Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 17
ในสัปดาห์ถัดมา วาห์นใช้เวลาส่วนใหญ่ของเขาเพลิดเพลินไปกับความเงียบสงบของชีวิตในป่า แม้ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะออกเดินทางหลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้น แต่เขาก็พบว่าตัวเองไม่สามารถออกจากสถานที่ที่เขาเรียกว่าบ้านในช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมาได้ สถานที่แห่งนี้เป็นบ้านแห่งแรกที่เขาเคยรู้จักและความคิดที่จะทิ้งมันไว้ข้างหลังทำให้เขารู้สึกเศร้าใจ
ในช่วงท้ายของสัปดาห์ เขาไปรวบรวมกับดักส่วนใหญ่ที่วางไว้ในป่ากลับมา เนื่องจากจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เขาจึงรู้สึกสงสารหากมีสัตว์โชคร้ายมาติดกับดักที่ทิ้งเอาไว้
คืนก่อนที่เขาจะออกเดินทาง วาห์นระลึกถึงวันเวลานับตั้งแต่ที่มาถึงโลกใบนี้ แม้เขาจะมาแบบตัวเปล่า แต่ด้วยความพยายามอย่างหนักและความช่วยเหลือจากพี่สาวและ ‘เดอะพาธ’ ทำให้เขาเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าๆ และมากพอที่จะอยู่รอดบนโลกใบนี้ได้ เขารู้ว่าตัวเองยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับตัวละครหลายตัวที่จะได้พบ แต่เขาเชื่อว่าด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่อง ไม่นานเขาก็จะได้ไปยืนอยู่ในระดับเดียวกับคนอื่นๆ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เขารวบรวมสิ่งของที่หลงเหลืออยู่ในถ้ำและเผามันทิ้ง
ขณะที่มองกองไฟที่เป็นดั่งตัวแทนของชีวิตที่เขาทิ้งไว้ข้างหลัง เขาไม่อาจกลั้นน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตนี้ที่วาห์นร้องไห้แบบไม่อายใคร
ดวงอาทิตย์ขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าแล้วในขณะที่ไฟเริ่มมอด เมื่อมองดูถ้ำเป็นครั้งสุดท้าย วาห์นก็เดินก้าวแรกออกไปสู่การเดินทางพร้อมกับ ‘เดอะพาธ’ จุดหมายของเขาคือ ‘เมืองแห่งเขาวงกตโอราริโอ้’ และการเป็นเป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุด
วาห์นเดินผ่านป่าอย่างรวดเร็วเพื่อไปให้ถึงโอราริโอ้ แม้ว่าเลเวลของเขาจะยังไม่เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติหลังทำภารกิจสำเร็จ แต่ค่าพารามิเตอร์โดยรวมของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
==========================================================
ชื่อ: วาห์น เมสัน
อายุ: 14
เผ่าพันธุ์: มนุษย์, *ถูกผนึก*
ค่าสถานะ: ดันมาจิ
-เลเวล:1[+](0)
-พละกำลัง: E540 -> D604
-ความอดทน: F461 -> E529
-ความแม่นยำ: F407 -> D620
-ความว่องไว: E519 -> E589
-พลังเวท: G299 -> G326
-ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ: ดวงวิญญาณระดับ 1 (วิญญาณมนุษย์)
กรรม:273
==========================================================
สิ่งที่ดีที่สุดคือไอคอน [+] อันใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาถัดจากเลเวลของเขา หลังจากสอบถามเรื่องนี้กับพี่สาว เธอแจ้งให้เขาทราบว่ามันเป็นคุณสมบัติที่ ‘เดอะพาธ’ เพิ่มเข้ามาเพื่อให้เขาเก็บค่าสถานะเอาไว้และทำให้รากฐานของเขามั่นคง เขาสามารถเพิ่มเลเวลของเขาตอนไหนก็ได้หากต้องการ แต่การรั้งรอไว้ก่อนจะทำให้เขาสามารถเพิ่มค่าพารามิเตอร์โดยรวมสำหรับเลเวลในอนาคตได้ดีกว่า
