ่มซุกหัวของตนลงบนหน้าอกและฟังเสียงหัวใจของเขา
เธอพบว่าร่างกายของวาห์นนั้นปล่อยความร้อนออกมาพอสมควร และมันก็ทำให้ร่างกายที่กำลังหนาวเหน็บของเธออุ่นขึ้นมาก
วาห์นตื่นขึ้นในอีกเจ็ดชั่วโมงต่อมาแต่คราวนี้เขารู้สึกได้ถึงแรงกดบนแผงอกแทนที่จะเป็นส่วนแขน
เมื่อลืมตาก็มองเห็นปลายศีรษะของใครบางคนและรู้ทันทีว่าเป็นร่างของเอวานเจลีนเพราะจำเส้นผมสีทองของเธอได้อย่างแม่นยำ
เมื่อเห็นแขนของตัวเองที่โอบแผ่นหลังของเธอยู่ วาห์นก็ค่อยๆ นำมันออกมาวางลงบนเตียงแทน
ขณะที่วาห์นตื่นขึ้นมาและขยับแขนออกไปนั้น เอวานเจลีนเองก็ตื่นแบบเต็มตาเช่นกัน
เธอหันไปสบตากับเด็กหนุ่มและพูดด้วยท่าทางเขินอาย
“กอดมาสเตอร์ของตัวเองจนพอใจแล้วสินะ เจ้าลูกศิษย์งี่เง่า?”
วาห์นมองเห็นประสายแสงเล็กน้อยในดวงตานั่นขณะที่ออร่าของเธอสั่นไหวไปมาขณะกำลังถาม
เมื่อเข้าใจว่าเธอกำลังแหย่เขาอยู่ วาห์นก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ก่อนจะนำมือไปโอบเอวบางไว้และพูดด้วยส้ำเสียงจริงจังแถมพยักหน้าให้ด้วย
“อืม ร่างกายของเธอนี่ทั้งเบาทั้งนุ่มเลยล่ะ เอวานเจลีน”
จากนั้นก่อนที่แวมไพร์ ‘ขี้อาย’ จะได้ทันตอบอะไร วาห์นก็เขยิบไปข้างหน้าอีกและดมกลิ่นเส้นผมสีทองสลวยซึ่งยาวลงมาถึงเอวของเธอ
แม้อยากจะแกล้งเขาให้มากกว่านี้ แต่ในตอนที่วาห์นเข้ามาดมเส้นผมนั้น เอวานเจลีนก็รีบถอยห่างจากร่างของเขาก่อนจะหันหน้าหนีและพูดด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือนทันที
“ไอ้คนตันหากลับ กล้าแหย่มาสเตอร์ของตัวเองงั้นเหรอ!”
เหตุผลที่เอวานเจลีนต้องหันหน้าหนีก็เพราะเกิดรอยแดงที่แจ่มชัดบนใบหน้าของเธอ
หลังจากวาห์นได้ดมเส้นผมของเธอไปหนึ่งฟอดใหญ่ๆ เธอก็รู้สึกทั้งอายทั้งทำตัวไม่ถูก
ตอนนี้เอวานเจลีนได้ถอยออกไปแล้ว วาห์นจึงลุกขึ้นนั่งและเริ่มยืดเส้นยืดสายก่อนจะพูดขึ้น
“กลิ่นผมของเธอนี่ก็ไม่เลว มันทั้งอุ่นแล้วก็หอมกำลังดีเลยนะ”
คำพูดของเขาทำให้มือของเอวานเจลีนหงิกเป็นกรงเล็บพร้อมกับแหงนหน้ามองฟ้าและอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ เหลือเกิน
ทุกครั้งที่วาห์นพูดชมด้วยน้ำเสียง ‘อ่อนโยน’ เธอก็จะรู้สึกมีความสุขและหงุดหงิดไปพร้อมๆ กัน
แม้อยากจะบีบคอและส่งเขาขึ้นไปบินเล่นเสียตอนนี้ แต่เธอก็ไม่ต้องการให้เขากลับไปทำตัวเย็นชาแบบเดิมอีกครั้ง
วาห์นลุกออกจากเตียงโดยไม่หันไปมองเอวานเจลีนที่กำลังหลบหน้าเขาอยู่
เขาเห็นแล้วว่าใบหูของเธอกลายเป็นสีแดงจากทางข้างหลังและพอเดาได้ว่าแวมไพร์สาวคงกำลังหน้าแดงแบบสุดๆ
ภาพในจิตใจทำให้วาห์นยิ้มก่อนจะเดินกลับไปทำงานต่อด้วยความฮึกเหิม
พอสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้หันมามอง เอวานเจลีนก็จ้องตามแผ่นหลังของวาห์นไปด้วยสายตา ‘ต่อว่า’ ที่เขาแกล้งเธอหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
เป็นอีกครั้งที่เธอสาบานว่าจะทำให้เขาทนทุกข์ทรมานทันทีที่การฝึกสอนเวทมนตร์เริ่มขึ้น
ขณะที่วาห์นเริ่มสร้างอุปกรณ์ขึ้นมาอีกชิ้น เอวานเจลีนก็นำ [จักรพรรดินีแห่งน้ำแข็ง] ออกมาจากช่องว่างมิติ
เธอไม่ได้พูดอะไรกับวาห์นก่อนจะเคลื่อนที่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตรในชั่วพริบตาเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของมัน
ตอนที่เริ่มส่งพลังเวทเข้าไป เอวานเจลีนก็สังเกตเห็นในทันทีว่าตัวคทานั้นช่วยเสริมพลังเวทของเธอได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
ดูเหมือนว่ามันยังช่วยเรื่องการรวบรวมพลังงานธาตุน้ำแข็งภายในอากาศและเพิ่มระดับพลังเวทของเธอให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น
พอชี้คทาไปด้านหน้า วงแหวนเวทหลายสิบวงก็ปรากฏขึ้นพร้อมกันในอากาศ และก่อตัวกันเป็นข่ายเวทมนตร์ขนาดใหญ่พร้อมกับที่เอวานเจลีนตะโกนออกมา
“นีวิส คาซัส!”
ทันทีที่คำพูดหลุดออกจากปาก วงแหวนขนาดยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 1000 เมตรก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดินก่อนที่มันจะสร้างแรงระเบิดน้ำแข็งและหิมะขนาดใหญ่ขึ้น
แรงระเบิดนั้นมีความสูงเกือบ 400 เมตรและส่งคลื่นกระแทกอย่างรุนแรงผ่านพื้นสีขาวออกไปไกลหลายกิโลเมตร
เมื่อเห็นพลังทำลายล้างจากเวทมนตร์ตัวเอง เอวานเจลีนก็อดไม่ได้ที่จะถือคทาด้วยความรู้สึกยำเกรง
ตามปกติแล้ว ถ้าจะให้ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน เธอต้องใช้มานามากกว่าเมื่อกี้ถึง 40%
นั่นหมายความว่าคทาที่กำอยู่ในมือนั้นช่วยเพิ่มความรุนแรงของเวทมนตร์ที่ส่งออกไปได้มากถึง 40% โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงตามมาเลย
เธอรู้สึกว่าคทาอันนี้ถูกสร้างมาเพื่อตัวเองโดยเฉพาะและอดไม่ได้ที่จะยกย่องฝีมือและความใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยของวาห์น
พอหันหน้าไปในทิศทางที่เด็กหนุ่มกำลังทำงานอยู่ เอวานเจลีนจึงได้แต่ยิ้มนิดๆ หลังนึกถึงความพยายามอย่างหนักที่เขาใช้ในการสร้างมันเพื่อที่เธอจะได้ไม่ ‘รู้สึกเศร้า’ อีกต่อไป
เธอตัดสินใจยกโทษให้กับการหยอกล้อเมื่อกี้นี้ ก่อนจะนั่งไขว้ห้างอยู่บนท้องฟ้าและเริ่มตั้งสมาธิขณะส่งมานาเข้าไปในคทาบนตัก
เธอพยายามทำความเข้าใจกับโครงสร้างของมันและดูว่ามันเชื่อมต่อกับระบบเวทมนตร์ของเธอในรูปแบบไหนกันนะ ถึงได้ทำให้มีผลลัพธ์รุนแรงแบบนี้
ขณะที่เอวานเจลีนกำลังพยายามทำความเข้าใจกับ ‘ทฤษฎี’ ที่อยู่เบื้องหลังเวทมนตร์ของ ‘เรคคอร์ด’ ดันมาจิ วาห์นก็กำลังง่วนกับการสร้างไอเท็มแบบต่างๆ
เนื่องจากเขาตีอุปกรณ์ที่จะนำไปใช้จริงเสร็จแล้ว ตอนนี้วาห์นจึงกำลังพัฒนาการควบคุม ‘เพลิงนิรันดร์’ โดยสร้างดาบเรียบๆ มากมายที่มีขนาดแตกต่างกันออกไป
วาห์นชอบสร้างไอเท็มที่ดูเรียบๆ แต่มีประสิทธิภาพเหมือนกับตอนที่สร้าง [ทะลวงจันทรา] ขึ้นมา
ไอเท็มต่างๆ นั้นไม่สามารถที่จะมีความสลับซับซ้อนแบบ [จักพรรดินีแห่งน้ำแข็ง] ได้ทุกชิ้นไป
แม้ว่าดาบเหล่านี้จะไม่มีทั้งด้ามจับและส่วนประกอบอื่นๆ แต่วาห์นก็สามารถดูค่าสถานะพื้นฐานของพวกมันได้อยู่ดี
พูดกันตามหลักแล้ว ถึงจะมีแค่ส่วนใบดาบ แต่มันก็ยังคงมีค่าพลังโจมตีที่เทียบเท่ากับไอเท็มระดับทั่วไป
ดาบที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมากส่วนใหญ่นั้นอยู่ที่ระดับ C แต่วาห์นพบว่าเขาน่าจะเพิ่มระดับของมันไปที่ B ได้ หากพัฒนาการทำงานร่วมกับ ‘เพลิงนิรันดร์’ ต่อไปอีก
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘เพลิงนิรันดร์’ ดั้งเดิม เปลวเพลิงของวาห์นก็มีเจตจำนงของตัวเองอยู่เช่นกัน และมันได้พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือเขา
แม้อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมเมื่อเขาเป็นคนควบคุมเปลวเพลิงอย่างเต็มรูปแบบ แต่วาห์นก็อยากให้เปลวเพลิงได้เรียนรู้และปรับตัวเข้ากับทักษะของเขาด้วยตัวมันเอง
มันเป็นความรู้สึกที่ดีได้สร้างไอเท็มร่วมกับใครสักคน และวาห์นเองก็รู้สึกสนิทสนมกับเจ้าเปลวเพลิงสีแดง-ทองมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
ดูเหมือนว่ามันจะรู้สึกสนุกไปกับวาห์น ขณะสั่นไหวไปมาอย่าง ‘ตื่นเต้น’
ทุกครั้งที่วาห์นใช้มันสร้างไอเท็มชิ้นใหม่ แม้จะไม่สามารถสื่อสารกับมันได้แบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่วาห์นก็เริ่มที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่มันพยายามจะสื่อโดยยึดตามการกระทำและวิธีการ ‘สั่นไหว’ แบบเฉพาะตัวของมันเอง
แถมมันยังประสานงานเข้ากับความพยายามของเขาในช่วงที่ต้องปล่อยความร้อนเข้าไปในโลหะได้ด้วย
ตอนนี้วาห์นก็สามารถรักษาปริมาณของวัตถุดิบไว้ได้มากกว่า 95% แล้ว แต่ข้อยกเว้นเดียวก็คืออะดาแมนไทน์ซึ่งเขาจะยังทำได้แต่ประมาณ 80% กว่าๆ เท่านั้น
โชคยังดีเพราะแทนที่จะทำให้เศษโลหะเสียเปล่า ‘เพลิงนิรันดร์’ ยังพยายามกรองโลหะที่เหลือและแยกมันออกไปที่อ่างด้านข้างให้ด้วย
นั่นทำให้วาห์นสามารถเก็บเศษโลหะเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ และจัดทำเป็นเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ได้ในภายหลัง