ตัวอย่างเช่นหากมีคนสองคนที่มีเลเวล 5 เท่ากัน นักผจญภัยคนแรกเพิ่มระดับของตนเองทันทีที่หนึ่งในค่าพารามิเตอร์ของเขาไปถึงระดับ D นักผจญภัยคนที่สองไม่ทำการเพิ่มเลเวลและทำการฝึกอีกหลายปีจนเพิ่มพารามิเตอร์ทั้งหมดเป็นระดับ D หรือสูงกว่า หลังจากที่นักผจญภัยทั้งสองไปถึงเลเวล 5 นักผจญภัยคนที่สองก็จะแข็งแกร่งกว่าคนแรกมาก
นี่เป็นเหตุผลหลักที่ว่าทำไม ‘เบลล์ คราเนล’ ในมังงะถึงแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป เพราะเขามีสกิลพิเศษชื่อว่า ‘ลีอาริส ฟรีเซ่’ เขาจึงได้เป็นนักผจญภัยที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นคนเดียวที่มีค่าสถานะเกือบทั้งหมดในระดับ S หรือสูงกว่าในขณะที่ยังเป็นเลเวล 1
แม้ว่าวาห์นจะไม่มีสกิลแบบนั้น แต่เขาเชื่อว่าตัวเองจะไม่เสียเปรียบเรื่องนี้ในระยะยาวแน่นอน อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่ตราบใดที่เขาพยายามไปเรื่อยๆ เขาจะสามารถเพิ่มค่าสถานะของเขาเป็นระดับ S หรือสูงกว่าก่อนที่จะตัดสินใจเพิ่มเลเวลได้แน่ เขาเชื่อในคำพูดหนึ่งว่า ‘การสร้างหอคอยสูงๆ คุณต้องสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งก่อน’
แต่จากความใคร่รู้ เขาจึงไปค้นหา ‘ลีอาริส ฟรีเซ่’ และ ‘อาร์โกนอต’ ภายในร้านค้าและพบว่าพวกมันที่ราคาอยู่ที่ 1,000,000 OP และ 400,000 OP ตามลำดับ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเบลล์ถึงได้เป็นตัวเอก เพราะมีสกิลพวกนี้ตั้งแต่เลเวล 2!
หลังจากการเดินทางผ่านป่าประมาณสามชั่วโมง ในที่สุดวาห์นก็มองเห็นโอราริโอ้ได้จากไกลๆ แม้ว่าเขาเห็นขนาดที่ใหญ่ของมันบนแผนที่แล้ว แต่เขาก็รู้สึกประหม่าเมื่อเห็นมันกับตาตัวเอง เขาใช้ชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาอยู่ในห้องทดลองและห้องขัง ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเมืองจริงๆ โครงสร้างและอาคารทั้งหมดนั้นเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ และวาห์นไม่เข้าใจว่าทำไมตัวละครในมังงะสามารถเดินไปไหนมาไหนแบบไม่หลงทางได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
เท่าที่เขาเห็น คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายชั่วโมงในการวิ่งจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง
เมื่อมาถึงประตูที่ใกล้ที่สุด วาห์นก็มองเห็นขบานรถม้าเป็นแถวยาวพร้อมกับผู้คนที่กำลังรอให้ถึงคิวตัวเอง มีกลุ่มชายชุดเกราะถือทวนยาวประจำอยู่รอบทางเข้า พวกเขาตรวจสอบและระบุตัวตนของทุกคนที่ประสงค์จะเข้าเมืองรวมไปถึงสินค้าและสัมภาระที่ขนเขาไปด้วย
ขณะที่วาห์นไปต่อคิว เขาก็เห็นปรากฏการณ์ประหลาดที่ไม่คาดคิด มีบางอย่างกำลังออกมาจากตัวคนที่อยู่ภายในแถว เขาเห็นไอหมอกไร้สีสันออกมาจากร่างกายของคนตรงหน้า เขามองดูชายที่คล้ายนักผจญภัยข้างหน้าอย่างใคร่รู้
ราวกับรู้ตัวว่าถูกจ้อง ชายคนนั้นหันกลับมาหาวาห์นและมองเขาอย่างลวกๆ เมื่อเห็นเด็กที่แต่งตัวประหลาดและดูสกปรกต่อหน้าเขา เขาเลยทำหน้าตาบูดบึ้งและพูดขึ้น “นี่ไอ้หนู แกจะมองอะไร? ฉันไม่มีเงินให้หรอกนะ ไปกวนคนอื่นแทนก่อนที่ฉันจะโมโหดีกว่า”
วาห์นรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของ ‘ชายนักผจญภัย’ ที่อยู่ต่อหน้าเขา เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมาขอเงินแต่ก็ไม่รู้ว่าควรอธิบายได้ยังไงว่าเขาแค่มองดูออร่าที่ตอนนี้เริ่มกลายเป็นสีเทาเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังคิดหาข้อแก้ตัวอยู่นั้น ชายตรงหน้าก็เริ่มพูดอีก
“ฉันบอกให้แกไปให้พ้นไง! ถ้าแกอยากได้อะไรกินก็ไปขอที่พระนู่น” เขากล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้งที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ
วาห์นไม่รู้เลยว่าจะรับมือสถานการณ์แบบนี้ยังไง เขาลงเอยด้วยการย้ายไปอยู่ท้ายแถวเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างเขากับชายคนนั้น เขาไม่ต้องการที่จะก่อปัญหาหรือดึงดูดความสนใจของทหารยามก่อนที่เขาจะเข้าเมือง
(“เขาเป็นอะไรของเขานะ? แล้วพี่สาวพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับออร่าที่ออกมาคนคนอื่นๆ ไหม”)
(TL: ต่อไปจะใช้ () เพื่อเป็นการบอกว่าคนๆ นั้นกำลังพูดในใจอยู่นะครับ สำหรับวาห์นนั้นส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ (“”) และพี่สาวจะเป็นแบบนี้ (**) ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบอีกนะครับ)
(*ออร่านี้เกิดจากผลแบบติดตัวของระบบ ‘ดูค่าความชื่นชอบ’ ที่เธอได้รับจาก ‘แพคเกจมือใหม่’ ตอนที่เธอเข้าสู่โลกนี้ สำหรับใครก็ตามที่เธอไม่เคยพูดคุยด้วยมาก่อนก็จะเห็นเป็นออร่าไร้สีสัน/โปร่งใส ตัวออร่าจะขึ้นอยู่กับระดับความประทับใจของเจ้าของและการมีปฏิสัมพันธ์ที่มีกับเธอ มันจะเปลี่ยนไปตามความรู้สึกที่เจ้าของมีต่อเธอ นอกจากนี้เธอยังสามารถสัมผัสกับออร่าโดยตรงเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนๆ นั้นได้ด้วย มันจะช่วยให้เธอเห็นค่าความสัมพันธ์ที่แท้จริงจากสิ่งเธอทำและอื่นๆ อีกมากมาย*)
วาห์นเกือบลืมไปว่ามีสกิลนี้อยู่ แม้ว่าเขาจะลองทดสอบมันไปบ้างในตอนแรก แต่เนื่องจากตอนนั้นเขาอยู่ตัวคนเดียว เขาจึงไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรจากมันได้บ้าง
(“งั้นตอนที่ออร่าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทานั่นก็เพราะเขาโกรธผมเหรอ แต่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”) วาห์นอารมณ์เสียมาก คนๆ แรกที่เขาคุยด้วยในโลกใบนี้จู่ๆ ก็เกลียดเขาแบบไม่มีสาเหตุ
(*อาจเป็นเพราะการแต่งตัวของเธอก็ได้นะวาห์น ถ้าเธอมองคนอื่นแบบละเอียดจะเห็นได้ว่าพวกเขาสวมเครื่องแต่งกายที่คล้ายกันและยังรักษาความสะอาดในระดับหนึ่ง เพราะเธออาศัยอยู่ในป่า เสื้อผ้าของเธอจึงแตกต่างไปจากคนอื่นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีเรื่องผมเผ้าของเธอซึ่งยาวขึ้นพอสมควรในช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมา*)
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของพี่สาว วาห์นก็เริ่มดูสภาพตัวเอง เขาเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองมีรอยขาดแถมยังมีคราบเปื้อนตามจุดต่างๆ เขาสวมเสื้อผ้าเพียงสามชุดนับตั้งแต่ที่มาถึงโลกใบนี้และทุกชุดยกเว้นเสื้อคลุมถักเงาไหมต่างก็อยู่ในสภาพทรุดโทรม นอกจากนี้เขายังพบว่าผมของตัวเองยาวขึ้นมาก แต่เขาก็ชอบมันเพราะในชีวิตก่อนนั้นมันมักจะถูกโกนทิ้งอยู่เกือบตลอด
หลังจากที่มองไปรอบๆ เพื่อสำรวจเสื้อผ้าของคนอื่นในบริเวณใกล้เคียงแล้ว วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับชายคนนั้น
จะเห็นได้ว่าผู้คนมักจะชำเลืองมองเขาแบบแปลกๆ อยู่บ่อยครั้งในขณะที่สีของออร่ารอบตัวพวกเขาเริ่มทึบขึ้นทีละน้อย เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่ารูปร่างหน้าตาจะมีผลต่อความประทับใจครั้งแรกของผู้คนอย่างไรและความประทับใจครั้งแรกนั้นมักจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพบปะหรือพูดคุยกับคนที่เพิ่งเจออีกด้วย
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง และแล้วก็ถึงคราวของวาห์นที่จะต้องเข้ารับการตรวจ ทหารยามหลายคนแสดงสีหน้ารังเกียจมายังเด็กหนุ่มที่อยู่หน้าประตู หลังจากขอข้อมูลจากเด็กหนุ่มแล้ว พวกเขาก็รีบส่งวาห์นเข้าไปในห้องทำงานเพื่อเดินเรื่องต่อโดยไม่คิดจะเสียเวลาไปมากกว่านี้
เมื่อเห็นว่าทุกคนปฏิบัติต่อเขาอย่างไร วาห์นจึงตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หลังจากที่เขาสามารถหาที่พักในเมืองได้…
หลังจากเข้าไปในห้องทำงานเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้า ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเครารุงรังก็ยืนขึ้นและหันไปหาวาห์น
“สวัสดีพ่อหนุ่ม ฉันชื่อเกรกอรี่ เฮ้าส์ ฉันเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของวันนี้และได้ยินมาจากลูกน้องว่าเธอยังไม่มีบัตรประจำตัวใช่ไหม?”
ชายผู้มีนามว่าเกรกอรี่กำลังประเมินเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ตามลักษณะแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้คงจะอพยพมาจากหมู่บ้านบนภูเขาหรือในสถานที่ชนบทอื่นๆ สิ่งที่น่าสงสัยก็คือเด็กหนุ่มไม่มีทั้งกระเป๋าเดินทางหรืออาวุธติดตัว นั่นทำให้เจ้าหน้าที่อาวุโสผู้นี้สันนิษฐานว่าเด็กหนุ่มคงถูกปล้นกลางทาง
หลังจากตรวจดูคร่าวๆ แล้วเขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและถามอย่างสุภาพว่า “ฉันขอชื่อเธอกับสาเหตุที่จะเข้าเมืองได้หรือเปล่า?”
วาห์นประหลาดใจกับน้ำเสียงของชายวัยกลางคนที่อยู่ต่อหน้าเขาอย่างมาก เขาเห็นว่าออร่าที่ออกมาจากตัวเกรกอรี่นั้นเริ่มส่องแสงอ่อนโยนออกมาหลังจากที่ตรวจสอบเขาอยู่ครู่หนึ่ง
“ผมมีชื่อว่าวาห์น เมสันครับ ผมมาโอราริโอ้หลังจากที่ปู่เสีย ปู่มักเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองในฐานะนักผจญภัย ผมเลยอยากเชิดชูปู่ของผมและลองเดินตามเส้นทางที่ท่านเคยเดินมาก่อน”
วาห์นตอบไปตามเรื่องราวที่เขาปรึกษากับพี่สาวก่อนจะมาถึงที่นี่ เนื่องจากเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย เขาจึงพยายามตอบแบบกว้างๆ เมื่อมีคนถาม
เขารู้สึกผิดที่ต้องมาโกหกชายคนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูเหมือนว่าเขาจะปฏิบัติกับวาห์นต่างไปจากทหารยามคนอื่น
เมื่อได้ยินสิ่งที่วาห์นพูด เกรกอรี่ก็เริ่มรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มคนนี้ “เธอคงลำบากมามากสินะ ฉันมั่นใจว่าปู่ของเธอคงภูมิใจหากเขารู้ว่าเธอมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย บอกฉันหน่อยสิวาห์นว่าเธอมีแผนอะไรหลังจากที่ได้เข้าไปในเมืองแล้ว? เธอคงรู้มาก่อนแล้วนะว่าจะไม่สามารถเข้าเมืองได้หากไม่ได้ทำการจ่ายภาษีเข้าเมือง แถมบัตรผ่านชั่วคราวแบบไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนทำให้เธอต้องจ่ายเงินถึง 3,000 วาลิส”
วาห์นพยักหน้า “ครับ ผมเองก็ต้องการไปลงทะเบียนที่กิลด์เพื่อรับบัตรประจำตัว สำหรับเรื่องภาษีและบัตรผ่าน ผมมีไอเท็มที่พอจะใช้แลกเปลี่ยนได้อยู่บ้าง”
เกรกอรี่มองไปที่วาห์นอีกครั้งและไม่เห็นอะไรที่จะพอใช้แลกเปลี่ยนได้เลย เขาไม่เห็นสิ่งของที่พอจะใช้เป็นหลักค้ำประกันเพื่อให้วาห์นเข้าไปในเมืองได้เล่นกัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกไอ้หนู ฉันเพิ่งจะมีหลานเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง ตอนนี้ฉันเลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ฉันจะไปจ่ายค่าผ่านประตูและภาษีให้กับเธอก่อน ตราบใดที่เธอสามารถสัญญากับฉันว่าได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์และจ่ายเงินคืนให้ฉันในอนาคต” เกรกอรี่เคยเห็นคนมากมายที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากได้ไปอยู่ในเมือง เขาหวังว่าความมีน้ำใจของเขาจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เด็กหนุ่มเดินตามเส้นทางอันมืดมิดในอนาคต
วาห์นรู้สึกดีใจกับความใจดีของผู้ชายคนนี้มาก เขารู้สึกได้ว่าดวงตาของเขาเปียกเล็กน้อย ขณะที่เขาสลักชื่อของชายคนนี้ไว้ในใจ เมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจะไม่เพียงแค่คืนสิ่งที่หยิบยืนมา แต่จะตอบแทนให้สมความรู้สึกที่เขามีในตอนนี้
“ผมขอสาบานด้วยชื่อของแม่และปู่ของผม ผมจะไม่เดินตามเส้นทางที่จะนำความอับอายมาสู่ชื่อของพวกท่านทั้งสอง” เพราะวาห์นไม่รู้จักปู่แท้ๆ ของตนมาก่อน เขาเลยรู้สึกผิดหากต้องสาบานด้วยชื่อของปู่เพียงคนเดียว เขาจึงใช้ชื่อของคนที่สำคัญที่สุดในใจของตัวเองด้วย
เกรกอรี่พอใจกับสิ่งที่เด็กหนุ่มกล่าว เขารีบกรอกแบบฟอร์มที่จำเป็นก่อนที่จะอนุญาตให้วาห์นเข้าเมืองได้
“โชคดีนะไอ้หนู ฉันคาดหวังกับเธอไว้มากเลยทีเดียว” เขาโบกมือขณะที่เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องทำงาน
วาห์น หันกลับมาและโค้งคำนับเล็กน้อย “ขอบคุณครับ คุณเฮ้าส์ ผมจะจดจำความเมตตาที่คุณให้ผมไว้อย่างดี ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน”
ออร่าที่ล้อมรอบชายคนนั้นเริ่มสว่างขึ้นอีกในขณะที่เขาหันหลังกลับและส่งสัญญาณให้คนต่อไปเข้ามาได้
วาห์นจ้องไปยังทิศทางของห้องทำงานอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันหลังกลับไป เขามองไปรอบๆ และประหลาดใจกับการออกแบบของแต่ละอาคาร มีผู้คนที่มีรูปร่างและขนาดต่างๆ เดินไปมาอย่างแข็งขัน เขายังจับตามองหญิงสาวคนหนึ่งที่มีหูกระต่ายและเดินมาพร้อมกับชายร่างเตี้ยที่มีหนวดเคราเต็มไปหมดซึ่งวาห์นเดาว่าน่าจะเป็นพวกคนแคระ
“โอราริโอ้ เรามาถึงแล้ว…” วาห์นพึมพำในขณะที่เขาเดินไปยังใจกลางเมือง ที่ซึ่งหอคอย ‘บาเบล’ ขนาดใหญ่ตั้งอยู่
—————