หลังจากทำงานไปแล้วเกือบยี่สิบชั่วโมง ในที่สุดวาห์นก็ตัดสินใจหยุดพักผ่อน
เขายังมีเวลาเหลืออีกเกือบจะยี่สิบห้าชั่วโมงก่อนจะถูกดีดออกไป ดังนั้นวาห์นจึงอยากจะงีบสักพักก่อนกลับไปพัฒนาฝีมือต่อ
หลังจากเช็ดเหงื่อบนร่างกายและเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารแสนอร่อยแล้ว วาห์นก็เดินไปที่เตียงและมองเห็นคราบเหงื่อและรอยเขม่าจากตอนก่อนหน้านี้
เขาขมวดคิ้วก่อนจะเก็บผ้าปูที่นอนเข้าไปในช่องเก็บของและซื้อผืนใหม่ออกมาจากระบบร้านค้า
แม้ตัวผ้ายังคงเป็นสีชมพูเพราะวาห์นคิดว่ามันเหมาะกับเอวานเจลีน แต่คราวนี้มันกลับมีคุณภาพที่ดียิ่งกว่าของเดิมอีก
วาห์นผ่อนคลายตัวเองบนชุดผ้าปูหนานุ่มและนอนเหม่อลอยอยู่ไม่กี่อึดใจก่อนเตรียมพร้อมนอนพักยาวๆ
เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเอวานเจลีนจะแอบขึ้นมาที่เตียงในขณะที่ตนหลับอยู่และพยายามแสร้งทำแบบครั้งที่แล้วอีกหรือไม่
วาห์นมักจะรู้สึกสบายเมื่อเขาได้โอบกอดหรือถูกใครบางคนกอดไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีปัญหากับการกระทำของเธอเลย
เขารู้ว่าเธอเป็นเพียงชิ้นส่วนความทรงจำและไม่สามารถทำอะไรที่ ‘เกินเลย’ และขัดต่อ ‘เป้าหมาย’ ของตัวเธอเองได้
อย่างไรก็ตาม การกระทำของเธอก็ทำให้วาห์นสงสัยว่าเอวานเจลีนตัวจริงๆ นั้นเป็นอย่างไรกันแน่ และเขาก็สงสัยมากว่าเธอจะฤทธิ์เยอะแบบแวมไพร์ตัวน้อยที่พยายามทำตัวเป็นมาสเตอร์ของเขาหรือเปล่า
เขาตัดสินใจว่าจะถามเกี่ยวกับอดีตและโลกที่เธอจากมาให้มากขึ้น และวาห์นก็ปล่อยให้ตัวเองผลอยหลับไปในขณะที่เข้าไปในระบบเพื่อมองหาไอเท็มที่คล้ายกับลูกแก้วลูกนี้
เขาพบตำราเวทมนตร์มากมายและลูกแก้วประเภทอื่นๆ ด้วย แต่พวกมันล้วนมีราคาแพงมาก
แม้แต่หนังสือ ‘เวทมนตร์สำหรับมือใหม่ 101’ ก็ปาเข้าไป 300,000OP แล้ว…
ไม่นานหลังจากที่วาห์นหลับไป ร่างๆ หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นถัดจากเตียงและจ้องลงมาที่เขาด้วยสีหน้าอ่อนโยนอย่างที่เด็กหนุ่มไม่เคยได้เห็นมาก่อน
สัมผัสการรับรู้ของเธอนั้นครอบคลุมไปทั่วทั้งมิติ ดังนั้นในตอนที่วาห์นเตรียมจะเข้านอน เอวานเจลีนก็หยุดการค้นคว้าและเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างมิติเพื่อสังเกตการกระทำของเขา
เมื่อเห็นเขาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนสกปรกด้วยของใหม่ที่ดีกว่าเดิม เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจกับการกระทำของเขา
ไม่นานหลังจากที่เด็กหนุ่มผลอยหลับไป เธอก็ปรากฏตัวและทำตามที่วาห์นได้คาดเอาไว้ โดยปีนขึ้นมาบนเตียงขณะเข้าไปซบร่างของผู้เป็นลูกศิษย์ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติสุดๆ